Temple of Horemheb
ค่ำคืนแรกที่นอนบนเรือใบ เป็นอะไรที่น่าจดจำ ฉันไม่ได้พูดถึงความสวยงามของห้องนอนของฉัน หรือห้องน้ำที่ดูคลาสสิกเหมือนหลุดเข้าไปในหนังเรื่อง The Mummy ภาคแรกตอนนางเอกอยู่ในเรือหรอกนะ
ที่น่าจดจำคือหลังอาหารค่ำ คนบนเรือฉันเรามารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นเพื่อเล่นเกมส์ Saboteur ไพ่บอร์ดเกมส์นักขุดทองกันอย่างสนุกสนาน ฉันก็เพิ่งเคยเล่นเป็นหนแรกนี่แหละ แล้วก็แพ้แบบน่าอายมากๆด้วย
อธิบายเกมส์สักเล็กน้อยนะ มันเป็นเกมส์ที่เล่นได้หลายคน โดยแต่ละคนจะได้การ์ดคาเร็คเตอร์ไปคนละใบ มี 2 แบบ แยกกันว่าใครคือนักขุดทองหรือใครที่เป็นตัวขวางไม่ให้นักขุดเจอทอง แต่ละคนจะได้ไพ่คนละสำรับ ซึ่งเป็นไพ่เส้นทางทรงต่างๆ เพื่อนำมาต่อกับไพ่ที่จุดเริ่มต้น
นอกจากไพ่เส้นทางแล้วยังมีไพ่ตัวช่วยที่ช่วยบล๊อคไม่ให้คนอื่นเล่นได้ ใครเหม็นขี้หน้าใคร ก็โยนไพ่นี้ให้คนนั้นซะ! สะใจดี! แต่ก็ดูด้วยว่าคนที่เราโยนไพ่ใส่เนี่ยเป็นพวกเดียวกันกับเราหรือเปล่า?
เมื่อมีไพ่บล๊อค ก็มีไพ่ปลดบล็อคเช่นกัน ถ้าคิดว่าเขาอยู่ทีมเรา ก็โยนไพ่นี้ช่วยเขาเท่านั้นเอง ง่ายใช่ไหมล่ะ? ที่มันสนุกคือเพราะเราไม่รู้ว่าใครได้บทบาทไหนน่ะสิ บางทีเราอาจจะกำลังช่วยเหลือศัตรูของตัวเองอยู่ก็เป็นได้!
จุดหมายของเกมส์คือจะมีไพ่ 3 ใบที่คว่ำอยู่ปลายทาง ให้คนที่เป็นนักขุดทองต่อเส้นทางไปเรื่อยๆจนถึงไพ่สักใบใน 3 ใบนี้ โดยใน 3 ใบจะมีเพียงหนึ่งใบเท่าที่มีทอง ถ้าเจอทอง กลุ่มคนขุดทองก็จะชนะนั่นเอง!
ส่วนที่ฉันบอกว่าตัวเองแพ้อย่างน่าอายก็คือ ฉันคิดว่าฉันได้บทนักขุดทอง ก็เล่นไปจนเจอทองชนะไปแล้ว แต่สุดท้ายคนอื่นมาดูการ์ดคาเร็คเตอร์ฉัน สรุปว่าฉันได้บทคนขวางนักขุดต่างหาก! ทุกคนฮาครืนกันใหญ่เชียวละ ฉันได้แต่หัวเราะกลยเกลื่อนเศษหน้าแตกๆของตัวเอง ความผิดพลาดถือเป็นประสบการณ์เว้ย ช่างมันๆ ถือซะว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากไม่ใช่หรือที่อย่างน้อยมันทำให้ทุกคนได้สนุกและหัวเราะกัน
พอเล่นไพ่กันจนเบื่อ จู่ๆมันก็กลายเป็นบรรยากาศการประชุม brainstorming ตัดเข้าโหมดซีเรียสแทนเสียอย่างงั้น เราถกกันเรื่องสถานที่เที่ยวตามแพลน เนื่องจากตอนแรกคิดไว้ว่าเราจะนอนบนเรือเพียงแค่คืนเดียว แต่ไปๆมาๆต้องนอนสองคืนแทน เพราะตกลงกับบริษัทเจ้าของเรือไม่ได้
การนอนบนเรือสองคืนจะทำให้แผนการเที่ยวของทัวร์เราต้องเปลี่ยนไปด้วย หมายความว่าเราจะเที่ยวได้แค่ที่วิหารเอ็ดฟูแค่ที่เดียวในวันถัดไป ทั้งๆที่เราควรจะได้เดียววิหารเอ็ดน่าด้วย ไหนจะพลาดชมวิหารฟิเล แล้วนำสุสานคนงานมาแทนที่อีก จะเอาตารางไหนไปใส่วันไหนแทนได้บ้าง เราเลยมานั่งเสนอไอเดียกันอย่างจริงจัง เพื่อที่จะได้เที่ยวให้ครบมากที่สุดตามตารางที่กำหนดไว้ เมื่อตกลงกันได้แล้วเราถึงแยกย้ายกันไปนอน โดยที่พี่โอ๊ตจะนำแผนไปปรึกษากับพี่กิตติที่อยู่เรืออีกลำแทน
แล้วฉันว่ามันตลกมาก ถามหน่อยใครเคยมาเที่ยวทัวร์แล้วต้องมาวางแผนเที่ยวกับหัวหน้าทัวร์แบบนี้บ้าง ไม่มี๊! ฉันว่ามันไม่เหมือนมาเที่ยวกับทัวร์ เหมือนเรามาเที่ยวกับครอบครัวมากกว่า และเป็นครอบครัวที่ใหญ่มากๆด้วย :)
"บางครั้งสิ่งที่เคยวางแผนไว้ก็ไม่เคยเป็นไปตามที่วางแผน"
รุ่งเช้าวันใหม่บนเรือใบลำน้อยๆของเรา แน่นอนว่าอย่างไรฉันก็ไม่มีทางพลาดอาหารเช้าโดยเด็ดขาด แต่ทุกคนตกลงกันแล้วว่าเจ็ดโมง เรือจะแวะเข้า Temple of Horemheb วิหารหลังน้อยริมแม่น้ำไนล์ เหมือนเป็นการปลอบใจที่วันนี้คงไม่ได้เที่ยวเยอะมากเท่าที่แพลนเอาไว้
เรือของเราค่อยๆเทียบท่า คณะทัวร์ของเราก็ทยอยขึ้นฝั่งกัน เมื่อมายืนบนฝั่งเท้าของฉันก็เหยียบลงบนผืนทราย ก่อนจะเข้าวิหารโฮเลมเฮป เราเดินลัดเลาะไปตามริมแม่น้ำเพื่อไปดูเหมืองหินก่อน เราเดินผ่านวิหารน้อยแห่งหนึ่งดูลึกลับดี เพราะซ่อนอยู่ในภูเขาเว้าแหว่ง แต่ที่นี่จะต่างจากวิหารอื่นตรงที่มีวิหารที่เป็นวิหารจริงๆ มีรูปแกะสลักเทพเจ้าปกติ กับวิหารที่เจาะเข้าไปในภูเขา ดูธรรมชาติๆ แต่ไม่เห็นรูปแกะสลักเทพเจ้าเลย มีแต่รูปคนธรรมดา
วิหารหินนี้ฉันสามารถปีนขึ้นไปดูได้ เพราะวิหารแห่งนี้เหมือนถูกเจาะจากข้างใน ทางเข้าเหมือนแอนทีโลป แคนยอนหน่อย แต่พอเข้าไปถึงด้านในแล้วทำให้นึกถึงบ้านของมนุษย์ยุคหิน ฟลินท์สโตนขึ้นมา เวลาเขามองออกไปนอกบ้านคงจะรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน แต่ฉันคิดว่าวิวนอกบ้านฉันน่าจะสวยกว่านะ เป็นภาพที่รู้สึกทำให้ใจฉันสงบมาก มีภูเขาเป็นพื้นหลัง สายน้ำไหลเอื่อยๆ มีต้นไม้กอหญ้าขึ้นอยู่ตามริมแม่น้ำไนล์
Peaceful?
ถ้าแผนเที่ยวคณะเราไม่ได้เปลี่ยนที่เที่ยว บางทีฉันอาจไม่ได้เห็นวิวแบบที่ฉันเห็นตอนนี้ก็ได้นะ สิ่งที่เราไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น บางครั้งมันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้
เราเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ พี่โอ๊ตบอกว่าที่นี่เป็นเหมืองเก่าที่คนงานจะตัดหินเอาไปใช้ในการก่อสร้าง ก็เอาไว้ใช้สร้างสุสาน สร้างวิหารนั่นแหละ น่าประหลาดใจที่ภูเขาบางลูกมันเรียบมากจริงๆ เหมือนคนเอามีดมาตัด แต่เฮ้ย..นี่มันหินนะ มันจะเรียบขนาดนี้ได้อย่างไรกัน เป็นอีกครั้งที่นึกทึ่งกับคนสมัยโบราณ
พอเดินไปจุดสุดเหมือง ก็เจอกับทางออกสู่แม่น้ำอีกทาง บางคนดูจนเบื่อแล้วก็เริ่มเดินกลับเรือ แต่ฉันหันไปเจอคุณป้าคนหนึ่งกำลังถ่ายรูปกับกำแพงหินที่มีรูโหว่อยู่ มันคงจะไม่น่าขำถ้าคุณป้าเขาไม่ได้กำลังพยายามยัดหัวตัวเองเข้าไปในรูนั้นแล้วให้เพื่อนถ่ายรูปให้จากอีกฝั่งหนึ่งของรู เจ้ารูโหว่นั้นเป็นเหมือนกำแพงหินที่มีรูทะลุไปอีกฝั่ง พี่โอ๊ตบอกว่าเป็นรูที่เอาไว้คล้องสมอเรือไม่ให้เรือขยับ เฉียบมาก!
ฉันเลยเข้าไปช่วยคุณป้าบ้าง คุณป้า(ซนได้)น่ารักมาก ชักชวนให้ฉันมาถ่ายรูป แล้วเขาก็ถ่ายรูปให้ฉัน คนทริปนี้เหมือนรวมคนบ้าอยู่ด้วยกันหน่อยๆ เพราะตอนนี้ทุกคนโดนชวนให้เอาหัวมาทะลุรูช่องนั้นแล้วถ่ายรูปกัน บางคนก็เสนอไอเดียแปลกๆ เช่น เดียวเธอเอาหัวยัดไว้นะ ฉันจะทำท่าว่าดึงเธอออกมาจากรู ถ่ายรูปแล้วก็หัวเราะคิกคักกันไป แต่ฉันรู้สึกว่ามันทำให้คนในคณะเราเริ่มสนิทกันมากขึ้น ตอนเดินขา กลับก็เดินอย่างอ้อยอิ่ง
เพื่อนในคณะทัวร์อย่างพวกพี่ยูริที่ทำงานในมหาวิทยาลัย พี่จ๋าแม่สาวโอมานแอร์และพี่โอ๊ตวิทยากรของเราที่สนิทกับพี่สาวของฉัน จากตอนแรกที่ดูเกร็งๆกับฉันในตอนแรกก็ชวนมาถ่ายรูปด้วยกัน สงสัยว่าการถ่ายรูปเอาหัวมุดรูน่าจะเป็นการละลายพฤติกรรมกันกระมัง พี่ๆเขาถึงเข้ามาพูดคุยอย่างสนิทสนมมากขึ้น เห็นบอกว่าตอนแรกไม่กล้าคุยด้วยเท่าไร เพราะกลัวฉันจะหาว่าเขาบ้าๆบอๆกัน แต่พอเจอฉันชวนถ่ายรูปประหลาดเขาถึงบางอ้อว่า อ๋อ เรามันพวกเดียวกันนี่หว่า พวกเราเดินไปคุยไปก่อนเดินเข้าไปชมวิหารโอเลมเฮปที่เป็นวิหารแบบตัว T ที่เห็นได้ทั่วไป ก่อนกลับพวกเราก็เลยมาถ่ายเซลฟี่หมู่กลุ่มใหญ่ที่หน้าวิหารพร้อมเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าวิหาร ก่อนที่จะขึ้นเรือเพื่อไปชมวิหารเอ็ดฟูกันในช่วงสายๆ
วิหารโฮเลมเฮป
วิหารโฮเลมเฮปมีขนาดค่อนข้างเล็ก ภาพฝาผนังเลยไม่ค่อยเยอะเท่าไรนัก
To be continued...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in