ย้อนกลับไป 7 ปีประถมห้าเป็นวัยที่เด็กมาก เรารักเร็วและลึกเกินไปจนลืมตกลงกับตัวเองและสติให้ดีก่อน สำหรับเรา ถึงมันจะก่อให้เกิดผลเสียนู่นนี่กับทั้งตัวเราและครอบครัวบ้าง (ไม่ได้ดราม่ามากหรอก เสียการเรียน เกรดตกนิดหน่อย ทำให้แม่กังวลมากๆ ประมาณนี้) แต่มองย้อนกลับไป.. มันเหมือนรักแรกตอนเด็กๆ อ่ะ ..จริงและสวยงามเสมอ
และน้ำตาเรายังคลอเกือบทุกครั้งที่ได้ยินเสียงห้าเสียงร้องเพลงด้วยกัน
แต่กับครั้งนี้ ความรักที่กลับมาอีกทีตอนอายุ 15
เราตกลงกับตัวเองไว้ว่า จะรักตัวเองให้มากที่สุด ต่อให้ผู้ชายหล่อแค่ไหน ร้องเพลงเก่งแค่ไหน แรปดีขนาดไหน ซิกซ์แพ็คปังขนาดไหน เราจะไม่รักเขาเท่าอีหน้าเหียกในกระจกเด็ดขาด
เราลงพนันไว้แบบนั้น
และเมื่อไหร่ที่เขาเริ่มทำให้เราแย่ลง
เราก็พร้อมจะทิ้งเขาทันที
ฟังดูใจร้ายเนอะ เอาจริงๆ ก็ทำไม่ได้หรอก คนมันรักอ่ะ เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือ เราต้องรักเขาให้ดีต่อใจเรามากที่สุด รักเขาในแบบที่จะไม่ทำให้เราเสีย เอาง่ายๆ ก็รักษาความสัมพันธ์นี้ไปให้นานๆ นั่นแหละ
ที่ผ่านมาสองสามปีก็ถือว่าทำได้ไม่แย่นะ แรกๆ ก็ขอเงินแม่ซื้ออัลบั้มบ้าง หลังๆ ก็เก็บตังจากที่แม่ให้รายเดือน หารกันคนละครึ่งกับน้อง (โชคดีที่นางติ่งด้วย55) ซื้อเยอะอ่ะพวกอัลบั้ม ดีวีดีสเปเชี่ยล บลาๆๆ จะว่าฟุ่มเฟือยก็ได้ แต่ไม่เคยขอแม่อีกเลย แม่เคยกังวลว่าไม่ขอแต่ซื้อนู่นนี่แล้วจะหมุนเงินทันหรอ (เพราะฝากเพื่อนโอน เหมือนเอ๊ะยืมเพื่อนแต่ตัวเองไม่มีเงินซื้อหรือเปล่า) เราก็บอกแม่ไปว่า ถ้าตอนนั้นเราไม่มีเงินพอซื้อ เราจะไม่ซื้อเด็ดขาด เราจะไม่เอาเงินในอนาคตมาใช้ คอนเสิร์ตตอนแรกๆ ก็จ่ายเองครึ่งนึง กราบขอร้องหม่อมแม่อีกครึ่งนึง หลังๆ มานี่จ่ายเองหมดแล้ว ภูมิใจมากด้วย ;D (น่าน อวดไปอีก — จริงๆ แค่อยากเล่าให้เห็นภาพของคำว่า “สติ” ที่อีนี่มีมากขึ้นเท่านั้นนะคะทุกคน)
อีกเรื่องที่ต้องสู้มากเช่นเดียวกันคือเรื่องเรียนจ้า อื้อหือ ผู้หญิงสมาธิสั้นอย่างอิแก้ม เกือบไม่เป็นอันทำการทำงานกันเลยทีเดียว โชคดีที่สุดที่เราอยู่โรงเรียนประจำที่ห้ามพกโทรศัพท์ และอนุญาตให้เด็กเล่นคอมพิวเตอร์แค่วันละยี่สิบนาทีเท่านั้น
เยส.. วันละยี่สิบนาที อ่านไม่ผิดหรอก
รู้สึกอึดอัดเหมือนกันนะ แต่มันก็ทำให้เราได้รู้ว่าอย่างน้อยถึงไม่มีอปป้าให้ติ่ง เราก็อยู่ได้
อีกอย่าง เราได้เห็นถึงพลังของการมีคนให้ติ่งอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก
นี่, จอนจองกุก ณ บังทันโซนยอนดัน วงที่พาเรากลับมาสู่วงจรติ่ง
ไม่ได้จะอวยเมนหรืออะไร แค่อยากบอกว่าจองกุกคนนี้เกิดปี 97 อายุ 15 เท่ากันในตอนที่เรารู้จักกันครั้งแรก
ตอนที่เขาเดบิวต์แล้ว มีอาชีพ มีเงิน
และตอนที่เรายังใช้ชีวิตเป็นเด็กนักเรียนไปวันๆ
การเปรียบเทียบเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ “เห้ย นี่มันคนที่อายุเท่าเราจริงๆ หรอวะ? ดูเขาสิ มีความสามารถขนาดนี้ มุ่งมั่นขนาดนี้ ทุ่มเทขนาดนี้..
แม่งเราทำอะไรกับชีวิตตัวเองอยู่วะ?” เราไม่ได้กล้าเทียบชั้นกับจองกุกหรอก ยังไงดีล่ะ โตกันมาในสังคมคนละสังคมกัน เป้าหมายต่างกัน เราเข้าใจดีและไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะต้องประสบความสำเร็จมีอาชีพตั้งแต่อายุ 15
แต่ที่เรามั่นใจว่าเรากับจองกุกมีเหมือนกัน คือความฝัน และความสามารถ
จองกุกมีฝันของเขา และพัฒนาตัวเองในแบบของเขา
เราเอง.. ก็จะพัฒนาตัวเองไปตามความสามารถและความฝันตัวเองเหมือนกัน
เราไม่ใช่คนเรียนแย่อยู่แล้ว แต่เรา take myself seriously มากขึ้น ถามคำถามถึงเป้าหมายในการเรียนหนังสือของตัวเอง อดทนทำในสิ่งที่ไม่ชอบ (วิชาเลขเป็นต้น) และพยายามเปิดโลกตัวเองให้กว้าง เสริมประสบการณ์ให้ตัวเองเยอะๆ
และเราดีใจที่อย่างน้อยเราก็ได้ถามคำถามนี้กับตัวเองในวัย 15
“แก้มอยากเป็นอะไรตอนโตหรอ”
ถ้าวันนึงเราจะได้มีอาชีพ แบบเดียวกับที่จองกุกมี เราจะอยากทำอะไร ความฝันของจองกุกคือการเป็นไอดอล แม้มันจะสำเร็จแล้ว แต่จองกุกก็พูดอยู่บ่อยๆ ว่าเขายังไม่พอใจในตัวเอง และอยากพยายามมากกว่านี้ตอนนี้ แล้วแก้มล่ะ? แก้มพยายามพอหรือยัง ทำอะไรเพื่อความฝันของตัวเองได้บ้าง
อีกหลายปัจจัยที่ทำให้เราพยายามพัฒนาตัวเองมากขึ้น
แต่จองกุกเป็นหนึ่งในนั้น
เราดีใจที่เราได้เติบโตไปด้วยกัน
และเราขอบคุณ :)
แต่ยังค่ะ
มันยังไม่จบ
เพราะเรายังติ่งต่อไป
แต่เราต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย
วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮือออออออฮือออออออออออ TT
ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย........
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in