จริง ๆ เห็นใน Twitter ของทาง minimore บอกว่ามีโปรเจคเขียนเรื่องเล่าเกี่ยวกับความเป็น "ติ่ง" จากนั้นเราก็เข้าไปอ่านเรื่องราวของคุณ chaopim จากเรื่อง [ติ่ง101] 1 : บางทีคำถามก็เป็นคำตอบ
อ่าน
พออ่านจบแล้ว เราก็เลยรู้สึกว่า เออเนอะ ไม่ได้ต่างกันเลย
จริง ๆ เราก็ไม่คิดว่าเราจะเป็นติ่งหรือเข้ามาอยู่ในวงการนี้หรอกนะ แต่วันนั้น ย้อนไปเมื่อตอนที่เราอยู่ ม.2 ช่วงที่อินเตอร์เน็ตเข้าถึงหมู่บ้านของเรา และเราก็เป็นบ้านแรก ๆ ที่เล่น Hi-speed ตอนนั้นก็เข้า ๆ ออก ๆ แชทต่าง ๆ นานา ได้รู้จักเพื่อนทางอินเตอร์เน็ต เจอเพื่อนคนหนึ่ง อยู่ กทม. แน่นอนว่าเด็ก กทม. ย่อมอัพเดทอะไรได้เร็วกว่าเด็กต่างจังหวัด เพื่อนจะคอยบอกเราเสมอว่าตอนนี้ที่ กทม. มีกิจกรรมนู่นนั่นนี่....
ทำให้เรารู้จัก cover dance ในที่สุด แต่ตอนนั้นก็อาศัยดูจากคลิปเบลอ ๆ ที่เพื่อนอัดมาให้ เพื่อนเริ่มที่จะส่งเพลงส่งอะไรมาให้ฟัง แต่เดี๋ยวนะ เราไม่ใช่ "ฝั่งนั้น" เราอยู่ "ฝั่งตรงข้าม" เราเริ่มสนใจเรื่อง cosplay, ดนตรีร็อค จนได้รู้จักกับ Visual Kei... แต่เนื่องจากตอนนั้นไม่มีจุดที่จะตามศิลปินได้เลย...นิตยสารบนแผงมีแค่หัวเดียวคือ J-SPY... เราก็อาศัยอัพเดทข่าวของศิลปินจากนิตยสารหัวนี้ แต่ปัญหาบังเกิดเมื่อ เราโตขึ้น...
ความต้องการเรามากขึ้น ความอยากเรามากขึ้น อะไร ๆ เรามากขึ้น... พอขึ้น ม.4 ที่บ้านให้เราเลือกเรียนสายวิทย์-คณิต เพราะทั้งบ้านเป็นสายวิทย์ทั้งหมด เราก็โอเค...มันเริ่มมาพีคเมื่อตอนที่เราอยู่ ม.6 มีการสอบแพทย์...เราไม่อยากจะสมัครสอบ แต่ที่บ้านให้สอบ เราก็ตามใจที่บ้าน เราไปสอบ เราอ่านหนังสือ เราเตรียมตัวดีมาก แต่เมื่อเข้าห้องสอบ เราไปนั่งไปนอนเล่นให้มันหมดเวลา เราไม่ทำข้อสอบ...
พอประกาศผล เราก็ไม่ได้
เราก็บอกที่บ้านว่า ... เนี่ย สอบแพทย์ไม่ติดนะ...
หลังจากนั้นเราก็เล่นเกมหนักมาก ทำให้เราเราป่วย นอนโรงพยาบาลอยู่ 2 อาทิตย์ นอนโรงพยาบาลคนเดียวเพราะที่บ้านทำงาน เพื่อนของเราในตอนนั้นก็คือหนังสือภาษา"นั้น" 1 เล่ม และเพลงของศิลปินที่เราชอบ...เราฟัง เราอ่านวนอยู่ทั้งหมด 2 อาทิตย์ หนังสือของภาษา"นั้น"เราอ่านจบราว ๆ 10 รอบเห็นจะได้ เราจำได้แม้กระทั่งว่าศัพท์นี้โผล่ครั้งแรกที่บทไหน คำพูดนี้อยู่หน้าที่เท่าไร...
ตอนนั้นเราชอบ...เรารัก...จริง ๆ
พอออกจากโรงพยาบาลก็คุยกับที่บ้านว่า หนูตัดสินใจแล้ว หนูจะเข้าคณะนี้...หนูจะเรียนภาษานี้...
ตอนนั้น...คิดว่าเป็นครั้งแรกที่ตัวเองพูดสิ่งที่ตัวเองต้องการออกไป...
ถามว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น...
ทั้งญาติ ทั้งที่บ้านเข้ามาคุยกับเรา บอกว่าการไปสายภาษาไม่ได้ทำให้รุ่ง ไม่มีอะไรรุ่งเท่ากับสายวิทย์-คณิตอีกแล้ว...ถ้าอยากจะเรียนภาษาก็ค่อยไปเสริมเอาก็ได้... เราจัดการโทรหาแม่เราที่อยู่ต่างประเทศ แล้วบอกแม่ว่า หนูจะเรียนสายนี้ มันมีงานให้ทำเยอะแยะนะแม่ ภาษาต่างประเทศเราไปได้ต่างประเทศ...เราไม่ต้องทำงานที่ไทยก็ได้...นั่นเป็นความคิดแสนจะเด็กน้อยไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของเรา
เราไฟต์กับที่บ้านหนักมาก...สุดท้าย... เราชนะ...
เราได้เรียนในสิ่งที่เราชอบ แต่ว่า...นั่นมันตามมาด้วยความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่...จนถึงตอนนี้ ตอนที่เราใกล้จะเรียนจบ เรากลัวเสมอ...เรากลัวเราล้ม...เพราะยิ่งโตขึ้น เรายิ่งมองออกว่า ทุกคนต่างก็ได้ภาษากันทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ภาษาเดียว เด็กสมัยได้ราว ๆ 3 ภาษา...
สายภาษาโดยตรงอย่างเรายังจะจำเป็นอยู่มั้ย...
แต่เราจะล้มไม่ได้ เรากลัว...เรากลัวว่าที่บ้านจะกลับมาหัวเราะเราและพูดประโยคสั้น ๆ แต่บาดลึกถึงหัวใจว่า "กูเตือนมึงแล้ว..." เพราะงั้นถึงตอนนี้เราถึงได้เคลียดมาก...เราคิดเสมอว่าตัวเองตัดสินใจผิดมั้ยที่ทำในสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง เราทำผิดไหมที่ดันให้ "ความติ่ง" ในตอนนั้น มาปิดบังดวงตาที่ต้องมองไปไกลยังอนาคต 10 ปีข้างหน้า...เราในตอนนั้นคิดแค่ว่า ฉันอยากจะฟังศิลปินของฉันรู้เรื่อง ฉันไม่อยากจะรอคนอื่นแปลแล้ว ฉันอยากจะฟังมันด้วยตัวเอง...
แล้วยังไงต่อเหรอ?
ตอนนี้ฉันก็ฟังออกแล้วนินา....
ฉันทำซับได้อีกต่างหาก...
ฉันล่ามได้ ฉันแปลได้ ฉันนำเที่ยว นำแฟนคลับไปดูคอนเสิร์ตของเขาได้...
เราเคยเป็นคนที่ไร้อนาคตตอนที่อยู่ต่างประเทศ เพราะตอนนั้นได้ดูคอนเสิร์ตของศิลปินที่ชอบ ทุกอย่างมันบรรลุหมดแล้ว ความต้องการตลอด 8 ปีมันบรรลุหมดแล้ว ไม่มีเป้าหมายต่อไปแล้ว...ร้องไห้ตลอดว่าอยากจะกลับบ้าน ที่นี่ไม่มีอะไรสนุกอีกแล้ว
เราคิดว่าเราพลาดนะที่ให้ความติ่งมาบังตาตอนที่เลือกคณะ...
แต่ทว่า...ไม่ใช่หรอก....แค่พวกเขามีหน้าที่มาส่งเราถึงแค่ตรงนี้ตางหาก หลังจากนั้นเราต้องหาแหล่งพลังงานใหม่ เพื่อผลักดันให้ตัวเองไปต่อ... เรากล่าวขอบคุณวงดนตรีที่เราตามมาถึง 8 ปี... ไม่ใช่ว่าเราทิ้งเขา ไม่สิ...เรียกว่าทิ้งดีไหมนะ
...มันเหมือนกับของรักที่เรายกขึ้นไปบนหิ้ง
...เราเดินผ่าน
...เรายิ้มให้
...เราทักทาย
...แต่เราไม่หยิบลงมาเล่นเหมือนเดิม...
เราหยิบอันใหม่ขึ้นมาเล่น...
ศิลปินกลุ่มที่ 2 ที่ลากเราขึ้นมาจากหลุมแห่งความไร้อนาคต... ตอนนั้นเราก็อยู่ต่างประเทศ กำลังล่องลอยได้ที่เลย และเตรียมตัวสอบวัดระดับด้วย เราร้องไห้หนักมาก เพราะเราทำ Pre-test ไม่ได้ซักที...เราเลยตัดสินใจหาอะไรฟังใน Youtube เล่น ๆ จนได้ไปเจอพวกเขาทั้ง 9 คน และหา main bias ของตัวเองจนเจอ เราฟังวิทยุของเขา 24 ชั่วโมง โหลดเข้ามาเก็บไว้ใน iPod ไปไหนก็ฟัง บทสัมภาษณ์ของเขาเราแปลหมดทุกอย่าง เราฝึกแบบนี้แค่ 3 เดือน เราผ่านการสอบวัดระดับมาได้...
เรากล่าวขอบคุณเขา และยังใช้เขาเป็นพลังงานต่อไป
ต่อไป...ต่อไป...ต่อไป แม้แต่ตอนที่กลับมาไทย เราก็ยังคงใช้เขาเป็นแห่งพลังงาน
จนผ่านเข้าปีที่ 2
พลังงานของพวกเขาทั้ง 9 คนผลักดันให้เราสอบผ่านการวัดระดับทางภาษา ระดับสูง....
แต่พลังงานย่อมมีวันหมด...
เราค่อย ๆ หยิบพวกเขาทั้ง 9 คนขึ้นหิ้งเหมือนกับศิลปินวงแรกทีละคน...ทีละคน...
หลังจากส่งพวกเขาขึ้นหิ้งใกล้จะครบ 9 คน...เพื่อไม่ให้ตัวเองไร้อนาคตอีก เราต้องรีบหาแหล่งพลังงานใหม่...ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราโง่ภาษาอังกฤษขั้นที่แบบรับตัวเองไม่ได้แล้ว ต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว ก็เลยเปิดดูคลิปรายการภาษาอังกฤษใน Youtube จนไปเจอกับแหล่งพลังงานปัจจุบันของเรา....
เขาพูดได้ 6 ภาษาในระดับที่สื่อสารได้ 1ใน6 คือภาษาเป้าหมายของเรา นั่นก็คือภาษาอังกฤษ...ทำให้เรามีพลังในการเรียนภาษาอังกฤษขึ้นมา ตอนนี้เราเริ่มที่จะพิมพ์, เขียน, ตอบเป็นภาษาอังกฤษได้บ้างแล้ว แต่การพูดเรายังอายอยู่ เราก็อาศัยการพากษ์เสียงของเขาเอา...
ยิ่งเราเป็นคนที่เกลียดความพ่ายแพ้ การที่มี main bias พูดอะไรได้เยอะแยะแบบนี้ ยิ่งเป็นตัวผลักดันเราให้เร่งพัฒนาตัวเองได้เป็นอย่างดี ไม่ได้ต้องการจะไปเทียบขั้นเขาเพราะเรารู้ ว่ามันต่างกันมาก... แต่แค่เอาเขาเป็นเป้าหมาย หลังจากนั้นคิดว่า...ทำได้ซักครึ่งก็ยังดี...
ยิ่งเข้าไปอ่านประวัติของเขา ยิ่งรู้สึกว่า เออ...เหมือนกันเลย... นายทิ้งความฝันของตัวเองและของครอบครัว ในขณะที่ฉันก็ทิ้งเองเหมือนกัน... แบกรับความรับผิดชอบเหมือนกันใช่มั้ย? ฉันเองก็กำลังแบกมันอยู่ล่ะ... นายล้มได้มั้ย? ล้มไม่ได้ใช่มั้ย? ฉันเองก็ล้มไม่ได้เหมือนกัน...
เหมือนเราในฐานะ"ติ่ง" และเขาในฐานะ"main bias" ของเราเติบโตไปพร้อม ๆ กันเลย...ถึงสถานจะต่างกัน แต่รู้สึกได้ รู้สึกว่าเรากำลังโตไปพร้อม ๆ กัน...
มันเป็นความสัมพันธ์ที่ถ้าไม่ใช่ "ติ่ง" จะไม่มีทางเข้าใจ... พวกเขาเป็นเหมือนพลังงานชั้นดีของเรา ที่จะผลักดันให้เราก้าวต่อไปข้างหน้า ต่อให้ข้างหน้าจะน่ากลัวซักแค่ไหน แต่ถ้าเขาก้าว เราเองก็พร้อมที่จะก้าว หรือในตอนที่เราท้อ พลังงานนี้ก็จะคอยต่อเติม หล่อเลี้ยงขาของเราให้ลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง...
เราคิดว่ามันไม่ผิดเลยที่ใครคนใดคนหนึ่งจะชื่นชอบอีกคนและกลายเป็น "ติ่ง"...เราพัฒนาตัวเองมาได้จนถึงระดับสูงแบบนี้ก็เพราะความเป็น "ติ่ง" ทั้งนั้น... เราดีใจนะที่เราเลือกในสิ่งที่หัวใจเราต้องการ ถึงตอนนี้เราจะหวั่น ๆ กับอนาคตของเราก็ตาม แต่เราเชื่อ...ถ้า main bias ของเรายังสู้ และก้าวเดิน เราเองก็จะสู้ และก้าวเดินเช่นกัน
ความพยายาม จะต้องได้รับการตอบแทน
Takahashi Minami
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in