เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เสน่ห์ไอยคุปต์marmantin
รถม้าหรรษา เอ็ดฟู ทุ่งข้าว

  • Temple of Edfu


     หลังจากนอนชิมลมบนเรือสบายอารมณ์ มองวิวข้างทางมาตลอดทาง
     
    ในที่สุดก็ถึงวิหารเอ็ดฟูเสียที เรือของเราจอดเทียบริ่มตลิ่ง แต่เราต้องนั่งรถม้าเข้าไปเข้าไปในตัวเมืองเพื่อชมวิหาร  ระหว่างทางเข้าตัวเมืองฉันรู้สึกเหมือนฉันเป็นนางงาม(ในความรู้สึกฉัน)เข้าไปทุกที ที่ต้องมาโบกมือทักทายชาวเมืองที่เพิ่งเคยเห็นของแปลก(ในความรู้สึกเขา)อย่างคณะทัวร์จากเอเชีย :)

    พี่สาวเล่าให้ฟังว่าทริปที่แล้วก็ต้องนั่งรถม้าเข้าเมือง แต่รถม้าของคนในทัวร์ดันขับแยกไปอีกทาง ต้องตามกันให้วุ่นเชียวละ ฉันฟังแล้วก็เสียวตามไปด้วย แต่ว่าดีที่รถม้าคณะเราขับตามกันมาติดๆทุกคัน พอไปถึงจุดพักม้า ฉันกับพี่สาวก็กระโดดลงจากรถม้า ทราบความว่าเขาจะรออยู่ที่นี่ ให้เราจำเลขรถของเราเอาไว้และเราต้องกลับมานั่งรถคันเดิมเพื่อนั่งกลับไปยังเรือ

    ฉันเดินฝ่าความร้อนไปยังหน้าทางเข้าวิหารที่มีสารพัดของที่ระลึกขาย เดินๆอยู่ก็ดันมีคนขายของที่ระลึกมาดักหน้า ชักชวนให้ไปดูของร้านเขาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อ ผ้าคลุมไหล่และผ้าโพก พี่สาวฉันสนใจที่จะซื้อผ้าคลุมไหล่นะ นัยว่าถักจากขนแกะอะไรสักอย่างเนี่ยละ นางกะว่าจะซื้อไปฝากคนอื่น แต่ตอนนี้เวลาไม่ค่อยจะอำนวยสักเท่าไหร่ เพราะเราต้องเข้าไปชมวิหารแล้ว เดี๋ยวค่อยกลับมาดูนะ คนขายก็ยัดผ้าโพกผมสีแดงมีเหรียญสีทองห้อยไว้แทนพู่ให้ฉัน บอกว่าฟรีและบอกว่านี่จำชื่อร้านเขาเอาไว้นะ

    วิหารเอ็ดฟูถือว่าเป็นวิหารขนาดใหญ่ เดินไปทางเข้าก็จะว้าวกับความอลังการของกำแพงวิหารแล้ว ด้านหน้ากำแพงจะมีเหยี่ยวคู่หนึ่งตั้งอยู่ มองไกลๆเหมือนจะเล็ก แต่พอเดินมาใกล้ เออ มันก็สูงเลยหัวไปไกลเหมือนกันนะ พอเดินเข้าไปในวิหารจะเจอกับลานโถงแบบเปิด มีเสาหินรายล้อมเอาไว้ ส่วนวิหารข้างในก็จะมีประติมากรรมตามฝาผนังเหมือนวิหารทั่วๆไป แต่ที่เด่นๆน่าจะเป็นเครื่องปั้นที่เขาเอาไว้ประดับตรงหัวเรือ นึกภาพว่าเป็นหัวเรือสุพรรณหงษ์ของไทยก็ได้ แต่ของอียิปต์เขาทำเป็นรูปหัวเหยี่ยวใส่เครื่องทรงของฟาโรห์แทน สวยไปอีกแบบนะ :)


    ภายในวิหารค่อยข้างสลัวๆ บนเพดานมีรอยแตก ทำให้แสงอาทิตย์ส่องตกลงมาถึงพื้นวิหาร จริงๆฉันอยากได้รูปสวยๆกับคนอื่นเขาบ้าง กะจะแอคท่าสวยๆกับแสงที่ส่องลงมาเนี่ยแหละ แต่พอเรียกพี่ๆในคณะมาถ่ายรูปกับแสงตรงนี้กัน กลายเป็นว่าทำท่าตลกกันทุกคนเฉย บางคนก็ทำท่าเซเลอร์มูนตอนเปลี่ยนร่าง บางคนทำท่าขอเทพประทานพร ส่วนฉันก็มายืนกำกับว่าให้ทำท่าแบบไหนดี ต้องถ่ายยังไงเพื่อให้ได้ท่าที่ต้องการ แต่เราสนุกสนานกันมากทีเดียว

    จริงๆจะมีพี่โอ๊ตคอยบรรยายสาระเรื่องวิหารให้ฟังอยู่เนื่องๆ แต่ฉันสนใจที่จะถ่ายรูปมากกว่า เลยไม่ค่อยได้ฟังพี่เขาบรรยายสักเท่าไหร่ว่าประติมากรรมบนผนังนี่มันสำคัญยังไง หลังจากชมวิหารกันมาสักพักใหญ่ ก็จะกลับไปที่จุดพักรถม้าเพื่อเดินทางไปยังเรือ ฉันกับพี่สาวรีบพุ่งตัวออกไปก่อนเลย เพราะเรามีนัดกับคนขายผ้าไง ตอนไปถึงร้านเขาก็จำได้และรีบพาเราไปที่ร้านเขาเลย บรรยายสรรพคุณสินค้าเขาเต็มที่ พอเราจะซื้อแต่ดันตกลงราคากันไม่ได้ เสียเวลาไปสักพักเลย ฉันต้องรีบเตือนพี่ว่ามันถึงเวลานัดแล้วนะ เดี๋ยวคนอื่นจะรอเรา สุดท้ายคนขายก็ยอมขายเสียที

    ฉันกับพี่รีบวิ่งไปที่จุดพักรถม้า รู้สึกผิดมากเพราะคนอื่นเขารอเราอยู่จริงๆ พอพี่กิตติเห็นว่าเรามากันแล้ว ก็ให้รถคันแรกออกตัวเลยเพื่อไปที่ท่าเรือ ส่วนคันของเราเป็นคันสุดท้าย ฉันเห็นรถคันอื่นเขาวิ่งเลี้ยวขวากัน แต่คนขับคันฉันหันมาพูดอะไรสักอย่างนึงแล้วเลี้ยวซ้ายแทนซะงั้น!

    เฮ้ยๆๆ นี่มันไม่ตลกแล้วนะ! ฉันรีบถามเลยว่ายูจะไปไหนเนี่ย คนขับหันมาบอกว่าจะไปทางลัด แย่ละๆ เอาไงดี? ดีที่ฉันซื้อซิมเอาไว้ ทำให้เราสามารถติดต่อกับพวกพี่โอ๊ตได้ว่าคนขับแกพาเราเลี้ยวมาอีกทางหนึ่งนะ ฉันก็พยายามอัพเดทอยู่ตลอดว่าอยู่ไหน แต่คือมันไม่มีประโยชน์ไง เพราะฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ได้แต่คอยถ่ายรูปข้างทางส่งเข้ากลุ่ม จับมือเกร็งๆกับพี่สาวอยู่สองคน สุดท้ายก็มาถึงท่าเรือของเราจริงๆ และมาถึงก่อนคนอื่นในกลุ่มด้วย ฉันกับพีี่ได้แต่ปาดเหงื่อพร้อมความรู้สึกโล่งใจ ครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้อีกเลยนะฉันขอร้อง!

    คณะของเราก็กลับขึ้นเรือตามเดิม พักผ่อนตามอัธยาศัยเพื่อรอทานอาหารเที่ยงบนเรือ ซึ่งเรือจะล่องไปเรื่อยๆ เราไม่มีที่หมายต่อไปแล้ว เพราะเราต้องนอนบนเรือ 2 คืนทั้งๆที่ตอนแรกตกลงเอาไว้ว่าจะนอนแค่คืนเดียว แต่บ่นไปมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เรือก็ล่องตามแม่น้ำไนล์ไปเรื่อยๆ ลมดีมากเลย เสียงของพี่เบิร์ดที่ร้องเพลง 'สบาย สบาย' ดังก้องอยู่ในหัวเนี่ยละ

    ตกสายๆของวันนั้น พี่โอ๊ตเดินมาแจ้งว่าจะกัปตันเรือเขาจอดให้เราลงไปดูวิถีชีวิตของชานแถวนั้น จะไปไหม? คงกลัวว่าเราอยู่แต่บนเรือจะเบื่อกระมัง โปรแกรมชมวิถีชีวิตชาวบ้านนี่มันไม่ได้อยู่ในตารางทัวร์ แต่เขาจัดมาเราก็สนองสิคะ ก็ไปจอดเรือที่ท่าน้ำเล็กๆและเดินไปตามถนนดินเพื่อไปยะงหมู่บ้าน เออ มันก็สวยดีนะ ฉันเดินไปตามทางเดิน เจอคนขี่ลาลากรถลากมาตามทาง เจอทุ่งข้าวเหลืองอร่าม ทุ่งหญ้าเขียวขจี เจอธารน้ำไหลเอื่อยๆ เจอดอกหญ้าที่มีขนฟูๆ ฉันก็พยายามจะเป่าแล้วให้คนถ่ายรูปให้เนอะ แต่ไม่รอด 55555 นึกว่ามันจะล่องไปตามลมแบบที่คิดไว้ แต่เปล่าเลย ปลิวเป็นกระจุกๆหล่นไปตามพื้นซะงั้น ยอมแพ้ค่ะ! แต่ที่นี่คือวิถีสโลว์ไลฟ์ที่แท้จริง สงบดีจัง :)


    เดินกันมาสักพัก บางคนก็เริ่มโอดครวญแล้วว่าเมื่อไหร่จะถึง พี่เขาบอกว่าก็ไกลเป็นกิโลๆอยู่นะ โว้ว ไกลไปเปล่าพ่อคุณ สุดท้ายก็มีตัวช่วยมีรถคล้ายรถตู้แต่คันไม่ได้ใหญ่มารับ แต่พวกเราเข้าใจเลยละว่าพวกปลากระป๋องมันรู้สึกยังไงเวลาโดนอัดอยู่ในที่แคบๆแบบนี้ สุดท้ายรถตู้ก็ไปจอดอยู่ข้างๆรางรถไฟ พี่เขาก็ชี้ว่านี่ไงหมู่บ้าน พี่กิตติบอกว่าเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ของชาวมุสลิมทีี่มาตั้งรกรากอยู่ที่นั่นตั้งแต่960++ปีก่อน 

    พอเห็นคณะทัวร์เราลงจากรถ คนในหมู่บ้านโดยเฉพาะเด็กๆก็แห่กันมาต้อนรับ ทุกคนในคณะเราโดนห้อมล้อมและพวกเราเป็นเซเลปกันอีกแล้ว น้องบางคนก็ชวนคุยถามชื่อ What's your name? พอตอบไปอีกคนถามคำถามเดิมอีก บางคนก็ขอถ่ายรูป โอเค เอาที่น้องสบายใจเลยจ๊ะ

    หัวหน้าหมู่บ้านได้เชิญคณะเราไปนั่งพักที่บ้าน พร้อมเสิร์ฟชาร้อนๆให้ พี่กิตติก็เดินนำทางขึ้นไปตามบันไดชัน จนถึงบ้านของเขา ทุกคนได้รับชาร้อนสีแบบชาดำเย็น ซึ่งเรียกว่า อารูซะ (ชาเจ้าสาว) ที่เขาใส่น้ำตาลเติมความหวานมาให้ แต่ยังละลายไม่หมดจนมันมากองอยู่ที่ก้นแก้ว ผู้ชายในคณะบางคนก็โดนเด็กๆชวนไปเตะบอล แต่ฉันเลือกที่จะดื่มด่ำกับชาร้อนของฉันมากกว่าที่จะออกไปดูเขาเตะบอลกัน คนในคณะก็สนทนากันไปเรื่อยๆในบรรยากาศที่เป็นกันเองอย่างมาก

    เรานั่งใช้เวลากันสักพักหนึ่งก็ร่ำลา เตรียมเดินทางกลับไปยังเรือของเราเพื่อเดินทางต่อ รถตู้ของเรายังคงจอดอยู่ข้างรางรถไฟ คนในหมู่บ้านก็ยกโขยงกันมาส่งพวกเราบอกลาอย่างร่าเริง เหมือนว่าพอกลับไปเขามีเรื่องให้เม้าส์เล่าอวดกับคนอื่นแล้ว
    ยิ้มกว้าง :D

    วันนี้เป็นวันสุดท้ายบนเรือแล้ว ทางกัปตันเรือก็เลยอยากจะงานเลี้ยงพวกเราโดยที่จะจัดปาร์ตี้บนดาดฟ้าของเรือให้หลังอาหารค่ำ ทั้งพี่โอ๊ตและพี่กิตติก็ชักชวนให้ไปกัน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้บังคับว่าต้องไปนะ บางคนก็อิดออดไม่อยากไป ซึ่งนั้นรวมถึงพี่สาวของฉันด้วย แต่ฉันก็เลือกที่ไป บนดาดฟ้าของเรือเปิดไฟสีส้มๆเอาไว้ ลูกเรือก็สลัดผ้าแต่งองค์ทรงเครื่องกันเป็นชุดพื้นเมือง บ้างนั่งบนพื้นบ้างยืนถือกลองและเครื่องดนตรีต่างๆ ขับร้องบรรเลงเพลงพื้นบ้านให้คณะของเราฟัง บางคนก็ออกมาเต้นรำที่ฟลอ พร้อมทั้งยังชักจูงคนในคณะให้ออกไปสนุกด้วยกัน ไม่ต้องแอบเสียให้ยาก เพราะทุกคนโดนให้ออกไปเต้นหมด จะออกไปเต้นท่าบ้าบอยังไงก็ได้ มีแต่คนเชียร์ 55555 เป็นค่ำคืนเลี้ยงส่งที่น่าประทับใจไม่รู้ลืมอีกวันหนึ่ง


    "งานเลี้ยงย่อมต้องมีวันเลิกลา"


     To be continued...

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in