lemon - รสเปรี้ยว
เวลาพลบค่ำในช่วงฤดูหนาวเป็นอะไรที่เขาไม่ชอบที่สุด
อิทาโดริ ยูจิ เด็กหนุ่มมหาลัยปี 1 คิดพลางเดินกอดอกด้วยความหนาว เดินไปตามทางเท้าใกล้ชานชาลาหลังจากที่เขาลงจากรถไฟฟ้ามาได้ไม่นาน
นึกโทษอาจารย์ที่คณะต่างๆ นาๆ ว่าทำไมถึงต้องเลิกคลาสในเวลานี้ด้วย ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอากาศฤดูหนาวมันน่านอนมากแค่ไหน แต่ก็ยังดีที่ในเวลาแบบนี้พนักงานออฟฟิศส่วนหนึ่งคงถึงบ้านกันหมดแล้ว บนรถไฟฟ้าจึงไม่แออัดจนยูจิต้องคิดบ่นในใจอีก
เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีโรสโกลด์ถอนหายใจออกมาเป็นกลุ่มควันขาว สภาพอากาศหนาวจนติดลบและพยากรณ์อากาศบอกว่าในคืนนี้จะมีหิมะตก คิดได้ดังนั้นเรียวขายาวก็รีบก้าวเร็วขึ้น หมายจะให้ถึงที่ห้องพักโดยไวเพราะเขาไม่ชอบการต้องติดหิมะและการอยู่ด้านนอกที่อากาศหนาวเย็นนานๆ
ระหว่างทางเขาได้แวะเข้าร้านสะดวกซื้อก่อนจะถึงหอพักเพียงไม่กี่เมตร ภายในร้านอบอุ่นจนยูจิไม่อยากจะออกไปไหน อีกทั้งกลิ่นของอาหารร้อนๆ ยังลอยมาเตะจมูกให้ท้องร้องเล่น
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มที่ต้องการอาหารเพื่อการเจริญเติบโตอย่างยูจิต้องซื้อของกินเต็มไม้เต็มมือกลับห้องพักอยู่แล้ว เขาเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อด้วยถุงหิ้วเต็มมืออย่างภาคภูมิใจขณะที่เสียงพนักงานร้านสะดวกซื้อขอบคุณดังตามหลัง
เด็กหนุ่มเดินมานั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าร้าน พร้อมวางถุงของกินมากมายลงข้างตัว บนตักมีถุงหนึ่งที่ยูจิกำลังก้มควานหาสิ่งที่อยากกินก่อนจะเดินกลับบ้าน มันคือขนมปังร้อนๆ รสคาราเมลที่ยูจิชอบกินที่สุด แววตาของเด็กหนุ่มวิงวับทันทีที่เห็นเพียงห่อขนมปัง ก่อนจะทำการค่อยๆ แกะและอมยิ้มกับควันขาวจากไอร้อนที่ลอยขึ้นมาพร้อมกลิ่นคาราเมลหอมๆ แตะจมูกอย่างนุ่มนวลพาให้สูดกลิ่นจนรูจมูกผึ่ง
นอกจากสิ่งลี้ลับ ก็มีของกินนี่แหละที่เขาชอบ
“เฮ้ย! ไอ้เชี่*นี่!!”
เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นข้างด้านร้านสะดวกซื้อซึ่งใกล้กับจุดที่ยูจิกำลังนั่งอยู่ ปากที่กำลังจะอ้ากัดขนมปังส่งกลิ่นหอมโชยนั้นชะงักทันที หัวคิ้วขมวดมุ่นพลางชะโงกคอมองไปทางด้านข้างร้านด้วยความไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับทำเอาเด็กหนุ่มรีบเก็บขนมปังคาราเมลเข้าถุงทันใด
เด็กชายมัธยมปลายคนหนึ่งกำลังถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ดึงคอเสื้อแทบขาด เพียงเพราะเขาแค่หยอดตู้กดน้ำก่อนหัวหน้าพวกอันธพาลเท่านั้นเอง ร่างโปร่งของเด็กชายถูกดันชนกับตู้กดน้ำอย่างแรงจนได้ยินเสียงจุกในลำคอ ใบหน้ามีรอยช้ำจากการถูกต่อยเมื่อสักครู่และดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังส่งสายตามาทางยูจิที่นั่งไม่ติดเก้าอี้อีกต่อไป
“เดี๋ยว!” ดั่งใจอยาก ร่างเล็กทิ้งทุกสิ่งในมือและย่างสามขุมเข้าไปหากลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มนั้น แววตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งไปยังชายฉกรรจ์หน้าตาดิบเถื่อนไม่ต่างจากนิสัยอย่างไม่เกรงกลัว “พวกนายทำอะไร ปล่อยเขาไปนะ”
“แล้วมาเสือ*อะไรด้วยวะ! อยากโดนด้วยอีกคนรึไง!” คนที่ดึงคอเสื้อเด็กนักเรียนมัธยมหันกลับมาตะคอกใส่ยูจิเสียงดัง พร้อมทั้งปล่อยคอเสื้อของเด็กนักเรียนคนนั้นอย่างแรงจนหน้าสะบัด และทันทีที่ถูกปลดปล่อย เด็กนักเรียนคนนั้นก็รีบวิ่งไม่ทิ้งฝุ่นไปจากตรงนั้นทันที ทิ้งให้ยูจิที่ยืนรับหน้าอยู่คนเดียวและยังคงมองกลับอย่างไม่ไหวติง
“ก็ไม่ได้อยากมีเรื่องด้วยหรอกนะ ถ้าไม่ติดที่นั่นเป็นเด็กมัธยม” ยูจิพูดเสียงจริงจังและจ้องตอบอย่างไม่ลดละ “ตู้ไม่ได้มีตู้เดียว ทำไมนายจะต้อง-----!”
ผลัวะ!!!!!
ไม่ทันจบประโยค เสียงกำปั้นหนักๆ ถูกอัดไปยังใบหน้าของยูจิอย่างแรงจนร่างเล็กเซไปข้างอย่างไม่ทันตั้งตัว ความปวดหนึบแล่นเข้าเล่นงานเด็กหนุ่มจนแสดงสีหน้าปวดร้าวทันทีที่ใบหน้าสะบัดตามแรงต่อย ในวินาทีนั้นอิทาโดริพ่นคำสาปแช่งต่างๆ นาๆ ใส่อันธพาลพวกนั้นในใจนับไม่ถ้วน แน่นอนว่าการเจรจาคงไม่ใช่สันติจริงๆ ด้วยสินะ
และทันทีที่ยูจิกำลังจะกลับมาตั้งท่า พวกมันอีกสามคนก็มุ่งเข้ามาล็อกแขนของยูจิอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงชายหลายคนและขนาดตัวที่ใหญ่กว่ามากทำให้สิ่งที่ยูจิทำได้แค่โวยวายเท่านั้น
“จะเอาตัวฉันไปไหน! ปล่อยนะโว้ย!”
ยูจิที่อยู่ๆ ก็โดนล็อกตัวลากเข้ามาในซอกตึกไม่ไกลจากร้านสะดวกซื้อ แต่ก็เป็นมุมมืดที่ไม่มีใครผ่านไปมา เขาร้องเอะอะโวยวายและดิ้นอย่างสุดแรงแต่ก็ไม่เป็นผล ซ้ำร้ายยังถูกมือหยาบกระด้างเอื้อมมาปิดปากอย่างแรงจนแก้มยุบ เด็กหนุ่มถูกผลักเข้าไปด้านในตรอกตันนั้นก่อนจะตามด้วยกลุ่มอันธพาลที่ตามเข้ามาปิดทางออก ซึ่งด้านหลังของยูจิเป็นเพียงกำแพงอิฐและถังขยะเหม็นๆ จากร้านสะดวกซื้อ พวกมันแสยะยิ้มร้ายกาจและมองยูจิที่หอบหายใจอย่างแรงจนเกิดเป็นไอควันขาว ผิวแก้มขึ้นสีระเรื่อจากสภาพอากาศและแรงบีบเมื่อครู่
“ไอ้นี่แรงเยอะใช่ย่อย แต่ดีนะที่เรามีกันหลายคน” คนที่ปิดปากยูจิเอ่ยขึ้นก่อนจะเริ่มเดินเข้ามาใกล้กินพื้นที่ระยะห่างระหว่างยูจิทีละนิด เด็กหนุ่มค่อยๆ ก้าวถอยหลัง แนวคิ้วขมวดปมแน่นพลางคิดหาวิธีว่าจะเอาอย่างไรดี
“อยู่ดีๆ ไม่ชอบ..ชอบยื่นจมูกเข้ามาแส่เรื่องคนอื่นนัก มันต้องโดนแบบนี้!!”
หัวหน้าอันธพาลพูดเสียงดังก่อนจะเข้ามาต่อยท้องของยูจิอย่างแรงโดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันตั้งตัว ลูกน้องด้านหลังอีกสามคนก็เริ่มเข้ามาผลักร่างเล็กจนล้มนอนหงาย ยกเท้าขึ้นกระทืบลงหน้าท้องตามลงมาอย่างแรงจนเด็กหนุ่มงอตัวด้วยความเจ็บ ทั้งยังโดนดึงคอเสื้อขึ้นจนลอยจากพื้นดินและต่อยซ้ำจนหน้าสะบัดตามแรง เริ่มปรากฏรอยช้ำม่วงบนโหนกแก้มขาว
เสียงเอะอะโวยวายดังอยู่ภายในตรอกมืดนั้น มือขาวพยายามดันตัวไอ้พวกอันธพาลที่ใช้แต่กำลังออก ขาก็ถีบส่งพวกลูกน้องจนล้มไปด้านหลัง แล้วอาศัยจังหวะคนที่กำลังดึงคอเสื้อเขาอยู่หันไปมองเพื่อนนั้น สวนหมัดเข้าไปที่กลางหน้าอย่างแรง ตามด้วยเสียงร้องโอดครวญของมันและกุมจมูกด้วยความเจ็บ
ก่อนที่อีกสองคนที่ยังไม่โดนอะไรจะพุ่งเข้ามาแตะต้องตัว ยูจิรีบลุกขึ้นยืนด้วยสภาพร่างกายและเสื้อผ้าจะสะบักสะบอมเปื้อนดิน มุมปากมีเลือดซิบเนื่องจากโดนต่อยซ้ำๆ อย่างบ้าคลั่ง เขาพุ่งหมัดใส่หนึ่งในสองคนที่กำลังจะเข้ามารวบตัว มั่นใจในเรี่ยวแรงอันมหาศาลของตัวเองเพราะคนที่โดนนั้นถึงกับเสียหลักเซไปด้านหลัง แต่กลับมีอีกคนที่อ้อมเข้ามาล็อกตัวเขาอีกครั้ง ก่อนที่หัวหน้าอันธพาลที่ได้สติจากการโดนต่อยจมูกจะลุกขึ้นมาชกหน้ายูจิอย่างแรง
คราวนี้อิทาโดริขาอ่อนล้มพับลงกับพื้น เนื่องจากหมัดนั้นชกไปพร้อมกับเลือดกำเดาที่พุ่งออกมาอย่างแรง เด็กหนุ่มหน้าหงายอย่างหมดแรงก่อนจะถูกร่างใหญ่นั่งคร่อมทันที ในตอนนั้นเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากความหนักอึ้งบนใบหน้าและบนตัวที่กำลังถูกนั่งทับ ทั้งเสียงเอะอะโวยวายที่ดังอื้ออึงอยู่ ยูจิไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เพราะสติของเขากำลังจะหมดไป ด้วยอากาศที่หนาวเย็นแบบนี้ทำให้ร่างเล็กแสบจมูกไปหมด
ปู่ครับ...
...ผมจะถึงโรงพยาบาลมั้ยนะ
“อยู่นี่ครับพี่!! ช่วยด้วยครับ!!!”
จู่ๆ เสียงทุ้มอ่อนของเด็กนักเรียนคนหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหน้าทางเข้าตรอกมืดนั้น ยูจิเห็นว่าอันธพาลพวกนั้นละทิ้งความสนใจจากเขาไปยังผู้มาใหม่ทันที เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าร่างใหญ่ที่หนักอึ้งบนตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง และอีกสามคนที่เดินจากร่างของเขาไปยังสองคนผู้มาใหม่
ยูจิเห็นแค่เงาของสองคนนั้นที่มาช่วยเขาไว้ มีเงาเล็กและเงาใหญ่ของอีกคนหนึ่ง...
“อ้า! มาจีบกันอยู่ในนี้เองเหรอ!” น้ำเสียงระรื่นทุ้มนุ่มดังขึ้นดูไม่เข้ากับสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย ขณะนั้นยูจิพยายามที่จะขยับตัวที่ปวดหนึบไปทั่วทั้งร่างอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่สวยที่ช้ำแดงหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวดที่มี พลางใช้แขนดันพื้นเพื่อเอาตัวเองลุกขึ้น
“จีบบ้าอะไรของแก!! ไอ้หนู นี่แกไปตามคนมาด้วยเหรอ!? สงสัยยังไม่เข็ดใช่มั้----!”
ผลั้ก!!!!
“เฮ้ยย!!!”
ผลัวะ!!!! โครมมมม!!!!
ยูจิได้ยินแต่เสียงอึกทึกครึกโครมอยู่เบื้องหน้า เขาคิดเพียงแค่พยายามที่จะลุกขึ้นนั่งให้ได้ แต่เขารู้สึกปวดไหล่ไปหมด ยามเมื่อเอามือลูบหน้าแล้วก็เห็นเลือดกำเดาที่ไหลไม่หยุดอยู่เต็มทั้งฝ่ามือก็ยิ่งพาให้ใจเสีย ยูจิค่อยๆ เคลื่อนตัวไปหาผนังอิฐก่อนจะเอาตัวพิงอย่างแผ่วเบาด้วยอาการระบมทั่วทั้งร่าง จริงอยู่ที่เขาเป็นคนสภาพร่างกายแข็งแรงมาก แต่การโดนอัดจนน่วมแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะยังแข็งแกร่งอยู่ได้ เขาไม่ใช่ยอดมนุษย์เสียหน่อย
ไม่ถึงชั่วอึดใจ เสียงเอะอะโวยวายก็กลายเป็นเสียงร้องโอดครวญ และตามด้วยเสียงร้องขอชีวิตจากบุคคลมาใหม่ทั้งสองคน ก่อนเสียงเหล่านั้นจะเงียบลง คาดว่าน่าจะสลบไม่ก็โดนหนักจนไม่อาจพูดออกมาได้
“พี่ครับ! พอเถอะครับ ช่วยไปดูพี่คนนั้นด้วยเถอะ!” เสียงอ่อนกว่าที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นเด็กนักเรียนเอ่ยขึ้น หลังจากได้ยินเสียงเย้าหยอกจากคนที่คาดว่าน่าจะอัดพวกอันธพาลจนราบคาบ ก็ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่มุ่งตรงมาทางเขาอย่างรวดเร็ว
“พี่ครับ! เป็นยังไงบ้าง!”
วินาทีนั้นยูจิค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเป็นยูนิฟอร์มนักเรียนมัธยมคุ้นตา เขามั่นใจว่าคือเด็กนักเรียนคนนั้นที่โดนหาเรื่องอยู่ตู้กดน้ำซึ่งเขาได้เข้าไปช่วยไว้ทัน ก่อนที่จะโดนซัดจนน่วมอย่างที่เขาโดน ยูจิไม่คิดเลยว่าเด็กคนนี้จะตามคนมาช่วยเขา เพราะหลังจากที่เด็กชายถามยูจิจบ จู่ๆ เงาดำของใครบางคนก็ทาบทับลงมาบนตัวของยูจิ พร้อมวงแขนใหญ่ที่ค่อยๆ ช้อนตัวร่างเล็กเข้าสู่อ้อมแขน
อุ่นจัง...
“สภาพดูไม่ได้เลยนะเนี่ย” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นบนหัวของยูจิเล่นทำเอาคิ้วกระตุกเสียดื้อๆ ก็แน่ล่ะ โดนขนาดนี้ใครมันจะไปดูดีได้กัน
“ค..ใคร..” ยูจิเอ่ยเสียงแผ่วเบาทั้งที่กำลังหลับตาอยู่ในวงแขนอุ่น ราวกับสติของเขาเริ่มจะเลือนรางเต็มที
“หื้ม” ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มนั้นหัวเราะเป็นการตอบรับ “...ผู้หวังดีน่ะ”
หลังจากสิ้นสุดคำพูด ร่างของยูจิก็ลอยวืดขึ้นจากพื้นอย่างง่ายดาย เขารับรู้ได้ว่าตัวเองถูกอุ้มด้วยท่าเจ้าหญิงและถูกบังคับให้ซบกับแผงอกอุ่นอย่างห้ามไม่ได้ เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับตัวเองตัวเบาราวกับปุยนุ่นเมื่อถูกพาเดินออกมาจากตรอกนั้น หูก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กมัธยมปลายคนนั้นเดินตามหลังมา ทั้งเรื่องจะพาเขาไปส่งที่โรงพยาบาล ทั้งเรื่องอยากจะขอบคุณยูจิที่เข้ามาช่วยไว้ และขอบคุณคนที่อุ้มยูจิอยู่ตอนนี้ที่อุตส่าห์ใจดีตามมาช่วยตามคำบอกเล่าของเด็กชาย หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มรื่นหูนั้นหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบว่าอะไรบางอย่างที่ยูจิจับประเด็นไม่ได้แล้ว
ดวงตาเริ่มจะปิดสนิทหลังจากที่รู้สึกตัวว่าถูกอุ้มเข้ามานั่งบนรถของใครบางคน ความอบอุ่นภายในรถทำให้ยูจิปรือตาขึ้นมองคนที่กำลังดึงสายนิรภัยมาติดให้เขาอยู่ตอนนี้
เจ้าของเรือนผมสีขาวราวกับหิมะที่เริ่มโปรยปรายลงมาอยู่ในตอนนี้ แว่นตากันแดดสีดำไม่อาจปกปิดแพขนตาหนายาวสีขาวเช่นเดียวกับสีผมได้ ทั้งริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆ แวววาวทั้งที่อากาศหนาวเย็นขนาดนี้กลับไม่แห้งแตกเลยแม้แต่น้อย ไหนจะสันจมูกโด่งๆ ..
...สวยจัง
“จ้องไม่วางตาเลยนะ หึๆ”
เจ้าของเสียงทุ้มหัวเราะเบาๆกับท่าทางของยูจิที่นั่งมองเขาติดสายนิรภัยให้อยู่นิ่งๆอย่างว่าง่าย ยูจิไม่ทันรู้ตัวเลยว่าตัวเองเผลอไผลจ้องอีกฝ่ายนานเพียงใด จนกระทั่งสายตาของเด็กหนุ่มถูกตราตรึงด้วยดวงตาคู่งามของอีกคน
ดวงตาสีฟ้าสว่างสดใส..
ราวกับเอาท้องฟ้าทั้งโลกมาไว้ในนี้
“หลับซะ ตื่นตอนนี้ก็ปวดตัวไม่ใช่เหรอ?” ชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนใกล้ๆ ปลายจมูก หลังจากติดสายนิรภัยให้ยูจิเสร็จ ร่างสูงก็ละตัวห่างจากเด็กหนุ่มและสอดตัวออกจากรถฝั่งข้างคนขับ ก่อนจะปิดประตูรถทันที ยูจิเห็นเหมือนจะเจ้าของน้ำเสียงเมื่อครู่จะยืนคุยกับเด็กนักเรียนมัธยมคนนั้นเรื่องของเขาอยู่ด้านนอกรถ
จนกระทั่งอากาศอุ่นๆ ภายในรถจะทำให้สติของยูจิค่อยๆ เลือนราง และค่อยๆ หลับตาลง..
21.32 PM
“ม่วงหมดเลย ดูซิเนี่ย”
เสียงของนางพยาบาลสาวคนหนึ่งดังขึ้นขณะที่มือของเธอกำลังถือสำลีชุบยาค่อยๆ ประคบเบาๆ บนโหนกแก้มของเด็กหนุ่มเจ้าของใบหน้าม่วงช้ำที่นั่งนิ่งๆ ให้เขาทำแผลอย่างว่าง่าย ในโรงพยาบาลเวลานี้คนน้อยเนื่องจากเป็นเวลากลางคืนที่ไม่มีการเปิดแผนกตรวจสุขภาพ เปิดเพียงแค่แผนกฉุกเฉินทั่วไป
เธอเองก็คิดว่าวันนี้คงจะไม่มีเคสอุบัติเหตุซะแล้วเชียว ที่ไหนได้.. จู่ๆ คุณหมอโกโจ ก็พาเด็กหนุ่มจากที่ไหนไม่รู้เข้ามาทำแผลพร้อมตรวจดูรอยช้ำที่มีอยู่ทั่วร่างกายนี่ด้วย อดตกใจไม่ได้ที่สภาพร่างกายสะบักสะบอมขนาดนี้ยังมีสติอยู่ได้อย่างไร
“ถอดเสื้อทีซิ” เธอกล่าวเรียบๆ โดยไม่มีความเขินอายปากขณะหันกลับไปทิ้งสำลีชุบยา และหันไปเตรียมยาพร้อมที่จะดูรอยช้ำใต้ร่มผ้า แต่ทันทีที่เธอหมุนเก้าอี้หันกลับมา เธอกลับพบกับดวงหน้าน่ารักของเด็กหนุ่มผมสีโรสโกลด์กำลังขึ้นสีแดงฉาด “อะไร ไม่ต้องเขินกันหรอกนะ ฉันเป็นพยาบาล”
“ผมก็ไม่เคยถอดเสื้อให้ใครดูเลยนะ”
นางพยาบาลสาวถึงกับถอนหายใจ “หรือเธอจะเรียกให้คุณหมอโกโจเข้ามาทำแผลให้เธอล่ะ?”
“แบบนั้นยิ่งไม่ดีใหญ่เลย” อิทาโดริรีบส่ายหน้าเร็วๆ อย่างเลิ่กลั่ก เขารู้สึกเกรงใจคุณหมอโกโจอย่างสุดซึ้งที่อุตส่าห์พาเขามาส่งถึงโรงพยาบาล รวมทั้งยังบอกให้พี่พยาบาลคนนี้รักษาแผลและให้ยาฟรี อีกทั้งก่อนจะเข้ามาทำแผล คุณเขายังบอกอีกว่าจะแจ้งความเอาเรื่องอันธพาลพวกนั้นให้หลาบจำ ซึ่งเขาได้คุยกับเด็กนักเรียนที่เป็นคู่กรณีและแน่นอนว่าไม่ถูกปฏิเสธเลย
ยูจิที่กลายเป็นผู้เคราะห์ร้าย ก็เพียงแค่นั่งให้พยาบาลทำแผลอยู่นิ่งๆ และรอคุณหมอไปส่งกลับบ้านเพียงเท่านั้น
“จะถอดไม่ถอด ไม่ถอดฉันจะออกไปบอกคุณหมอนะ” นางพยาบาลถึงขั้นต้องงัดไม้ตายสุดท้ายออกมา เด็กหนุ่มถึงจะยอมค่อยๆ ยกแขนพร้อมดึงชายเสื้อเลิกขึ้น เธอเห็นท่าว่าคงจะยากเย็นจึงลุกขึ้นไปช่วยจับแขนให้
“ก็แค่เนี่ย..” เธอว่ายิ้มๆ หลังจากเสื้อยืดด้านในสุดถูกถอดออก เผยให้เห็นรูปร่างสมส่วนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อบ่งบอกว่าเจ้าตัวน่าจะเป็นคนออกกำลังกายอยู่ตลอดเป็นแน่ “เป็นนักกีฬารึเปล่าเนี่ยเรา”
“เปล่าครับ ไม่เคยเล่นเลย” ยูจิตอบตามตรง ขณะที่พี่พยาบาลเลื่อนเก้าอี้ล้อไปด้านหลังเพื่อดูรอยช้ำ ทันใดนั้นประตูห้องฉุกเฉินที่เงียบสงัดก็ถูกเปิดเข้ามาโดยชายหนุ่มที่ยูจิไม่อาจลืมได้..
คุณหมอโกโจ ซาโตรุ
“ตรวจเสร็จรึยัง?” เสียงทุ้มถามอย่างไม่รีบร้อน นัยน์ตาของคุณหมอสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อมันสะท้อนภาพของเด็กหนุ่มในสภาพท่อนบนเปลือยเปล่า “ให้ถอดแบบนี้เลยเหรอ ไม่กลัวเด็กหนาวรึไง”
“อยู่ข้างในจะหนาวได้ยังไงคะหมอ งั้นฉันก็ใส่เสื้อขนสัตว์ทับชุดปฏิบัติงานแล้วสิ” นางพยาบาลเอียงตัวออกมาพูดกับคุณหมอจากด้านหลังของยูจิ ก่อนจะเอียงกลับไปประคบรอยช้ำที่กลางหลังต่อ ซาโตรุเดินเข้ามาใกล้ สายตาของเขากวาดหาเสื้อผ้าของยูจิที่วางอยู่ไม่ไกล
ร่างสูงเดินไปหยิบมาแล้วนำมาคลุมบนไหล่ของยูจิอย่างถนอม
“อากาศมันเย็น มิเตอร์ในห้องฉุกเฉินก็ไม่ค่อยดี” คุณเขาว่าขณะจัดเสื้อให้คลุมบนบ่าของเด็กหนุ่ม ยูจิขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเบาๆ เป็นการขอบคุณ กระแอมในลำคอเล็กน้อยในตอนที่คุณหมอเข้ามาใกล้ๆ ภาพตอนซาโตรุติดสายนิรภัยให้เขายังคงติดตาอยู่ แว่นกันแดดของคุณหมอที่เขาเห็น ในตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นแว่นสายตากรอบสีดำ ดูเรียบง่าย แต่ก็ดูดีมากยามเมื่ออยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของคุณหมอ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าคุณหมอโกโจตอนอยู่ในเสื้อกาวน์คงฮอตมากแน่ๆ ...
ยูจิ! มีสติหน่อยสิ! นั้นหมอ..!
นางพยาบาลที่ทำแผลด้านหลังเสร็จแล้วเคลื่อนเก้าอี้ออกมา ส่วนคุณหมอเองก็เดินห่างออกไปยืนเท้าเอวดูเอกสารประวัติของยูจิที่โต๊ะ ยูจิยังคงนั่งอยู่นิ่งๆ ภายในห้องที่ความเงียบเข้าปกคลุม ดวงตาซุกซนของเด็กหนุ่มมองไปจนทั่ว กระทั่งการเก็บอุปกรณ์ของนางพยาบาล และบนโต๊ะเอกสารภายในห้องฉุกเฉิน กระทั่งแผ่นหลังกว้างของคุณหมอโกโจในเสื้อเชิ้ตขาวนั้น กลุ่มผมสีสว่างประท้ายทอยเข้ากันกับปกเสื้อเชิ้ตได้ดี
ยูจิคิดไม่ออกเลยว่าคุณหมอคนนี้เขาจะดูดีขนาดนี้ไปเพื่ออะไรกัน เขาทานอะไรเป็นอาหารกันนะ?
ขณะที่พยาบาลสาวได้สังเกตเห็นบางอย่าง..
“หน้าแดงๆ นะเนี่ย หูแดงแจ๊ดเลย..” จู่ๆ มือเย็นๆ ของนางพยาบาลสาวก็เอื้อมมาแตะที่ใบหูของยูจิเบาๆ ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจเพราะตัวเองก็มัวแต่นั่งเหม่อมองด้านหลังของคุณหมอจนไม่ได้สังเกตอาการภายนอกของตัวเองว่าแสดงออกอย่างไร
ซาโตรุหันกลับมามองร่างเล็กที่เลิ่กลั่กจนปกปิดอาการไม่มิด เด็กหนุ่มส่ายหัวดุกดิกบอกกับนางพยาบาลว่าไม่ได้เป็นอะไร ทั้งที่ใบหน้าขึ้นสีราวกับจับไข้
น่ารัก...
เดี๋ยว...อะไรนะซาโตรุ
เมื่อกี้เผลอคิดว่าอะไรนะ..
“คุณหมอคะ..!” จู่ๆ เสียงนางพยาบาลก็ดังเข้าโสตประสาท คุณหมอดึงสติอย่างรวดเร็วก่อนจะเลิกคิ้วเป็นคำถาม “ตรวจเสร็จแล้วนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมยาให้ ระหว่างนี้ใส่เสื้อผ้าแล้วนั่งรอได้เลยค่ะ”
เธอว่าพลางลุกขึ้นและเดินถือเอกสารแผ่นสองแผ่นเข้าไปในห้องหนึ่ง ซึ่งทิ้งไว้เพียงคุณหมอและยูจิที่ยังคงนั่งนิ่งเพียงชั่วอึดใจ เป็นคุณหมอโกโจเองที่เป็นฝ่ายหยิบยื่นเสื้อผ้าให้ยูจิ
“นายใส่เสื้อมากี่ชั้นนะ?” ซาโตรุถามพลางเดินไปยังโต๊ะที่วางเสื้อของยูจิทั้งหมดอยู่ มีทั้งเสื้อฮู้ด เสื้อหนัง เสื้อยืดและถุงมือ เขานึกแปลกใจว่าอากาศหนาวขนาดนี้ทำไมไม่พกฮีตเตอร์ติดตัว
“ก็ทั้งหมดในกองนั้นเลยครับ” ยูจิพูดเบาๆ อย่างเหม่อลอย เขาชักไม่ค่อยอยากสนทนากับคุณหมอโกโจเท่าไหร่แล้ว เพราะเมื่อกี้ก็เผลอคิดว่าอีกฝ่ายดูฮอตซะอย่างนั้น
ร่างสูงถือเสื้อทั้งหมดมาให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่เก้าอี้ “ให้ช่วยใส่มั้ย?”
“ไม่เป็นไรครับ..”
“เอาหน่า ช่วยใส่นะไม่ใช่ช่วยถอด”
“จะแบบไหนก็ไม่เป็นไรครับ” ยูจิฉีกยิ้มปฏิเสธจากใจจริง พลางมองใบหน้าหล่อเหลาของคุณหมอที่ยิ้มบางอย่างผู้หวังดี ซึ่งยูจิเข้าใจถึงความหวังดีนั้นอยู่เต็มอก เพียงแต่ว่า...
“ยกแขนไม่ได้หรอก เดี๋ยวผมช่วย”
“คือผม…!” ยูจิที่กำลังจะอ้าปากห้ามปรามแต่ก็คงไม่ทันการณ์ มือใหญ่ของโกโจยื่นมาช่วยจัดเสื้อให้ยูจิอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ผิวสัมผัสจากฝ่ามือใหญ่จับกับแขน เด็กหนุ่มกระตุกเฮือกเล็กน้อยด้วยความไม่ชิน แต่สุดท้ายเขาก็ให้คุณหมอโกโจช่วยใส่เสื้อให้ เพราะคุณหมอทำอะไรก็เบามือไปหมด ทั้งยังรู้ว่าถ้ายกแขนสูงไปยูจิจะเจ็บ รู้ว่าจับตรงไหนยูจิจะไม่ปวด
การสวมเสื้อยืดชั้นแรกของยูจิช่างง่ายดายเมื่อมีคนช่วยใส่และจัดท่าให้ ทันทีที่หัวทุยๆ โผล่ขึ้นมาจากคอเสื้อ ยูจิกลับสังเกตได้ถึงรอยยิ้มมุมปากของคุณหมอโกโจที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“ยิ้มอะไรครับ” ยูจิถามขณะที่คุณหมอดึงชายเสื้อลงปิดส่วนหน้าท้องให้อย่างไม่รีบร้อน ขณะนั้นคุณหมอก็นั่งยองๆ ลงตรงหน้าเขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เด็กหนุ่มมองรอยยิ้มนั้นอย่างไม่เข้าใจ หรือเพราะเป็นหน้าของคุณเขาอยู่แล้วนะ?
“แค่รู้สึกทึ่งๆ น่ะ.. กล้าหาญมากเลยนะ อิทาโดริ”
น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะ ก่อนที่มันจะเต้นเร็วและแรงขึ้นจนดังกึกก้องอยู่ในหู และเมื่อมันควบคู่พร้อมกับดวงตาคู่สวยทรงเสน่ห์ที่กำลังช้อนขึ้นมามองเขา แน่นอนว่ายูจิแทบจะเป็นลมอยู่ตรงนั้น
เรียกชื่อผมอีกสิ..
“เป็นอะไรไป” คุณหมอโกโจเอียงคอเล็กน้อย “อิทาโดริ..”
“ยูจิ….”
“….”
“เรียกผมว่า ยูจิ ...ได้มั้ยครับ?”
เสียงของยูจิสั่นเล็กน้อย บ่งบอกได้ว่าเขากำลังประหม่าอย่างถึงที่สุด แต่เขาไม่เคยมั่นใจกับเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อน.. เขารู้สึกใจเต้นแรงอย่างหาที่มาไม่ได้เมื่อถูกคุณหมอโกโจเอ่ยชื่อต้น เป็นอะไรที่แปลกประหลาดมากเพราะยูจิไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน เขาเพียงแค่ต้องการพิสูจน์บางอย่างที่มันถูกซ่อนอยู่ภายในใจว่าลึกๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่
เพราะฉะนั้น...ได้โปรด
“ว่าไงนะ” คุณหมอโกโจที่กำลังนิ่งงันกับคำขอของเด็กหนุ่มเบิกตากว้างเล็กน้อย ถ้าความรู้สึกของอิทาโดริเป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ แล้วละก็...
“แต่งตัวเสร็จรึยังคะ?” ทันใดนั้นเสียงของพยาบาลสาวก็ดังขึ้นจากด้านหลังของคุณหมอ ซาโตรุลุกขึ้นโดยไม่ได้พูดถึงคำขอของยูจิแต่อย่างใด ซ้ำยังหยิบเสื้อตัวต่อไปมาช่วยยูจิใส่ตามหน้าที่โดยไม่ได้สนใจสายตาสับสนจากเด็กหนุ่มที่จ้องเขาอย่างไม่วางตา
หลังจากนั้นสถานการณ์ก็กลับเข้าสู่ปกติ เมื่อแต่งตัวเสร็จเขาก็ได้รับยาพร้อมชุดทำแผลให้เรียบร้อย เซ็นเอกสารในประวัติเล็กน้อยตามปกติทั่วไปของโรงพยาบาล
“ขอบคุณมากนะครับ” ยูจิก้มหัวให้เป็นการขอบคุณ เพราะเขาไม่สามารถโค้ง 45 องศาขอบคุณได้เนื่องจากแผ่นหลังยังมีรอยช้ำม่วงใหญ่ในตอนนี้
“จ้า เดินทางปลอดภัยนะคะ” ยูจิยิ้มตอบกลับให้กับนางพยาบาลที่ทำแผลให้ก่อนที่ประตูห้องฉุกเฉินจะปิดลง เรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะห้าทุ่มกว่าๆ หลังจากที่ยูจิเหลือบขึ้นไปมองนาฬิกาในโรงพยาบาลขณะเดินผ่านแต่ละสถานที่ เด็กหนุ่มเดินตามหลังคุณหมอโกโจอย่างเงียบเชียบโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาหลังจากที่ยูจิขอให้คุณหมอเรียกเขาว่ายูจิ..
หรือเขาพูดอะไรผิดไปเหรอ…?
“หนาวมากมั้ย อุ่นหรือเปล่าเสื้อแค่นั้น” เมื่อใกล้จะออกจากทางออกของโรงพยาบาล คุณหมอจึงหันมาถามร่างเล็กกว่าที่ยืนอยู่ด้านหลัง ยูจิไม่ได้สบตาเขา ซ้ำยังเลี่ยงที่จะสบตาจนดูออกอีกต่างหาก
“อุ่นครับ”
“อย่าโกหกผมนะ”
“ครับ” ถึงปากจะตอบแบบนั้นแต่ริมฝีปากกลับซีดจนไม่มีสีเลือด แน่นอนว่าสภาพอากาศที่ต่ำกว่าติดลบย่อมหนาวมากเป็นธรรมดา ฮีตเตอร์จึงจำเป็นอย่างมากในสภาพอากาศแบบนี้
คุณหมอโกโจขมวดคิ้วมุ่น เขาหันกลับไปเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มที่สูงเพียงแค่ริมฝีปากของเขาเท่านั้น
ตัวก็แค่นี้..
“ผมว่าเอาฮีตเตอร์ติดตัวไปด้วยดีกว่า” คุณหมอโกโจเสนอ เพราะที่ห้องทำงานของเขาในโรงพยาบาลนี้มีฮีตเตอร์อยู่หลายอัน และเขาอยากจะให้อิทาโดริสักสามอันเผื่อเด็กหนุ่มทำหายหรือมันไม่พออย่างไร เขาพร้อมที่จะช่วยเต็มที่
ซาโตรุเข้าใจเด็กหนุ่มเป็นอย่างดี เขารู้ว่าเด็กหนุ่มน่าจะอยู่คนเดียวที่ห้องพัก เพราะในประวัติของอิทาโดริ ยูจิ นั้นระบุว่าเพิ่งจะมีญาติเพียงคนเดียวเสียไปได้ไม่นาน นั้นก็คือคุณปู่นั่นเอง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ รีบไปส่งผมดีกว่านะ อ๊ะ..” ยูจิตัวสั่นเล็กน้อยขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น มือใหญ่ของคนตรงหน้าก็ยกขึ้นมาวางบนกลุ่มผมนิ่มก่อนจะออกแรงยีเบาๆ เรียกให้ยูจิช้อนตาขึ้นมองเจ้าของมือนั้นว่าต้องการจะสื่ออะไร
และยูจิก็ต้องพบกับจุดจบ..
“ยูจิ เชื่อหมอได้มั้ย?” คุณเขาก้มลงมามองนิ่ง “เป็นเด็กดีอีกสักหน่อย..ได้รึเปล่า?”
ยูจิจะเป็นเด็กดี..ก็ต่อเมื่อคุณหมอโกโจตามใจเท่านั้นแหละ...
23.45 PM
“ถึงแล้วครับ” ยูจิพูดเบาๆ เมื่อรถยนต์คันสวยจอดอยู่ที่หน้าอพาร์ทเม้นท์คุ้นตา มือขาวเอื้อมมากดลงบนตัวล็อกสายนิรภัยแต่มันกลับทำให้เด็กหนุ่มปวดบริเวณแผ่นหลังขณะยกแขนอย่างมากจนเผลอจิ๊ออกมาเบาๆ คุณหมอโกโจเห็นท่าจะไม่ดีจึงหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะขยับตัวไปจัดแจงทุกอย่างให้อย่างเรียบร้อย
“จะอาบน้ำเองได้รึเปล่าเนี่ย?” คุณหมอโกโจว่าพลางมองตาของยูจิใกล้ๆ มือใหญ่ลีลาในการปลดสายนิรภัยเพราะอยากอยู่ในท่าที่มองหน้าของยูจิใกล้ๆ นานๆ ..
“หน้าหนาวใครเขาอาบกันครับคุณหมอ” ยูจิมุ่ยปากเล็กน้อย บนตักของเด็กหนุ่มตอนนี้มีถุงผ้าซึ่งภายในมีฮีตเตอร์แทบจะทั้งหมดในห้องทำงานของคุณหมอโกโจ แน่นอนว่าเขาให้โดยไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำหลังจากที่อิทาโดริยอมคลี่ยิ้มคุยกับเขา หลังจากที่เขาเรียกเจ้าตัวด้วยชื่อจริง
น่ารักแบบนี้แต่แสบใช่เล่นเลยนะ
“ผมอาบนะ” คุณหมอโกโจไหวไหล่ ก่อนจะค่อยๆ ยกยิ้มมุมปาก “อยากให้หมอช่วยอาบมั้ยวันนี้..?”
“คุณหมอ!” เด็กหนุ่มหน้าแดงปรี๊ดขึ้นจนลมออกหู หัวคิ้วชนกันพร้อมพองแก้มไม่พอใจให้กับคำพูดสองแง่สองง่ามของเขาอย่างน่าเอ็นดู “ผมกลับไปนอนได้ก็ดีแค่ไหนแล้วครับ”
ยูจิว่าพลางก้มหน้างุด พูดตามตรงว่าเขาไม่อยากออกจากรถของคุณหมอโกโจสักเท่าไหร่เลย อาจจะเป็นเพราะชอบที่จะมองหน้า หรือชอบการได้คุยกับเขา
ชอบงั้นเหรอ...
ใช่----ยูจิมั่นใจหลังจากที่ถูกเรียกด้วยชื่อจริง ว่ามันคือการตกหลุมรัก และเขาก็พร้อมที่จะพุ่งชนเป้าหมายเสมอ ในเมื่อเขามั่นใจแล้วว่าคนนี้แหละที่เขาคิดว่าใช่
โกโจสังเกตสีหน้าลังเลยึกยักของยูจิสักพักโดยที่เขาใช้แขนค้ำกับพวงมาลัยมองอยู่ห่างๆ ราวกับรอคำถาม มือเล็กของยูจิขยับเล็กน้อย แผ่นอกกระเพื่อมตามจังหวะหายใจก่อนดวงหน้าน่ารักจะเงยขึ้นมาสบตากับคุณหมอ
“คุณหมอ..” ยูจิเม้มปาก “มี..แฟนรึยังครับ?”
“….”
ซาโตรุสาบานกับตัวเองว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ของเขาตอบว่าไม่มีอย่างเต็มใจแน่นอน แต่ภาพตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มถึงกับระบายยิ้มออกมาก่อนคุณหมอจะยกมือขึ้นมาปิดตาของตัวเองอย่างยอมจำนน
เขาช่างอ่อนหัดเสียจริง แค่โดนถามคำถามแบบนี้ยังคิดไปไกล...
“คุณหมอโกโจ..?” ยูจิหางคิ้วตกเมื่อเห็นคุณเขาหัวเราะกับตัวเอง ก่อนร่างสูงข้างกายจะเอนหลังพิงกับเบาะแล้วหันมามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่คาดหวังบางอย่าง..
“ถ้ามีจะมาติดเด็กอยู่แบบนี้เหรอ ยูจิ”
คุณหมอโกโจว่าพลางยกยิ้มมุมปาก ทำไมเขาถึงจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ยูจิต้องการจะบอกเขาตั้งแต่อยู่ในห้องฉุกเฉินมันคืออะไร แน่นอนว่าคุณหมอไม่ใช่คนที่จะเรียกชื่อจริงของใครง่ายๆ อยู่แล้ว แม้กระทั่งในการทำงานของเขาก็ไม่เคยเรียกชื่อจริงใครเช่นเดียวกัน
แต่ยูจิคือข้อยกเว้น
มือใหญ่เอื้อมไปเกลี่ยที่แก้มขาวนิ่มอย่างแผ่วเบา ที่โหนกแก้มนั้นมีรอยช้ำม่วงอย่างน่ากลัว คุณหมอไม่แตะต้องในส่วนนั้น นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ไล่ลงมาถึงปลายคางเล็กก่อนจะเชยขึ้นเบาๆ
ด้วยความไร้เดียงสา ยูจิหลับตาปี๋พลางยู่ริมฝีปากเล็กน้อยราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง...
“ผมไม่จูบกับคนไม่อาบน้ำหรอกนะ”
“อ๊ะ! โถ่!” ยูจิเบ้ปากทันที เด็กหนุ่มไหล่ตกก่อนที่คุณหมอจะปล่อยมือจากปลายคางเล็ก หันกลับไปนั่งตรงเหมือนเดิม “ผมก็นึกว่าจะเหมือนในหนังซะอีก”
“เดี๋ยวก็เหมือน”
“ไม่เห็นเหมือนเลย”
“นี่..” จนสุดท้ายคุณหมอก็หันกลับมามองยูจิอีกครั้ง คราวนี้เขาเอานิ้วชี้เตะที่ริมฝีปากของเด็กหนุ่มให้เงียบฟังเขาก่อน “แสบตั้งแต่แรกแบบนี้..ตอนหนังจบจะไม่มีแรงมาเถียงแบบนี้เอานะ ;) ”
ใช่..
เด็กเปรี้ยวแบบนี้ต้องเจอกาแฟอย่างคุณเขาบ้างล่ะ
END
_______________________________
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in