เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องน่ากลัวในความนึกคิดของข้าพเจ้าชนุ่น
เหตุผลที่ตาพะยอมยังไม่เผาศพหลานชายตัวเอง (4)


  • เหตุผลที่ตาพะยอมยังไม่เผาศพหลานชายตัวเอง

    (ตอนที่ 4)



    (4)

    ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังโดยสารอยู่ในรถยนต์คอรอลลาปี 1999 หลังคาซีดานสีเงิน คนขับคือสาวเจ้าที่ไปโวยวายจะเข้างานศพลุงอ้นคนนั้น ครั้นเธอเห็นผมลืมตาตื่นก็ถอนหายใจ

    “เป็นผู้ชายอกสามศอกแต่ดันเป็นลมปล่อยให้เมียโดนจับไปเนี่ยนะ?”

    ผมรีบลุกพรวดขึ้นมานั่ง “อะไรนะ?พ - แพรโดนจับไปไหน?”

    “ไว้ผ่านจากตรงนี้ไปแล้วจะเล่าให้ฟัง”

    “ฮ้ะ! ไม่ล่ะ กลับรถไปบ้านตาพะยอมเดี๋ยวนี้เลยนะคุณ!” พร้อมกับพยายามแย่งพวงมาลัยจากมือเธอ แต่อีกฝ่ายฟาดหลังมือเข้าหน้าผมจนแสบไปหมด ผมทิ้งตัวลงไปนอนบนเบาะที่ปรับเอนจนเกือบราบไปกับพื้นรถอีกรอบ มองเห็นว่าตนกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ราตรีแห่งความสับสนและปริศนา แสงไฟหน้าสูงสาดส่องโลกอันมืดทมิฬทว่ากลับไม่เห็นทางออก ณ แห่งหนใดเลย เธอยังคงขับรถเงียบ ๆ เหยียบคันเร่งเสียแทบมิดจนอัตราเร็วใกล้แตะร้อย ท่าทางเครียดและจริงจังทีเดียว เสียงหึ่งหั่งของรถทั้งจากภายนอกและภายในก้องอยู่ในหู

    “ภาคใช่มั้ย?” หญิงวัยสี่สิบต้น ๆ ถาม “ลูกน้าหมอนใช่มั้ย?”

    ผมพยักหน้าโดยจำนน

    “พี่ชื่อริณ” เธอแนะนำตัวในที่สุด “ที่จริงไม่เชิงว่าเป็นแฟนพี่อ้นหรอก แค่ว่าเคยเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทแกบ่อย ๆ”

    “บริษัทเหรอครับ?”

    “ก็จัดการบัญชีและช่วยหาเรื่องเลี่ยงกฎหมายน่ะ” ริณรีย์, หรือพี่ริณพูดพลางยิ้มน้อย ๆ “แต่ทำเกินหน้าที่ไปหน่อยก็เลย…”

    ตอนนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจจะฟังเรื่องของเธอทั้งนั้น ผมรีบกลับมานั่งปรับเบาะให้เข้าที่ก่อนจะซักเธอทันที

    “แล้วตอนนี้แม่กับแพรเป็นยังไงบ้าง?”

    เธอยักไหล่ แต่สีหน้าดูออกว่าหนักใจ

    “พี่ว่าแม่ของเราน่าจะช่วยแพรได้” ว่าแล้วก็เหลือบมาจ้องผมผ่านกระจกมองหลัง “แต่ตอนนี้ที่สำคัญกว่าคือพี่ต้องการคนที่จะหยุดพิธีนั่น”

    “พิธี…?”

    เธอบังคับพวงมาลัยนิ่ง ๆ ไปตามถนนที่ทอดตรง

    “แม่เรารู้เรื่องนั้นดี แต่แกไม่รู้ว่าจะหยุดเรื่องนี้ยังไง พี่เลยต้องลากเรามา” ก่อนที่อีกฝ่ายจะสั่ง “เปิดดูที่เก็บของสิ”

    ผมเปิดที่เก็บของใต้คอนโซลรถ ครั้นบานพับอ้าออกก็เห็นว่าข้างในมีซองเอกสารสีน้ำตาลพร้อมรูปถ่ายในซองพลาสติก ผมหยิบของในนั้นออกมา ขออนุญาตเปิดไฟในรถแล้วดึงภาพออกมาจากซอง ส่วนใหญ่สีซีดพอสมควรและเหมือนบางภาพถูกแกะออกมาพร้อมซองพลาสติกในหนังสืออัลบั้มรูปภาพ

    รูปแรกสุดเป็นรูปรวมครอบครัวของน้าลดา ซึ่งเป็นภาพที่ชัดที่สุดจากบรรดาภาพทั้งหมดเพราะถ่ายไว้ในปี พ.ศ. 2549: มีน้าลดา พี่ภพ น้าไจ๋ และลูก ๆ อันได้แก่สิน, กล้า, และไหม ทั้งสามอายุสิบแปด, สิบสาม, และหนึ่งขวบตามลำดับ; พี่ริณอธิบาย นอกจากนี้ในแถวที่สองซึ่งผู้ใหญ่ยืนเรียงกันมีตาพะยอมและยายดวงแก้วยืนอยู่ด้วยกัน; รูปที่สองเป็นภาพงานศพของลุงชัยวัฒน์ใน พ.ศ. 2534 ในภาพมีตาพะยอม ยายดวงแก้ว น้าลดากับพี่ภพ ในมือน้าลดาอุ้มทารกคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นน้องสิน งานศพตั้งอยู่ที่เรือนเล็กแห่งเดียวกับงานศพลุงอ้น; รูปที่สามเป็นภาพงานแต่งงานของตาพะยอมกับยายฉวีซึ่งครอบครัวถ่ายรวมกับเจ้าบ่าว-เจ้าสาวในพิธีรดน้ำสังข์ ภาพนี้ออกสีน้ำตาลซีเปีย ไม่มีระบุวันที่ชัดเจน แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจคือใบหน้าของตาเสถียร, พี่ชายของตาพะยอมละม้ายคล้ายกับใบหน้าใครบางคน

    “น้องสินเหรอ?” ผมพึมพำ “ไม่สิ...นี่น่าจะถ่ายสักเจ็ดหกปีก่อนได้แล้วมั้ง…”

    “นั่นแหละตาเสถียร,” พี่ริณว่า “อย่างน้อยถ้านับในสามรุ่นนะ”

    “หมายความว่ายังไงเหรอครับ?”

    “เห็นตาเสน่ห์แฝดเขาไหมล่ะ?”

    เธอบุ้ยใบ้ให้ผมดูดูภาพสุดท้าย --- เป็นภาพถ่ายสีซีเปีย ลงวันที่ไว้ด้านหลังว่าถ่ายไว้เมื่อ พ.ศ. 2519 น่าจะถ่ายในห้องภาพหรือสตูดิโอถ่ายภาพ ข้างหลังเป็นฉากสีออกขาว ๆ มีดอกไม้ใส่แจกันวางบนโต๊ะ มีโซฟาสองตัวซึ่งชายหนุ่มสองคนในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนยิ้มให้กล้อง คนหนึ่งหน้าตาออกดุดันหน่อยเข้าจว่าน่าจะเป็นตาสถียร ส่วนอีกคนใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับเขาแต่ดูจะอ่อนโยนกว่า ทว่าส่วนที่ชวนให้ผมขนลุกแล่นไปจนถึงปลายสันหลังคือคนที่สอง

    ใบหน้านั้นไม่ต่างจากผมในตอนหนุ่มเลยแม้แต่นิดเดียว

    กระพริบตาด้วยไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น, แต่ภาพตรงหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิด ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับภาพก่อน ๆ และภาพที่เหลือซึ่งเป็นภาพถ่ายลุงชัยวัฒน์ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นว่าตาเสถียรนั้นหน้าตาเหมือนกับลุงชัยวัฒน์ที่เสียไป และก็เหมือนกับน้องสินราวกับแกะ!

    พี่ริณคงตระหนักได้จึงโพล่งขึ้นมา

    “พอจะเก็ตอะไรบ้างยัง?”

    ผมส่ายหน้า “อะไรกันเนี่ย…?”

    “แล้วคิดว่าคนสองคนที่หน้าตาเหมือนกันจะอยู่พร้อมกันสามรุ่นได้ยังไงล่ะ?”

    ผมเงียบไปก่อนจะตั้งสมมติฐานของตัวเอง

    “โคลนนิ่งเหรอ?”

    พี่ริณเงียบไปสักพักก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง ดูจะตลกความคิดของผมน่าดูจนเผลอปล่อยคันเร่ง ความเร็วรถตกลงมาก่อนที่หญิงสาวเปลี่ยนไปเหยียบเบรกอย่างใจเย็นแล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซ้ายสุดของถนนยางมะตอยแคบ ๆ นางกดปิดไฟในรถก่อนจะถอนหายใจ

    “เก็บเรื่องนั้นไว้เขียนเป็นนิยายเถอะพ่อหนุ่ม เรื่องแบบนั้นไม่มีอยู่ในบ้านของพวกพิจิตรวาจินหรอก”

    ผมเงียบไป คิดว่าต่อจากนี้ตัวเองควรจะเป็นฝ่ายฟังเพียงอย่างเดียวก็พอเพราะตอนนี้ข้อมูลอันมหาศาลนั้นเหมือนกองฟางที่ยังไม่ได้มัดเป็นฟ่อน…ไม่รู้จะเรียบเรียงอย่างไร ไม่รู้จะเอาไปใช้อย่างไร

    “ภาคนับถือพุทธรึเปล่า?”

    ผมยักไหล่ “ไม่ได้เคร่งขนาดนั้นหรอกครับ ทางบ้านพ่อเขาบูชาบรรพบุรุษและพวกเทพจีนกัน”

    “ถ้างั้นรู้จักเรื่องการระลึกชาติมั้ย?”

    ผมส่ายหน้า “ของแบบนั้นมันจะไปมีที่ไหนกัน…” รู้สึกเหนื่อยเต็มทีที่คนที่น่าจะกุมกุญแจของปริศนาทั้งหมดดันมาถามอะไรเอายืดยาดน่ารำคาญ

    “แล้วเชื่อเรื่องจิตกับร่างกายแยกกันรึเปล่า?”

    เรื่องอภิปรัชญาผมไม่ใคร่จะสันทัดนักแต่ก็พอรู้มาบ้าง แต่ถ้าให้พูดเรื่องจิต หากมองในมุมมองที่ต่างกันจะทำให้เราเข้าถึงความจริงได้ต่างกัน --- ส่วนใหญ่จะแบ่งออกได้เป็นสองลักษณะ คือกลุ่มที่มองว่าจิตและร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน หากมองเช่นนี้ อาจจะมองได้ว่าจิตของเราคือความจริงแท้ ฉะนั้นโลกทั้งหมดจึงเกิดมาจากจิตของเราเป็นหลัก หรือก็อาจมองได้ว่าจิตของเราไม่ใช่ความจริงแท้แต่อย่างใด เพียงแต่ความจริงคือสิ่งต่าง ๆ บนโลกที่ไร้ซึ่งจิต; ขณะเดียวกัน ถ้าว่าตามที่พี่ริณบอกว่า หากมองว่าจิตกับร่างกายแยกกันแล้ว ดังนั้นจึงแสดงว่าความจริงแท้ของโลกอาจมีหลายแบบ ทั้งมาจากจิตของเราเอง หรือมาจากสิ่งที่อยู่บนโลก ซึ่งความคิดอย่างหลังนี้ก็จะกลายเนปัญหาในเวลาต่อมาว่าอะไรคือความจริงที่ ‘แท้’ ที่สุด และเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพระเจ้า หรือผู้บงการจิต หรือตัวตนอื่นใดที่เหนือยิ่งไปกว่าจิตของเรา

    พี่ริณปล่อยเวลาให้ผมทบทวนความรู้และแนวคิดอยู่นานท่ามกลางความอ้างว้างของมหาสมุทรปริศนา ครั้นนึกไปถึงว่าในทางศาสนาพุทธก็มีการเรียกจิตว่า ‘กายละเอียด’ และร่างกายหรือเจ้าของจิตว่า ‘กายหยาบ’ ก็เริ่มปะติดปะต่อจิกซอว์ได้มากขึ้น

    สิ่งที่เวียนวนอยู่ในครอบครัวนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวเท่านั้น

    “พี่ริณครับ” ผมพูด “เรื่องที่บ้านตาพะยอมนั่นเกี่ยวอะไรกับเด็กรึเปล่า?”

    เธอเหลือบมองก่อนจะเลิกคิ้ว ท่าทางพอใจกับการตอบสนองของผมทีเดียว “เข้าใจเรื่องได้เร็วไม่เบา” แล้วก็ขอซองเอกสารจากมือผม เธอแกะเชือกก่อนจะดึงกระดาษหลายแผ่นออกมา ท่ามกลางความมืดมิดหญิงวัยกลางคนยกนิ้วแตะลิ้นแล้วพลิกมุมกระดาษจนได้เอกสารที่ต้องการ เธอยื่นส่วนหนึ่งมาให้ผมซึ่งเป็นจดหมายที่ลุงอ้นเขียนถึงพี่ริณ ลายมือของเขาสวยอยู่ทีเดียว



    ถึง ริณ


    พี่เข้าใจแหละว่าการส่งจดหมายมาคุยกันเป็นของแปลกไปแล้วในปัจจุบันนี้ แต่เรื่องนี้หากบอกริณโดยตรงคงไม่มีทางเข้าใจได้แน่ ๆ และอย่างน้อย ถ้าริณอ่านเอาอาจจะได้ใช้เวลาคิดนานกว่าโดยที่ไม่มีพี่กดดัน อีกอย่าง พี่ไม่รู้ว่าหากพี่ตายไปแล้วโทรศัพท์ของพี่หรือสมุดจดจะมีใครเอาไปรึเปล่า ดังนั้นจดหมายนี่แหละดีที่สุดแล้วสำหรับตอนนี้

    ริณยังจำตอนที่เจอกับไอ้สินลูกน้องดาได้ใช่มั้ย?ที่เขามาลากเธอออกจากวงเหล้าแล้วเรียกพี่ไปคุย เรื่องที่คุยกันน่ะไม่มีอะไรหรอก แต่พี่จะบอกให้ว่าคนที่เราเรียกกันว่า สิน ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ชัย พี่ชายพี่นั่นเอง

    บ้านหลังนั้นมีพิธีกรรมบิดเบี้ยวซ่อนอยู่

    พี่ไม่รู้ว่ามันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ถ้าให้อธิบายง่าย ๆ คือพี่ชัยเสียไปเมื่อปี 24 ในอายุสิบสี่ปี แกเกิดมาหนึ่งปีก่อนที่พ่อจะเสีย แต่แม้พวกเราจะโตมาพร้อมกันพี่กลับรู้สึกว่าพี่ชัยหน้าตาดูเหมือนพ่อของพี่มาก ยิ่งแม่ให้ดูรูปถ่ายเก่า ๆ ก็ยิ่งรู้สึกสงสัยว่าคนเราจะหน้าตาเหมือนกันได้ขนาดนี้เชียวหรือ และหลังจากที่พี่ชัยเสียไป น้าพะยอมก็ตั้งศพแกถึงสิบสามปีแกรอให้มีทายาทหรือเด็กผู้ชายคนไหนเกิดมาเพื่อจะได้ทำพิธีนำดวงวิญญาณของพี่ชัยไปเกิดใหม่เป็นเด็กคนนั้น โดยที่ความทรงจำของคนจากอดีตยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์

    ในระหว่างสิบสามปีนั้น น้าพะยอมได้สอนพี่เกี่ยวกับพิธีโดยละเอียดเพราะหวังว่าพี่จะช่วยสืบทอดพิธีนี้ต่อไปได้ และเราก็รอให้น้องหมอน น้องดา น้องไจ๋เติบโตได้แต่งงานมีลูก ซึ่งคนแรกที่มีลูกก็คือน้องหมอน แต่ว่าหมอนเขารู้อยู่นานแล้วและเขาตั้งใจว่าจะไม่ยกลูกในท้องให้พี่ชัยกลับมาเกิดใหม่จึงพยายามต่อรองสุดชีวิต หมอนพยายามขอร้องพี่อยู่หลายครั้ง และสำหรับพี่เอง ถึงแม้จะรักพี่ชัยมากแค่ไหน แต่ครั้นรู้ว่าแท้จริงวิญญาณในร่างนั้นคือพ่อของพี่ หรืออาจจะเป็นของปู่ หรือทวด หรือบรรพบุรุษที่สืบหาชื่อเสียงเรียงนามแทบจะไม่ได้แล้ว พี่ก็เริ่มจะตระหนักแล้วว่าการที่หญิงสักคนจะมีลูกแต่กลับรู้ว่าคนที่มีเลือดเนื้อของตนนั้นคือสามีเก่าตัวเอง หรือเป็นคนในตระกูลฝ่ายชายไม่ใช่ใครอื่นนั้นวิปริตวิตถารขนาดไหน และยิ่งเมื่อหมอนบอกว่า ถ้าเกิดว่าในท้องหมอนไม่ใช่ลูกของตัวเองแล้วละก็ แล้วเราล่ะเป็นใครกันแน่ เรากำลังสร้างอะไรยู่กันแน่ ก็ยิ่งทำให้พี่รู้สึกเจ็บแค้นแทนน้องมันไม่น้อยทีเดียว และนี่ก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่พี่จึงไม่ยอมให้ริณไปหาพ่อแม่พี่เลย และหวังว่าริณจะไม่พาเจ้าเคไปพบปู่หรือย่ามันด้วย พี่ขอโทษจริง ๆ

    แต่ว่าเรื่องพิธีที่จะถ่ายวิญญาณชัยไปยังลูกในท้องหมอนกลับเปลี่ยนแผนเอาเสียดื้อ ๆ เมื่อดาเองก็แต่งงานกับภพแล้วก็ท้องลูกชายเช่นกัน แต่กระนั้นพี่เองก็ไม่นึกเลยว่าน้าพะยอมแกวางแผนเรื่องนี้เอาไว้แต่ต้นโดยที่ไม่มีใครรู้หลังจากหมอนคลอดไอ้ภาคแล้ว พี่ก็รีบช่วยหาทางให้หมอนกับอั๋นหนีไปจากที่นี่ แต่ไม่ทันไรน้าพะยอมก็ดึงทั้งสองคนกลับมาได้แล้วเริ่มทำพิธีกับภาคทั้งที่มันก็เกิดมาแล้ว ครั้นรู้ว่าแกจะต้องทำให้ทารกตายก่อนจะทำพิธีพี่จึงคิดว่าพอกันที และเพราะพี่ขัดขวางแกเลยทำให้พี่ไม่อาจกลับไปที่บ้านหลังนั้นได้อีกเลย แต่อย่างน้อยพี่ก็ดีใจที่ยังช่วยไอ้ภาคไว้ได้ทัน พี่หวังเหลือเกินว่ามันจะไม่กลายเป็นคนอื่นที่หมอนรู้จักแต่สำหรับลูกน้องดานั้นนับว่าสายเหลือเกินแล้วเพราะดายอมยกลูกคนโตให้พี่ชัยกลับมาเกิด ดามันรักพ่อ รักมากเกินไปจนยอมทำได้ทุกอย่าง และเพราะรู้ว่าไอ้สินจะต้องกลายเป็นชัย หรือพ่อของพี่ นี่ก็เลยเป็นอีกเหตุผลที่พี่ไม่อยากอยู่ร่วมกับน้าพะยอมนั่นแหละ

    ก่อนที่จะเข้าเรื่องว่าอะไรคือการ ผิดแผน พี่อยากอธิบายให้ริณเข้าใจก่อนว่าพิธีนี้มันต้องทำอย่างไรบ้าง เอาจริง ๆ แม้จะไม่ซับซ้อนแต่ก็มีรายละเอียดจนบางทีพี่ก็เชื่อว่าในจดหมายนี้อาจมีรายละเอียดบางข้อที่ผิดไป

    อย่างแรกเลยคือหากผู้ชายในครอบครัวตายคนใด พวกเขาจะเก็บศพเอาไว้และทำพิธีเก็บวิญญาณ หรือดวงจิตของผู้ตายไว้ในโถทองที่ผูกสายสิญจน์และลงอาคมคาถาไว้ จนกว่าจะมีทายาทที่เป็นผู้ชายจะมาเกิดแล้วจึงทำพิธีเรียกให้วิญญาณผู้ตายให้เข้าไปในทารก ซึ่งเหตุที่ทำให้คนที่เกิดมาหลังจากพิธีมีหน้าตาเหมือนคนที่ตายไปก่อนหน้านั้นพี่ก็ไม่รู้รวมไปถึงน้าพะยอมเองแต่ถ้าพูดในทางวิทยาศาสตร์หรือทางกฎหมายละก็ หากจะนับว่าเป็นลูกของคนคนนั้นได้หรือไม่ก็คงจะบอกว่าได้ เพราะครั้งหนึ่งพี่เคยลองส่งตัวอย่างเพื่อตรวจดีเอ็นเอเปรียบเทียบระหว่างของชัยกับสิน และของสินกับพ่อแม่มันแล้วพบว่าต่างกันโดยสิ้นเชิง ทว่าคงมีอำนาจอันบิดเบี้ยวบางอย่างจากเบื้องบนละกระมังที่ทำให้เป็นไปเช่นนี้

    สำหรับวิธีเก็บศพนั้น หากไปที่บ้านพี่จะพบว่านอกจากสวนผลไม้แล้วก็ยังมีสวนดอกเบญจมาศขนาดไร่หนึ่งอยู่ ดอกเบญจมาศนั้นประหลาดเพราะนอกจากจะไม่เหี่ยวเฉาหรือตายไม่ว่าจะผิดฤดูหรือไม่แล้ว หากนำไปปักบนหน้าอกศพก็จะทำให้ศพไม่เน่าสลาย และคล้ายว่าดอกเบญจมาศจะช่วยให้จิตของผู้ตายที่เก็บไว้ไม่สลายไปตามกาลเวลาด้วยเช่นกัน ทว่าต้องเปลี่ยนทุก ๆ สองอาทิตย์จนกว่าจะถึงเวลาทำพิธี อีกทั้งจะมีพิธีการรักษาสภาพศพตามไสยศาสตร์อีกทบหนึ่ง

    หากริณคิดว่าไม่อยากจะอ่านต่อพี่ก็ไม่ว่าอะไรตอนที่พี่รู้เรื่องนี้ก็เพิ่งจะอายุสิบห้าปีเศษ พี่เองก็ไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้เช่นกันทว่าเมื่อผ่านมาอีกสิบกว่าปีหลักฐานนั้นก็ประจักษ์ชัดเจนเป็นตัวเป็นตนก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งส่วนที่พี่เล่าไปข้างต้นนั้นเขาทำกันเฉพาะในผู้ชายที่เสียชีวิตจากการป่วยไข้ ไหลตาย หรือตายตามธรรมชาติ แต่หากเป็นในกรณีอุบัติเหตุพวกเราเองต้องใช้วิธีที่เหี้ยมโหดกว่านั้นขึ้นไปอีก

    ริณเคยได้ยินสำนวน เลือดต้องล้างด้วยเลือด ไหมล่ะ?นั่นแหละหากผู้ชายคนใดในบ้านตายและเราไม่ยอมหาตัวคนผิดมาฆ่าทิ้งเสียเพื่อนำเลือดมาล้างร่างของศพนั้น แล้วยังทำพิธีแบบข้างต้นไป หญิงที่ตั้งครรภ์ก็จะตายภายในสองถึงสามวัน กรณีนี้น้าพะยอมบอกว่าเคยเกิดขึ้นกับน้องสาวปู่ที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ แต่เพราะเรามองว่ามันไม่มีคนผิดเลยเลยฝืนทำพิธีนี้ต่อไปทว่าก็ไม่ได้ผล น้องสาวปู่ที่ว่าเสียชีวิตในสภาพน่าอนาถเสียจนน้าแกยังไม่กล้าจะเอ่ยปากพูด ถึงพี่จะรู้มาขนาดนี้แต่ก็หวาดกลัวเหลือเกินว่าหากพี่ฆ่าใครสักคนในบ้านตาย หรือถูกใครฆ่าตาย พี่จะต้องสละชีวิตตัวเองเพื่อล้างความอาฆาตแค้นของคนตาย หรือจะต้องมีคนสละชีวิตตัวเองเพราะความเห็นแก่ตัวของตระกูลพี่หรือเปล่า

    ซึ่งพิธีที่ว่านี้ลุงพะยอมก็ทำกับพ่อของพี่เช่นกัน แต่กรณีของพ่อและน้าเหน่ออกจะซับซ้อนสักหน่อยประเด็นมันมีอยู่ว่าในช่วงเดียวกับที่พ่อพี่ตาย น้าเหน่เองก็เสียชีวิตพร้อม ๆ กับพ่อ เหตุมันมาจากว่าพี่เหน่นั้นไม่ทำตัวเข้ารีต เพราะแม้จะอายุเข้าสามสิบว่าแล้วก็ยังไม่ยอมแต่งงาน จับไปดูตัวก็ไม่ได้หมายปองใครแม้แต่คนเดียว แต่พ่อพี่กลับไปรู้มาว่าน้าเหน่ทำตัวเป็นลักเพศชอบผู้ชายเหมือนกัน พี่ไม่มีอคติกับสิ่งที่น้าเหน่ทำเลยและออกจะโกรธแค้นแทนแกด้วยซ้ำที่สุดท้ายก็ถูกพ่อพี่ หรือพี่ชายฝาแฝดตัวเองฆ่าเพียงเพราะเรื่องนี้เท่านั้น

    อย่างที่พี่บอกไปว่าเมื่อผู้ชายคนใดตายโหงขึ้นมาก็ต้องหาตัวคนผิด ฉะนั้นแล้วต่อมาพ่อจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อให้พิธีดำเนินต่อไป แต่เพราะน้าพะยอมซึ่งเหลือเพียงคนเดียวที่ต้องสานต่อพิธีก็ไม่ยอมให้พี่คนใดคนหนึ่งเสียไป แกจึงตั้งศพทั้งพ่อและน้าเหน่เอาไว้ รอเวลาจนกว่าจะได้ทายาท และแกก็ตลบหลังพี่โดยไม่บอกว่าจะทำอะไรกับลูกน้องหมอน ก่อนหน้านั้นแกวางแผนไว้แล้วว่าอยากจะให้น้าเหน่กลับมาเกิดในท้องของน้องดา แต่ครั้นรู้ว่าน้องหมอนเขาคบหากับอั๋นแกจึงเปลี่ยนมาให้น้าเหน่กลับมาเกิดเป็นภาคแทน ทว่าก็ผิดแผนแกอีกนั่นแหละที่ก่อนหน้าจะคลอดได้สักอาทิตย์หนึ่งพี่ได้สั่งให้อั๋นพาหมอนไปอยู่ที่อื่นเพื่อไม่ให้ใครรู้ แต่สุดท้ายน้าพะยอมก็รู้จนได้และพยายามทำทุกวิธีเพื่อให้พิธีสำเร็จลุล่วง ถึงขั้นที่ต้องกดเด็กจุ่มน้ำให้ตายเสียก่อนทว่าถึงแม้ไม่มีใครรับประกันว่าพิธีจะเสร็จสมบูรณ์แต่พี่ก็สั่งให้สองคนนั้นพาไอ้ภาคหนีไปให้ไกลที่สุดและอย่าได้กลับมาอีก

    พี่หวังเหลือเกินว่าไอ้ภาคมันจะโตมาหน้าตาเหมือนพ่อและแม่มันพี่อธิษฐานอยู่ทุกวันว่าอย่างน้อยขอให้ไอ้ภาคเติบโตโดยที่ไม่รู้อะไรเลยเสียก็ดี

    เป็นจดหมายที่ยาวที่สุดเท่าที่พี่เคยเขียนมาจริง ๆพี่รู้ว่าริณคงจะไม่เชื่อพี่เป็นแน่แต่อย่างน้อยพี่ก็อยากขอริณเป็นอย่างสุดท้ายว่าถึงเราจะหย่ากันแล้ว แต่เรื่องค่าเลี้ยงดูพี่จะส่งให้อยู่เรื่อย ๆ ฉะนั้นขอให้แกเลี้ยงเคให้ดี ฝากบอกด้วยว่าพ่อรักมัน และที่สำคัญไม่ว่าอย่างไรอย่าพาเคไปยุ่งที่บ้านครบครัวพี่เด็ดขาด ให้เขารู้แค่ว่าเราหย่ากันเพราะพี่ทำงานผิดกฎหมายก็พอ ขอให้มันเกลียดพี่แล้วไม่อยากรู้ความลับของปู่ย่าหรือญาติ ๆ มันเลยนั่นแหละดีแล้ว

    แต่พี่ขอเป็นอย่างสุดท้าย คือหากพี่ตายก็ช่วยอย่าให้พี่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดรับทุกข์รับเคราะห์แบบนี้อีกเลย อย่างน้อยพี่ก็อยากเชื่อว่าความตายคือความเที่ยงแท้ที่สุดในชีวิตของมนุษย์ และพี่ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวดองกับการฝืนกฎของธรรมชาติเพียงเพราะความอ่อนแอและเห็นแก่ตัวของพวกผู้ชายในตระกูลอีกแล้ว

    พี่รู้แน่นอนว่าน้าพะยอมแกต้องให้พี่กลับมาเกิดใหม่ให้ได้ และพี่รู้ด้วยว่าถ้าพี่ตายเมื่อไหร่ แกจะฆ่าตัวตายตาม ทำสถานการณ์ให้เหมือนกับตอนลุงเหน่นั่นแหละ แต่แกจะเข้าไปครอบงำและข่มวิญญาณพี่ ทำให้ตอนที่เกิดมาอีกหนก็เท่ากับว่าเด็กคนนั้นจะเป็นทั้งพี่และน้าพะยอมในคนเดียวกัน ส่วนเหตุผลที่แกถึงกับใช้เวลาศึกษาเป็นสิบ ๆ ปีเพื่อทำแบบนี้ก็เพราะแกรู้ว่าพี่ต่อต้านพิธีนี้แบบหัวชนฝา อีกทั้งเราทั้งสองต่างรู้วิธีทำลายพิธี หรือเรียกให้ถูกคือ ทำลายคำสาป ขอบครอบครัวและตัดวงจรวิบัตินี้ด้วย แกคงต้องการเก็บศัตรูของแกให้ใกล้ชิดที่สุดอยู่แล้ว

    สำหรับการทำลายพิธีนั้นให้ทำตามลำดับโดยไม่ผิดขั้นตอนแม้แต่น้อย ดังนี้

    1. เผาทำลายดอกเบญจมาศในสวนให้หมด หากไม่มีดอกไม้แล้วก็จะไม่อาจเก็บรักษาศพได้อีก พี่รู้ว่าดอกไม้พวกนี้ไม่ได้เกิดจากการเพาะปลูก มันจะโตขึ้นได้อีก ดังนั้นหากจะทำลายก็ควรทำให้สิ้นซาก และหากดอกไม้ทั้งหมดหายไปแล้วศพที่รักษาไว้อยู่ด้วยดอกเบญจมาศก็จะเริ่มเน่าสลายเช่นกัน
    2. ที่งานศพ ให้นำโถทองที่เก็บดวงจิตของคนตายมาวางไว้บนขันน้ำ จุดเทียนสีแดงแล้วหยดน้ำตาเทียนลงไป ตั้งนะโมสามจบก่อนจะท่อง นะโมพุทธายะ ถอยหลังเพื่อย้อนกลับวงจร ทำไปจนกว่าโถจะเปิดออกเอง
    3. หลังจากเสร็จวิธีปลดปล่อยดวงจิตแล้วให้เอาน้ำนั้นเทไปที่ไหนก็ได้ พี่แนะนำให้เทที่ต้นมะม่วงหลังเรือนเล็ก ตรงนั้นพวกน้า ๆ เขาไม่ค่อยเห็นกัน


    ทั้งหมดนั้นอาจไม่ทำให้คนที่กลับมาเกิดใหม่จากโลกนี้ไป เพียงแต่หากเขาตายแล้วเขาก็จะได้พบกับความตายจริง ๆ โดยไม่ต้องหลีกเลี่ยงอีกต่อไป ซึ่งถ้าเกิดทำลายวิญญาณพี่ไปก่อนแล้วตาพะยอมก็ไม่มีความหมายอื่นใดที่จะยังรีรอไม่เผาศพพี่อยู่ดี ฉะนั้นหากเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วก็ขอให้ริณเผาร่างพี่ให้ด้วย

    พี่หวังว่าริณจะเข้าใจ และถ้ายังสงสัยอะไรอยู่ให้ไปที่บริษัทพี่แล้วเปิดตู้เซฟก็ได้ บอกเจ้าไก่ให้เปิดเซฟให้ ในนั้นจะมีรูปถ่ายและเอกสารบางส่วนอยู่


    ด้วยรัก

    อนันต์ พิจิตรวาจิน



    พี่ริณขัดจังหวะ “พี่ลงไปข้างนอกแป๊บหนึ่งนะ” ก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไปในพงหญ้าแล้วจุดบุหรี่สูบ ผมรู้ว่าเธอจงใจออกจากรถเพื่อให้ผมได้อยู่เงียบ ๆ เพียงลำพัง

    แต่เพราะเหตุใดไม่อาจทราบได้ พลันน้ำตาก็พรั่งพรูสุดจะกลั้นได้ ราวกับจดหมายและคำพูดของลุงที่ผมไม่คุ้นหน้าค่าตามาก่อนไปกดปุ่มอะไรสักอย่างในใจผม น้ำตาของผมทำให้หมึกซึมบนกระดาษเลอะเลือนจนต้องโยนมันไปบนคอนโซลก่อนจะทิ้งตัวพิงเบาะ แต่ไม่ทันไรก็กลับมาก้มตัวคุดคู้เอาหัวพิงคอนโซล ร้องกระซิกฮึกฮักประหนึ่งเด็กน้อยในท้องแม่ ทว่าต่างกันตรงที่บัดนี้สิ่งที่ห่อหุ้มผมคือความหวาดกลัวและความเหน็บหนาว

    ผมเริ่มนึกถึงชายในฝัน ผมเข้าใจแล้วว่าเขาคือตาเสน่ห์ที่ทุกคนพยายามให้ผมกลับมาเกิดใหม่เป็นเขา และมันสำเร็จทุกประการแม้ลุงอ้นจะบอกว่านั่น ‘ผิดแผน’ --- ทว่าหากนับผลลัพธ์ที่สะท้อนบนกระจกมองหลังตรงนี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่าตาพะยอมแกทำสำเร็จแล้ว

    ผมได้แต่ถามตัวเองว่าสรุปแล้วผมเป็นใครกันแน่

    ผมส่ายหน้าไปมา รู้ดีว่ามันมีวิธีหยุดพิธีเหล่านี้อยู่แล้วแต่สิ่งที่สำคัญยิ่งว่าอื่นใดคือจิตใจของผมเอง ผมเคยคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย แต่ตอนนี้ผมกลับหวาดกลัวกับเรื่องเพียงแค่ว่าทั้งแขนที่ผมกอด ขาที่ยาวเหยียด หรือแม้แต่เสียงในหัวและความคิดของตัวเอง ณ ขณะนี้มันใช่ของผมจริงหรือไม่ --- หรือเช่นนั้น, ‘ผม’ ตอนนี้คือผมจริง ๆ หรือแค่เสื้อสำหรับให้จิตดวงอื่นที่ไม่ใช่ของผมสวมอยู่กันแน่?

    ทีแรกผมไม่ค่อยเข้าใจว่าตาพะยอม หรือครอบครัวของแม่จะทำแบบนี้ไปทำไม แต่เมื่อนึกถึงประโยคหนึ่งในจดหมายของลุงอ้นที่ว่า การฝืนกฎของธรรมชาติเพียงเพราะความอ่อนแอและเห็นแก่ตัวของพวกผู้ชายในตระกูล ผมจึงนึกขึ้นได้ว่านั่นเป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วที่เป็นจุดเริ่มต้นของพิธีกรรมที่ส่งวิญญาณให้เวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อย ๆ

    ผมทำท่าว่าจะลงจากรถแต่ก็พอดีที่พี่ริณสูบบุหรี่หมดมวนพอดี เธอกลับเข้ามาก่อนจะดึงกระดาษทิชชู่มาให้ ตอนนี้ดวงหน้าของเธอแลอ่อนโยนกว่าครั้งแรกที่ผมเห็นทีแรกมาก

    ผมสั่งน้ำมูกอย่างไม่อายก่อนจะถามอีกฝ่ายเสียงสั่นเครือ

    “แล้วพวกผู้หญิงเขากลับมาเกิดใหม่ไม่ได้เหรอครับ?”

    เธอส่ายศีรษะ “ผู้หญิงสำหรับบ้านนั้นมีหน้าที่แค่รองรับผู้ชายที่ตายไปมาเกิดใหม่ มองเขาโตมาแล้วทำพลาดซ้ำ ๆ กับตอนที่เขามีชีวิตครั้งก่อนหน้า แล้วหาผู้หญิงอีกคนเพื่อให้คลอดลูกชายเพื่อเป็นภาชนะกับวิญญาณตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ เท่านั้น”

    ผมถอนหายใจ “ไม่เคยเลยเหรอครับ?”

    “แต่ไหนแต่ไรแล้ว” เธอว่า ก่อนจะสับเกียร์แล้วขับรถต่อไป



    ครั้นรถขับล่วงเข้ามาในอำเภอเมืองอุดรธานีในเวลาเที่ยงคืน พี่ภพก็โทรศัพท์เข้ามายังเบอร์ผม ทันทีที่รับสายก็ได้ยินเสียงหายใจเฮือกใหญ่ ปลายสายพูดอย่างหมดแรง

    ภาค

    “ฮัลโหล?”

    นี่พี่เอง พี่ภพนะตอนนี้ไอ้สินมันเอาไอ้วินไปแล้ว

    ผมตาเบิกโพลง “อะไรนะพี่?”

    พี่ตั้งใจว่าจะดึงมันมาที่ สน. ที่พี่ทำงาน อ้างว่ามันมีคดีที่ต้องไปให้ปากคำที่นั่น แต่ตอนที่พี่กำลังขับรถมาจู่ ๆ ไอ้สินมันก็ ---

    ปลายสายไอโขลก และเหมือนจะสีเสียงบ้วนของเหลวทิ้งด้วย ผมยิ่งไม่เข้าใจสถานการณ์เข้าไปใหญ่ “แล้วพี่ทำแบบนั้นทำไม?”

    ก็คิดว่าจะถ่วงเวลาไว้จนกว่าคดีของพี่อ้นขึ้นศาลแต่

    “ตอนนี้พี่อยู่ไหน?”

    แกบอกที่ที่แกจอดรถไว้อยู่ซึ่งเป็นถนนสายรองที่ไปยังอำเภอกุมภวาปี ครั้นสอบถามเพิ่มเติมก็รู้ว่าพี่ภพปะทะกับลูกชายตัวเองจนบาดเจ็บไม่น้อยทีเดียวแต่ก็โทรศัพท์เรียกตำรวจจาก สน. กุมภวาปีให้มาช่วยแล้ว จึงสั่งให้พวกเรากลับไปที่บ้านของตาพะยอมให้เร็วที่สุด

    ภาค แกอยู่กับเมียแกรึเปล่า?

    นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เขาพูดก่อนสายจะตัดไป ยังดีที่ช่วงสุดท้ายผมได้ยินเสียงไซเรนแว่วมาจากปลายสาย แสดงว่าตำรวจน่าจะมารับพี่ภพแล้ว

    พี่ริณเหมือนจะรู้สถานการณ์ก็หักหัวรถกลับฉับพลัน รถที่เครื่องยนต์เร่งเต็มอัตรามาตั้งแต่ต้นพายานพาหนะลดความเร็วกระทันหันเมื่อเธอเหยียบเบรก เสียงเบรกเอี๊ยดดังกึกก้องกัมปนาทระเบิดความเงียบงันของถนนในยามวิกาล รถเลี้ยวทางขวามือลากเอาคนในรถให้โอนเอนไปตามแรง ยังดีที่มีเข็มขัดนิรภัยฉุดเอาไว้ นกที่อยู่ในพงป่าพากันบินแตกฮือแต่เช้ามืด เสียงแหวดหวีดแหบพร่าของนกแสก นกฮูก นกกา และอื่นใดดังระงมไล่หลังเรามา ผมได้แต่เม้มปากแน่นไม่กล้าพูดอะไรเพราะท่าทางหญิงคนขับกำลังเดือดจัด ได้แต่หันไปมองถนนข้างหลังที่มีรอยล้อทิ้งเอาไว้เป็นปื้นดำท่ามกลางแสงไฟสีส้ม

    ขากลับคราวนี้ใช้เวลาเร็วกว่าเดิมเพราะพี่ริณเหยียบคันเร่งจนอัตราเร็วแตะเกือบหนึ่งร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้จะเป็นการเดินทางอันน่าหวาดเสียวแต่ผมก็ทำได้เพียงภาวนาว่าวิน, ซึ่งแม้จะเป็นผู้ร้ายที่ฆาตกรรมลุงของผม, จะไม่กลายเป็นเหยื่อสังเวยให้กับพิธีกรรมของตระกูลตัวเองไปอีกคน

    ผมนึกทบทวนถึงความฝันอีกครั้ง --- ถ้าสิ่งที่ผมได้ยินคือความต้องการของตาเสน่ห์จริง ๆ แม้ผมจะไม่มีความทรงจำของเขาเลยแม้เพียงนิดเดียว แต่หากทุกอย่างกำลังลากแม่และภรรยาผมเข้าไปอยู่ในอันตรายอย่างไรผมก็ต้องช่วยทั้งสองคนให้ได้

    จะต้องไม่มีลุงอนันต์เกิดขึ้นเป็นคนที่สองอีก จะต้องไม่มีใครฝ่าฝืนความปรารถนาของผู้ตายได้อีก!

    “ภาค พี่ขออะไรอย่างหนึ่ง”

    พี่ริณพูดขณะประคองรถให้ผ่านถนนยางมะตอยแคบ ๆ

    “วิธีที่พี่อ้นบอกเอาไว้มันใช้ได้แค่ตัดตอนไม่ให้เกิดพิธีในอนาคต แต่พี่เขาก็บอกไปแล้วว่าดอกเบญจมาศนั่นจะกลับขึ้นมาแตกดอกออกช่ออีกรึเปล่าก็ไม่รู้…”

    ผมพิจารณาตามที่เธอว่า

    “ถ้าเกิดยังมีอะไรที่เอาไว้รักษาสภาพศพได้ ก็จะยังมีคนที่พร้อมทำพิธีเพื่อให้ตัวเองเกิดใหม่แบบนี้ต่อไปเหรอครับ?”

    อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างหนักใจ

    “พี่ไม่มีอะไรรับประกับกับแผนที่พี่คิด แต่ถ้าเกิดว่าพี่คิดถูกล่ะก็ พี่อยากให้ภาคจัดการเรื่องนี้แทนพี่หน่อย”

    ผมพยักหน้า “ครับ”

    “โอเคแน่นะ?”

    ผมยักคออย่างลังเล

    “ถึงแม้ว่าจะต้องฆ่าคนในครอบครัว…” พี่ริณพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ภาคก็จะทำแน่นะ?”



    พวกเรากลับมาถึงบ้านในเวลาจวนจะตีสอง ในบ้านสวนอันสุดลึกแสนลึกก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโวยวายดังลั่นแม้จะมาแต่ไกล ๆ ผมรีบออกจากรถวิ่งขึ้นไปดูในตัวบ้านใหญ่ก็พบว่าทั้งบ้านมืดสนิท และถึงจะวิ่งไล่เปิดห้องแต่ละห้องจนทั่วก็ไม่พบใครเลย ครั้นคิดพิจารณาดี ๆ ก็นึกขึ้นได้ก่อนที่ตัวเองจะหูดับและสลบไปก็ได้ยินเสียที่น้าลดาบอกให้ไหมขี่รถจักรยานยนต์หนีไปด้วย ผมจึงไปยืนยันให้แน่ใจกับตัวอีกทีจนพบว่าที่ชานบันไดซึ่งปกติจะมีมอเตอร์ไซค์สกู๊ตเตอร์จอดอยู่นั้นกลับว่างเปล่า ก็พอโล่งใจได้ว่าลูกพี่ลูกน้องผมน่าจะหนีไปไกลแล้วแน่ ๆ ส่วนรถกระบะของน้องสินนั้นกันชนพังยับเยิน กรอบไฟหน้าแตก มีรอยถลอกครูดยาวไปจนเกือบถึงประตูคนขับ ชักสังหรณ์ใจไม่ดีแล้วว่าอาการของพี่ภพตอนที่ปะทะกับลูกชายตัวเองนั้นสาหัสสากรรจ์เพียงใด

    ผมเดินกลับไปหาพี่ริณอีกครั้ง ระหว่างนั้นเธอก็เปิดกระโปรงหลังรถก่อนจะยกถังแกลลอนน้ำมันลงมาสามถึงสี่ถัง เพียงแค่วางบนพื้นก็ได้กลิ่นสาบของน้ำมันก๊าดเตะเข้าจมูก ผมเข้าไปช่วยเธอ พร้อมกันพี่ริณก็อธิบายให้ผมฟังว่าตัวเองจะทำลัดขั้นตอนเล็กน้อยโดยจะจัดการเผาร่างของลุงอ้นก่อน ซึ่งที่จริงไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษนักแต่เพราะตนอยากให้เขาตายตาหลับเท่านั้น

    “และก็,” หญิงสาวเสริม “ถ้าภาคแบกแกลลอนไหวก็ไปเผาสวนดอกเบญจมาศ และหาดูว่าพวกตาพะยอมแกทำพิธีอะไรที่ไหน…”

    “ครับ”

    “ถ้าเจอตาแกแล้วภาคต้องฆ่าเขาก่อนเลยนะ”

    ผมซึ่งกำลังถูลู่ถูกังลากถังน้ำมันหนักกว่าสิบกิโลกรัมถึงกับเผลอปล่อยมือออกเมื่อได้ยินประโยคนั้น

    “…ฮ้ะ?”

    “แล้วก็รีบเผาร่างแกซะ อย่าให้ใครได้ทันทำอะไร”

    ความรู้สึกปั่นป่วนก่อขึ้นภายในท้อง…ผมไม่เคยแม้แต่จะปลิดชีวิตมนุษย์ด้วยกันมาก่อน และสถานการณ์เช่นนี้, แม้จะรู้ดีว่าพิธีกรรมของตระกูลนี้มีไว้เพื่อจุดประสงค์อะไร แต่อีกใจก็ยังอยากเชื่อว่าตาพะยอมจะยังมีจิตรู้ผิดชอบชั่วดีไม่ทำอะไรกับลูกสาวและหลานสะใภ้อยู่

    “แต่แค่ไม่ให้แกทำพิธีไม่สำเร็จก็ได้นี่ครับ”

    อีกฝ่ายหันมามองตาขวาง “แกจะบ้ารึเปล่า! ถึงเราไม่ทำอะไรยังไงตาพะยอมก็ชิงฆ่าตัวตายอยู่ดี ป่านนี้พิธีจะเป็นยังไงแล้วก็ไม่รู้”

    “แต่นั่นเป็นตาผมนะ!”

    “แกเชื่อได้จริง ๆ เหรอว่านั่นคือตาพะยอม --- ตา-พะ-ยอม ของแกน่ะ!” พี่ริณตะคอก “กับไอ้บ้านที่เอาวิญญาณบรรพบุรุษมาชุบเลี้ยงให้เกิดใหม่เรื่อย ๆ แกเชื่อจริงเหรอว่าวิญญาณในคนที่ใช้ชื่อว่าไอ้ ‘ตาพะยอม’ จะไม่ใช่ทวดหรือเทียดหรือผีปู่ย่าตั้งกะสมัยไหนของพวกแกน่ะ?”

    ผมกลับตาปี๋ด้วยจนปัญญาจะเถียงในที่สุด ทันใดฝูงนกแสกนกกาจากในสวนก็พากันแตกฮือพร้อมเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังมาจากไกล ๆ ผมยืนอึ้งสักพักแต่ก็กลับมาตั้งตัวใหม่ รีบหอบแกลลอนน้ำมันตามพี่ริณเข้าไปในเรือนที่ตั้งศพลุงอ้น

    ทว่ายังไม่ทันที่เราจะได้ทำอะไร หญิงสาวก็ปล่อยมือจากถังน้ำมันก๊าด

    “หายไปแล้ว” เธอพึมพำ “โถเก็บวิญญาณนั่น…!”

    ผมหันไปมองรอบ ๆ นึกย้อนไปถึงตอนเช้าวานซืนที่มาหาแม่กับน้า ๆ ในบ้านหลังนี้ --- ที่จริงตรงกลางนอกจากจะจัดเป็นโต๊ะหมู่บูชาเก้าแล้ว เหนือพระพุทธรูปขึ้นไปก็ยังมีของคล้าย ๆ ผอบทองเหลืองตั้งอยู่แต่ตอนนั้นผมแทบไม่ได้สังเกตเลยเพราะมันตั้งแอบ ๆ อยู่หลังพระพุทธรูปเสียมิดชิด

    ในขณะที่ตนยังคงไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำอะไรต่อพี่ริณกลับไม่ลังเลงแม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว เธอผลักเอาดอกไม้ที่ตั้งสุมกันรุงรังและโต๊ะหมู่บูชาจนข้าวของกระจายไปหมดก่อนจะพุ่งเข้าไปที่โลงศพอันตั้งอยู่บนฐานไม้ซึ่งจริง ๆ เป็นไม้อัดทรงตันที่น่าจะเสริมโครงไว้ข้างในเพื่อรองรับน้ำหนักโลงไว้แล้ว หญิงวัยกลางคนพยายามแงะเปิดฝาโลงด้วยสองมืออันบอบบาง ผมเห็นดังนั้นก็เข้าไปช่วยเธอดูลักษณะของโลงศพยาวเกือบสองเมตรนั่น พบว่าตัวโลงไม่ได้ตอกปิดฝาด้วยตะปูและมีส่วนที่ล้ำออกมาเล็กน้อย หน้ากว้างไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตร ดูเป็นไม้อัดไม่หนาก็จริงแต่มีคุณภาพดี และทั้งสี่มุมน่าจะเข้าไม้ไว้กับตัวโลงจึงไม่อาจเปิดได้จากข้างนอก หากมองในมุมช่างทำไม้นี่คงเป็นงานที่ประณีตน่าดูแต่ก็ชวนให้รู้สึกหนาวสั่นเหลือเกินที่รู้ว่าวิชาความรู้เช่นนี้เอามาใช้กับอะไร

    ผมส่ายหน้าบอกพี่ริณ “ไม่น่าได้ โลงมันเข้าไม้แน่นมาก” ก่อนจะเดินหาของที่ใช้ทำลายฝาโลงไม้รอบ ๆ ห้อง ระหว่างนั้นอีกฝ่ายก็หยิบเอาพระพุทธรูปทุบลงไปบ้าง และนั่นก็ยืนยันให้ผมได้ด้วยว่าฝาปิดนั่นหนากว่าที่คิด เพราะแม้จะทุบสักกี่หนก็ทำให้แผ่นไม้บุบลงไปเล็กน้อยเท่านั้น ต้องใช้แรงอย่างมากจึงจะทำลายได้

    ผมเดินไปเปิดห้องที่มีอยู่ในเรือนนั้น ห้องหนึ่งเป็นห้องนอนมีเตียงไม้สักหลังใหญ่ตั้งอยู่ติดหน้าต่างแต่ไม่มีชุดที่นอน บนเพดานติดกรอบรูปของใบหน้าคนเรียงไว้ทั่วทุกมุม ท่ามกลางราตรีอันมืดมิดผมมองไม่ชัดนักว่าใครเป็นใครบ้างจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแฟลช ครั้นแสงไฟจากมือถือสาดส่องบนภาพเหล่านั้นพลันสันหลังก็เสียววาบ ขนแขนขนขาลุกตั้ง ปากเผลอพึมพำออกมาว่า “อะไรกัน…?”

    รูปเหล่านั้นเป็นภาพของบรรพบุรุษชายทั้งหมดคล้ายกับรูปตั้งหน้างานศพ ภาพที่เก่าที่สุดเป็นของชายชื่อระเบียบ เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2471 ด้วยอายุเพียงยี่สิบสี่ปี แล้วไล่กันมาด้วยอีกคนที่หน้าตาเหมือนนายระเบียบแทบทุกระเบียดนิ้วราวกับก็อปปีภาพแล้วแค่เปลี่ยนชื่อกับชาตะ-มรณะเท่านั้น…นั่นเองที่ทำให้ผมตระหนักได้ว่าไม่เคยมีใครรอดพ้นจากวัฏจักรนี้ทั้งนั้น แม้แต่ตาเสน่ห์ที่เป็น ‘ร่างต้น’ ของผมแท้จริงก็มาจากบรรพบุรุษคนหนึ่งชื่อนายธรรม และสืบต่อกันมาอีกสองช่วง ซึ่งเสียชีวิตเมื่อ พ.ศ. 2480 ด้วยอายุแปดสิบปี ซึ่งแลแล้วน่าจะมีอายุยืดกว่าคนอื่นจากทั้งหมดที่ภาพในห้อง คนที่เสียชีวิตในอายุสั้นที่สุดเห็นจะเป็นนายเขียว กำแหงพล ซึ่งเสียชีวิตเมื่อ พ.ศ. 2473 ด้วยอายุเพียงแค่สิบขวบเท่านั้นเอง

    ในขณะที่ผมถูกสะกดด้วยภาพบรรพบุรุษในห้อง หญิงสาวข้างนอกก็ตะโกนด้วยความร้อนรน

    “ภาค ช่วยหาอะไรมาทุบโลงหน่อยซิ!”

    ผมจึงได้สติแล้วรีบเดินหาของทั่วตัวเรือนทว่าก็ไม่พบแต่อย่างใด ในห้องนอนอีกหลังหนึ่งก็ไม่มี ผมจึงเดินผ่านงานศพที่พังเละเทะออกไปยังสุขาซึ่งเป็นเพิงไม้หลังคาสังกะสีเล็ก ๆ หลังเรือน ครั้นเปิดเข้าไปก็พบว่าข้างในไม่มีอะไรนอกจากส้วมซึมเก่า ๆ ที่ไม่ได้ใช้งานมานานเท่านั้น

    ผมวิ่งอย่างไร้หนทางกลับเข้าไปในบ้าน พยายามหาของและเครื่องมือต่าง ๆ ที่พอจะใช้ทุบหรืองัดฝาโลงได้จนกระทั่งกลับไปที่ใต้ถุนเรือนใหญ่อีกครั้ง เสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังขึ้นอีกแล้ว ผมกลัวเหลือเกินว่านั่นจะเป็นเสียงแพร แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปช่วยภรรยาหรือกลับไปช่วยพี่ริณต่อกันแน่ ระหว่างที่เดินโซซัดโซเซที่ใต้ถุนบ้าน ผ่านม้านั่งหินอ่อนไปก็สะดุดตาเข้ากับกล่องเก็บเครื่องมือและแม่แรงยกรถที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากม้านั่ง ผมเปิดกล่องออกมาก่อนจะพบชะแลงอันหนึ่งซึ่งมีน้ำหนักมากทีเดียว ครั้นฉวยอุปกรณ์ได้แล้วก็กลับไปยังเรือนเล็กอีกครั้งเพื่องัดฝาโลงคนตายขึ้นมาอีกหน ตอนที่ผมมาถึงพี่ริณก็ทุบไม้จนด้านหน้าแตกไปแล้วหน่อยหนึ่ง ผมจึงขอให้เธอเปลี่ยนมาช่วยออกแรงกับชะแลงในมือ รวมแรงเราสองคนก็ทำให้แผ่นไม้ปริแตกเผยอออก รอยร้าวเดินไปตามจุดที่ไม้ยุบบุบลงไปประหนึ่งฉีกกระดาษจากมุมเข้ามาตรงกลางที่ขาดอยู่แล้ว เสร็จจากตรงนั้นผมจึงหันไปจัดการกับส่วนมุม การใช้ชะแลงงัดทำให้มุมเผยอออกเพียงหน่อยเดียวแต่ก็มากพอที่จะทำลายเดือยที่ใช้เข้าไม้จนพังฝาโลงส่วนที่ไม่ติดเดือยได้บ้าง จนเมื่อผมกระชากไม้ออกมาจนหลุดออกมาครึ่งหนึ่ง

    ร่างที่อยู่ใต้แผ่นไม้นั้นคือชายวัยห้าสิบปีกลาง ๆ ผมแซมสีขาวเล็กน้อย เค้าหน้าไม่แม้แต่จะคล้ายคลึงบรรพบุรุษคนใดที่ผมเห็นในห้องนอนนั้นเลย ทั้งจมูกที่เป็นสันโด่ง ใบหน้าคมเข้ม ร่างกายหนาใหญ่แลแข็งแรง อีกทั้งสภาพสมบูรณ์ศพนั้นไม่ต่างจากคนที่กำลังนอนหลับเท่านั้นเอง ไม่มีแม้กระทั่งกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นสาบของฟอร์มาลีน…มีเพียงที่หน้าอกซ้ายเท่านั้นที่มีดอกเบญจมาศสีแดงชูดอกเบ่งบานอยู่เท่านั้น ผมก็ว่าอยู่ว่าทำไมตัวโลงออกจะสูงกว่าปกติ คงเพื่อจะให้ดอกไม้เลือดนี่ชูดอกออกช่อได้นี่เอง

    พี่ริณถึงกับพูดออกมาทั้งน้ำตา “พี่อ้น…” ผมได้แต่ยืนอยู่เฉย ๆ มองเธอสะอึกสะอื้นอย่างเงียบงันต่อคนรักเท่านั้น

    เวลาผ่านไปสักพักใหญ่จนเมื่อเสียงนกแสกหวีดร้องดังก้องจากในสวน พวกเราจึงกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง พี่ริณปาดคราบมาสคาร่าที่ไหลย้อยตามน้ำตาก่นจะหันมาพูดกับผม

    “ภาคไปจัดการที่สวนดอกไม้เถอะ เดี๋ยวทางนี้พี่จัดการเอง”

    ผมแปลกใจ “แต่ว่าตามลำดับมันต้อง --- ”

    “ลำดับจริง ๆ มันไม่สำคัญหรอก ที่พี่ต้องการคือไม่ให้พี่อ้นมาเกิดใหม่ และก็จะไม่ให้เกิดพิธีนี้ขึ้นอีก” เธอหันมามองด้วยสายตาจริงจัง “ที่เราควรทำจริง ๆ คือต้องฆ่าตาพะยอมกับเจ้าสิน”

    ความกระอักกะอ่วนซัดเข้ากลางท้องอีกครั้ง ผมข่มตาด้วยความกลัว

    “หยุดพูดว่าต้องฆ่าเสียทีเถอะครับ ยังไงเขาก็เป็นคนนะ!”

    พี่ริณถอนหายใจอย่างจนปัญญา จนเมื่อเสียงนกแสกดังขึ้นเป็นคำรบที่สองเธอก็หันมาสั่ง “งั้นก็ไปช่วยเมียแกไป!” ก่อนจะล้วงเอาของในกระเป๋าของเธอออกมาแล้วโยนส่งให้, ไม้ขีดไฟหนึ่งกลัก

    ตอนนี้เองผมจึงหันมาสนใจกับสถานการณ์ตรงหน้าได้ในที่สุด รีบคว้าถังน้ำมันแกลลอนหนึ่งพร้อมชะแลงเมื่อครู่วิ่งเข้าไปในสวน ปกติตัวเองก็ยิ่งไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอยู่แล้วยิ่งต้องใช้แรงเยอะเช่นนี้ก็กลัวจะหอบหืดกำเริบอีก แต่ละย่างก้าวที่วิ่งฝ่าม่านหมอกของความสิ้นหวังนั้นช้าเชื่องเหลือเกิน แม้จะพยายามสั่งให้ตัวเองเร่งฝีเท้าแต่เหมือนร่างกายไม่ยอมทำตาม วิ่งผ่านหลังเรือนใหญ่ข้ามสะพานข้ามคูน้ำ ตรงแน่วไปตามร่องสวนต้นมะม่วงที่ส่งกลิ่นหอมหวานในราตรีกาล กึ่งวิ่งกึ่งเดินบ้างเพื่อเดินเลาะตามคูน้ำซึ่งชื้นแฉะ ครั้นผ่านไปนานเข้าลมหายใจหอบฮั่กก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงหวีด ร่างกายจวนจะถึงขีดจำกัดเต็มที

    แต่ประหลาดเหลือเกิน…ที่เมื่อรู้สึกว่าตัวเองจะไม่ไหวก็เหมือนกับมีใครบางคนดึงมือให้วิ่งต่อไปเรื่อย ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อนักว่าเรื่องเหนือธรรมชาติมีจริงแต่อย่างนั้นก็เกิดนึกย้อนแย้งอยู่ในใจและขอบคุณตาเสน่ห์ลึก ๆ และเมื่อความทรงจำของเขาเป็นของผมทำให้ขาทั้งสองนั้นรู้ว่าจะต้องไปที่สวนเบญจมาศ ณ ทิศใด

    สุดทางสวนผลไม้นั้นเป็นทุ่งหญ้าแพรกสูงฟุตหนึ่งเห็นจะได้ เนินหญ้านั้นติดกับคลองเล็ก ๆ สายหนึ่ง คืนนี้เงียบและเยือกเย็นเสียจนหายใจออกมาเป็นไอและได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้องระงม ห่างจากผมไปสามเมตรเศษคือศาลาไม้ติดกับคลองซึ่งก่อไม้ยื่นออกไปตรงผิวน้ำเป็นท่า ที่นี่คงจะเคยใช้เป็นทางสัญจรของผู้คนในสมัยก่อนกระมัง, ผมคิด, แต่ระหว่างตัวผมกับศาลานั่น…สิ่งที่แทรกแซมระหว่างหญ้าอันเขียวขจีคือดอกเบญมาศสีขาวละลานตา แสงจันทร์เดือนเพ็ญสาดส่องบนกลีบดอกแต่ละกลีบเผยสีนวลเย็นสว่างประหนึ่งว่ามันเรืองแสงได้เอง กลิ่นหอมโชยระรื่นเคล้ากับกลิ่นดินชื้น ๆ และกลิ่นสาบจาง ๆ ของน้ำจืด

    ดอกไม้ที่โตผิดธรรมชาติพวกนี้เด่นตระหง่านกินพื้นที่ไกลเกือบห้าเมตร แปลกจนสะดุดตามากทีเดียวจนน่าสงสัยว่าพวกคนงานหรือถ้าแก่ที่มารับซื้อผลไม้ต่อจากสวนนี่จะไม่สงสัยเรื่องดอกไม้พวกนี้ได้อย่างไร กระนั้นก็ไม่มีอะไรให้ผมคิดไปมากกว่านี้เมื่อตได้ยินเสียงเครื่องกระทบคล้ายแทมโบรีน เป็นเสียงเหมือนโลหะบาง ๆ กระทบเป็นจังหวะตามด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงโหยหวนแปร่ง ๆ หันไปตามต้นเสียงจนพบว่าทางทิศตะวันตกตรงข้ามคลองนั่นก็เป็นสวนของตระกูลเช่นกัน และในเงาของไม้ยืนต้นที่เรียงแถวเป็นกำแพงด่านหน้าก็ปรากฏเงาลาง ๆ ของกระท่องเล็ก ๆ ด้วย

    “…แพร!” ผมพึมพำออกมา ทว่าเหนือสิ่งอื่นใดผมต้องจัดการพวกดอกไม้วิปริตนี่เสียก่อน --- เปิดแกลลอนออกมาแล้วสาดน้ำมันก๊าดไปทั่วจนส่งกลิ่นคลุ้ง ก่อนจะเดินย่ำ ๆ ไปที่ศาลา แม้จะรู้สึกหมิ่นเหม่หน่อย ๆ ว่ามันจะเผาไหม้โดยสมบูรณ์หรือไม่เพราะเรื่องความชื้นของดินและกระแสลม ทว่าไม่ลองก็ไม่รู้, ผมล้วงเอากลักไม้ขีดไฟที่พี่ริณให้กับผมแล้วจุดมันขึ้นก้านหนึ่ง แสงสว่างวาบเพียงเล็กจ้อยให้ความอบอุ่นบนมือและใบหน้าผมแค่ชั่วคราว, ก่อนจะหายไป, แล้วกลายเป็นกองไฟมหึมาที่กินพื้นที่ยาวเหยียดไปไกลกว่าที่ผมราดน้ำมันไว้เสียอีก

    ขั้นตอนแรกสำเร็จแล้ว เหลือแต่ว่าผมจะข้ามไปอีกฝั่งของคลองได้อย่างไร เมื่อตนเดินลงมาถึงท่าน้ำก็พบว่าคลองนี้กว้างตั้งสามเมตรครึ่งเกือบ ๆ จะสี่เมตรแล้วด้วยซ้ำ ยังดีที่มีเรือแจวลำเล็กจอดอยู่ ณ ท่าน้ำอีกฝ่ายเฉียงจากท่าฝั่งนี้เล็กน้อย จะว่ายข้ามไปมันก็ได้อยู่หรอกแต่เวลาเกือบตีสองอย่างนี้น้ำคงเย็นจัดจนอาจกัดขาผมเสียให้เป็นตะคริวทั้งตัวแน่ ๆ ทว่าตอนนี้มีเพียงต้องเสี่ยงเอาเท่านั้น จึงจำใจวางของทุกอย่างไว้ที่ท่าตรงนี้ก่อนจะถอดรองเท้าผ้าใบคู่เก่งแล้วทิ้งตัวลงไปในสายน้ำอันเย็นยะเยียบราวน้ำแข็งช้า ๆ ลงไปจนร่าพ้นมาเพียงหน้าอกแต่ขาก็ยังไม่สัมผัสกับก้นคลองเลยก็ชักจะใจเสียด้วยไม่นึกว่าจะลึกขนาดนี้ แต่ตอนนี้มีแต่ต้องกระเสือกกระสนไปยังเรือให้ได้ จนเมื่อข้ามมาได้อีกฟากก็แก้เชือกที่ผูกเรือออกพลางมองดูความเสียหายที่ผมทิ้งไว้ ณ เบื้องหลัง…ทะเลเพลิงสีแดงชาดกำลังล่องลอยสู่ฟ้าเบื้องบน กลิ่นใบไม้ไหม้คลุ้งตลบ ควันไปสีดำทะมึนลอยดิ่งขึ้นไป ผมรีบพายเรือจ้ำ ๆ อย่างเก้ ๆ กัง ๆ จนกลับยังอีกฟากแล้วเอาแกลลอนน้ำมันตั้งไว้ที่ท้องเรือก่อนจะพายจ้ำอ้าวกลับไป

    แต่ยังไม่ทันจะได้ย่างเท้าก้าวขึ้นจากฝั่งก็มีใครคนหนึ่งหยุดยืนที่เนินตรงหน้า --- น้องสิน

    “มึงกลับมาทำไม?” เขาคำรามก่อนจะมองดูกองเพลิงที่อยู่ ณ ฝั่งตรงข้าม ใบหน้าที่ต้องกับแสงสีส้มอมแดงนั้นฉายแววตาอาฆาตแค้นอย่างรุนแรงจนผมรู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจยิ่งกว่าตอนลุยลงน้ำเสียอีก

    อีกฝ่ายรีบเดินลงกระไดมา ครั้นเห็นแล้วว่าในมือเขาถือมีดพร้าขึ้นสนิม ใจที่แต่เดิมก็กลัวอยู่แล้วก็ยิ่งตกไปถึงตาตุ่ม ทำได้เพียงวางแกลลอนน้ำมันไว้บนท่าแล้วยืนเก้ ๆ กัง ๆ บนเรือที่โคลงเคลงตามแรงลมซึ่งเริ่มพัดแรง เปลวไฟจากดงหญ้าลุกโชนสูงขึ้น หอบเอาไอความร้อนมายังคุ้งน้ำฝั่งนี้ด้วย…จนมุมเสียแล้ว ไม่รอดเสียแล้ว…ผมคิดได้เท่านั้นจริง ๆ

    ชายผิวดำแดงร่างกำยำย่างสามขุมเข้ามาหาผม พร้อมกันก็เงื้อมีดพร้าในมือขึ้นกลางอากาศ ผมที่กลัวสุดใจจนขาแข็งได้แต่จ้องเหล็กขึ้นสนิมด้าน ๆ ที่อาบแสงเพลิงด้วยความสั่นสะท้าน --- ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังแหวกผ่านม่านอากาศเข้ามา ไม่ใช่เพียงแค่เสียง แต่มีลูกกระสุนปืนพกขนาด 9 มม. เจาะแผ่นไม้ท่าน้ำระหว่างผมกับน้องสินด้วย ผมหูอื้อพักใหญ่แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของผมทำให้หันไปตามต้นเสียงแต่แรกแล้วจึงพยายามสอดส่องหาที่มาของกระสุนนัดนั้น ทว่าเปลวไฟก็สูงเกินไปอีกทั้งเขม่าควันก็ดำทะมึนจนมองอะไรแทบไม่เห็น แต่เสียงของคนที่อยู่อีกฝั่งของคลองนั้นช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขามาเพื่อช่วยผม

    “ถอยจากภาคไปเดี๋ยวนี้! อย่าคิดว่าฉันแค่ขู่นะตาเถียร ถ้ายังยุ่งกับพี่อ้นไปมากกว่านี่ฉันส่งตาไปลงนรกจริง ๆ แน่!”

    เสียงนั้นเป็นของพี่ริณไม่ผิดแน่ แม้จะเห็นเพียงเงาลาง ๆ เท่านั้น และดูเหมือนน้องสินเองก็คงประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่มีคนเรีกเขาด้วย ‘ชื่อ’ นั้น ผมสบโอกาสเข้าก็เงื้อถังน้ำมันยันร่างเขาให้ถอยห่างออกไป น้องสินล้มเอียงกะเท่เร่และด้วยท่าน้ำนั่นชื้นอยู่แล้วจึงทำให้อีกฝ่ายหงายหลังตกลงไปในคลองทันที

    ผมรีบเดินขึ้นบันไดขาสั่น ฮึบแรงกายเท่าที่ยังไหวเดินฝ่าความหนาวเหน็บของราตรีกาลเพื่อไปยังจุดหมายให้ได้ ข้างหลังผมยังมีเสียงกระสุนดังอีกสามนัด พี่ริณน่าจะพยายามเล็งลงไปในน้ำหรืออย่างไรก็มิอาจทราบเพราะบัดนี้ผมก็วิ่งมาไกลจนถึงสวนผลไม้ด้านหลังแล้ว ผ่านทั้งสวนมะม่วง ขนุน ลิ้นจี่ เลาะตามแนวคูน้ำ วิ่งไปก็ล้มลุกคลุกคลานไปจนเนื้อตัวเปื้อนดินโคลนมอมแมม จนเมื่อใกล้ถึงหลังสวนก็ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้และเสียงปรำคาถาชัดขึ้น ผมหยุดวิ่งแล้วเดินกระย่องกระแย่ง ฟังดูดี ๆ เหมือนได้ยินเสียงสะอื้นไห้ และเสียงกลองดังเป็นจังหวะทุ้ม ๆ ผมตามเสียงนั่นไปเรื่อย ๆ จนพบกับต้นเสียงซึ่งอยู่ในกระท่อมทำจากไม้สานมีเพิงยื่นออกมาคลุมชานนั่นเอง

    เห็นดังนั้นจึงเอี้ยวตัวซ่อนอยู่หลังต้นไม้ มองผ่านประตูและหน้าต่างของเพิงนั้นเข้าไป…ภายในมีแสงสลัวของเทียนวาบไหวอยู่ที่หน้าต่าง พร้อมกับเสียงคนตีกลองตะโพนทุ้มต่ำเป็นจังหวะกับเสียงสวดคาถาที่ไม่แน่ใจว่าเป็นคำบาลีหรืออย่างไร แต่นอกจากจะไม่สดคล้องกับจังหวะของเครื่องกระทบแล้วก็ยังฟังดูยานคางและน่ากลัวเป็นที่สุด แม้จะเห็นอยู่เลา ๆ ว่าคนที่นำพิธีดังกล่าวคือตาพะยอมซึ่งรับหน้าที่ทั้งขับลำนำและตีกลองคร่อมจังหวะ ทว่าหากหลับตาฟังก็เหมือนเสียงสวดนั้นมีคนสวดนำคนหนึ่ง เอื้อนรับคำคนหนึ่ง และกระซิบกระซาบอีกคนหนึ่ง และลักษณาการมือเองก็มิใช่การประนม แต่เห็นเป็นการแบสองฝ่ามือวาดไปมาตามจังหวะกลองไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวยกขึ้นลง, โอนซ้าย, เอนขวา, คล้ายกับท่าอุ้มเด็ก

    ในพิธีก็ยังแว่วเสียงโลหะเบากระทบกัน ซึ่งมาจากยายดวงแก้ว นางนุ่งชุดสีขาวกับผ้าถุงสีแดง ทาปากจัด ลงแป้งขาววอก ทัดผมสีดอกเลาด้วยดอกไม้มากมายอันจับคู่สีอย่างประหลาดและไม่เข้ากันเหมือนอย่างในงานศพประหนึ่งเครื่องหัว มือและเท้ามีกำไลห้อยแผ่นทองเหลืองบางต่อกัน ส่งเสียงซ่อกแซ่กตามจังหวะการระบำอันเอื้อยอิ่งและกระท่อนกระแท่นของหญิงชรา ยายดวงแก้วจะกลับไปนั่งลงเมื่อเสียงกลองเงียบไปประมาณห้าวินาที แต่เสียงบริกรรมใด ๆ ทั้งจากชายชราและหญิงชรายังคงดังแผ่ว ๆ อยู่ และหากเสียงกลองดังขึ้นอีกครั้งยายดวงแก้วก็จะลุกมาเต้นรำ และทุกครั้งทั้งสีหน้า ท่าทาง และเสียงหวีดร้องของนางก็จะแลวิปริตมากขึ้นเรื่อย ๆ

    โต๊ะพิธีตั้ง ณ ด้านหลังตาพะยอมตั้งบนพื้นต่างระดับ ไม่มีทั้งพระพุทธรูปหรือพวกของคุณไสยใด ๆ ที่เป็นภาพจำของคนทั่วไปทั้งนั้น ตรงกลางมีรูปเคารพอันคล้ายกับประติมากรรมโลหะหล่อรมดำรูปมนุษย์ แต่ร่างกายบิดเบี้ยว โดยศีรษะ แผ่นหลัง และขาหันมาทางด้านหน้า แขนทั้งสองข้างบิดงอเข้าหาใบหน้าจับที่ตรงกลางขา ทำให้ผมเริ่มเห็นเค้าภาพแล้วว่ารูปหล่อนั่นน่าจะนั่งอ้าขาหาใช่ขัดสมาธิ เครื่องหน้าเห็นชัดเจนเพียงว่ามีดวงตากลมลึก ดูไม่ออกว่าเป็นเพศอะไรหรือแสดงอารมณ์เช่นไร หน้าอกบิดหันข้างแบนราบ ส่วนหน้าท้องที่เอี้ยวไปอีกฝั่งป่องโย้ ของเซ่นไหว้นอกเหนือจากดอกไม้ธูปเทียนแล้วก็ยังมีเลือดสด ๆ อยู่เต็มอ่างสองใบ อ่างทองเหลืองตรงกลางมีน้ำอบควันเทียนโรยกลีบดอกไม้และมีผอบเล็ก ๆ ซึ่งเคยตั้งที่งานศพลุงอนันต์ลอยอยู่

    คนที่ชมพิธีกรรมนี้โดยตลอดคือน้าลดาที่นั่งนิ่ง และแพรที่สะอึกสะอื้นร้องไห้แต่หาได้มีคนใส่ใจไม่ ส่วนน้าไจ๋นั้นเป็นลมหมดสติพิงกายอยู่ที่อีกมุมของห้อง ในกระท่อมที่แม้จะสะโหลสะเหลแต่ผมก็เห็นรอยบนลำคอของน้าไจ๋ได้เป็นอย่างดี ยากจะคิดได้ว่าแกยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ --- ทว่าคนที่แน่ใจได้แน่นอนว่าคงสิ้นลมไปแล้วคือชายซึ่งนอนราบอยู่ระหว่างผู้ทำพิธีกับผู้ร่วมพิธี นั่นน่าจะเป็นนายวิน, คนที่ตระกูลนี้หมายหัวอย่างแน่นอน

    ผมคิดในใจว่าแล้วแม่อยู่ไหน

    ในใจก็นึกกลัวขึ้นมาโดยฉับพลัน พลางหันซ้ายแลขวา ใจก็ภาวนาแต่เพียงว่าขอให้ท่านไม่เป็นอะไร…ง่าย ๆ คือขอให้ท่านไม่ตายนั่นแหละ

    และในที่สุดเสียงกลองก็สิ้นไป เหลือเพียงเสียงกรอบแกรบของพงหญ้าที่ลุกไหม้ ณ ไกล ๆ กับเสียงจิ้งหรีดที่เบาบางลงไปมาก แต่กลองมันหยุดนานเกินไป…นานจนเหมือนกับว่าเป็นชั่วโมงทั้งที่ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาที จนกระทั่งเมื่อยายดวงแก้วนั่งลงแล้วตาพะยอมก็สั่งน้าลดา

    “ไอ้สินมันไปนานจังวะ?ไอ้ดา ไปตามลูกมึงมา”

    ผมเผลอสูดหายใจเข้าเสียงดังโดยไม่ตั้งใจ ครั้นรู้สึกตัวก็กลั้นหายใจโดยทันทีทว่าก็เหมือนจะสายไปแล้ว ยังดีที่ไม่มีใครสังเกตเห็นผมอยู่ตรงนี้ แต่อย่างไรก็ดีน้าลดาก็เดินออกมาจากเพิงแล้วสวมรองเท้าแตะเร่ง ๆ ก่อนจะรีบเดินไป เสียงฝีเท้าเหยียบดินชื้นแฉะและใบไม้แห้งดังไปทั่วทิศประหนึ่งมีคนเดินพุ่งเข้ามาจากทุกทาง แต่จังหวะการเดินของน้าลาดนั้นเหมือนกับว่ามีคนสองคนเดินไปพร้อมกันอยู่ หูก็ฟังอยู่นานจนเริ่มจับได้แล้วว่ามีคนกำลังเดินมาจากทางข้างหลังผม เมื่อหันไปดูก็พบว่าเป็นแม่ที่เดิฯโซซัดโซเซ ที่ขมับขวามีคราบเลือดแห้งกรังอาบไหลอยู่

    ผมร้องขึ้นเบา ๆ “…แม่!” ท่านก็เงยหน้ามามองผมประเดี๋ยวหนึ่งเหมือนจะไม่ได้ตกใจอะไร แต่ครั้นรู้ตัวว่าเสียงของตัวเองได้เรียกให้น้าลดาหันมามองผมเช่นกันก็ถึงกับหน้าเสีย

    น้าลดาชิงหนีก่อน แม่ที่ดูเหมือนจะตรงมาหาผมในทีแรกก็กลับลำรีบเข้าไปดึงตัวน้องสาวตัวเองทันที ผมไม่เคยเห้นแม่ใช้กำลังแบบนี้มาก่อน --- แม่ดึงคอเสื้อ เตะหน้าขาน้าลดา ลากอีกฝ่ายที่มีเนื้อมีนวลพอกันลงไปบนพื้นโคลน ท่านยืนคร่อมน้องสาวตัวเองก่อนจะกรรโชก

    “ไม่ต้องไปตามหามันหรอกไอ้ดา มันตายแล้ว!”

    ผมเงียบอึ้งไปในทันที ที่เข้าใจแน่ ๆ คือแม่พูดถึงน้องสิน แต่เรื่องที่เขาตายไปแล้วนั้นผมไม่เข้าใจว่าตายเพราะอะไรหรือฝีมือใคร, พยายามจะไม่คิดอะไรมากไปกว่านี้แต่ก็อดคิดไม่ได้จริง ๆ จึงรีบวิ่งเข้าไปดึงแม่ให้ออกห่างจากอีกฝ่าย ผมเพิ่งเห็นว่ารอบข้อมือและข้อท้ามีรอยเชือกบาดเป็นแผลถลอก ท่านคงโดนจับไปขังไว้ที่ไหนสักที่แล้วหลุดออกมาได้กระมัง

    “แม่ เดี๋ยวก่อน! ที่น้องสินตายหมายความว่าไง?”

    ท่านเหมือนจะช็อกไปนิดหน่อยก่อนจะพูดเบา ๆ “แม่เห็นมัน…ลอยอยู่ในคลอง”

    ผมเข้าใจได้ทันทีว่ากระสุนที่พี่ริณยิงหลังจากนั้นคงหวังผลจริงหาใช่คำขู่แต่อย่างใด --- น้าลดาชันตัวขึ้น ดวงตาเบิกโพลงก่อนจะเริ่มบิดเบี้ยวบูดบึ้ง น้ำตาใส ๆ ไหลอาบแก้มพร้อมกับแข้งขาที่ทรุดร่วงลงไปนั่ง สองมือกำดินร่วน ๆ ไว้แต่ก็ไม่อาจคว้าอะไรเอาไว้เป็นหลักพยุงจิตใจอันบอบช้ำได้

    ผู้เป็นแม่ของนายสิรศักดิ์กรีดร้อง “ม - ไม่จริง…ไม่จริง…!” เสียงร้องนั้นบีบคั้นหัวใจพวกเราเหลือเกิน แม้แม่ผมซึ่งพูดออกไปเช่นนั้นก็อดแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาไม่ได้

    มีคนเดินออกมาจากกระท่อมนั่น: ยายดวงแก้วกับตาพะยอมนั่นเอง แต่ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรแม่ก็ย่างสามขุมไปหาผู้เป็นพ่อและป้าโดยไม่ลังเล ชายชราดูจะไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอกับอะไรจึงยืนนิ่งเฉยแต่ยายดวงแก้วคงอ่านเจตนาอันเดือดพล่านนั่นออกจึงรีบเข้าไปขวาง ทว่าแม่ผลักนางออกไปจากทางก่อนจะวาดขาขวาเตะเข้าที่ชายโครงของผู้เป็นพ่อโดยไม่ปรานีใด ๆ ทั้งสิ้น ตาพะยอมล้มไปนอนกองกับพื้นอ้าปากพะงาบ ๆ มือกุมช่วงสีข้างอันแบบบางพร้อมมองลูกสาวแท้ ๆ ด้วยดวงตาเคียดแค้น

    “…อีหมอน!”

    “ใช่” แม่พูดเสียงเย็นชา “ดีนะที่พ่อยังมีแรงพูดได้”

    “อี - อีลูกอกตัญญู!”

    “เออ อกตัญญูแล้วมันจะทำไม?!” ตะคอกใส่ชายที่นอนอย่างเสียท่าพร้อมยกมือเสยไรผมที่ปรกหน้าผาก “พ่อคิดเหรอว่าแค่เป็นคนสืบทอดพิธีนี้แล้วตัวเองจะกายเป้นอภิชาตบุตรรึไง! พ่อทำลายชีวิตหนู…ทำลายชีวิตไอ้ดา…แย่งหลานไปให้เป็นของคนอื่น --- ”

    ไม่ทันที่ท่านจะได้คั้นคำพร่ำพรรณนาความเคียดแค้นออกจนหมดจากอกทุกหยาดหยด ยายดวงแก้วก็คว้ามือจิกผมหลานสาว มือเรียวเล็กแห้งเหี่ยวปัดป่ายเกาะเสื้อไม่ยอมปล่อย แม้จะเป็นการต่อสู้ที่เสียเปรียบแต่หญิงชราก็ไม่ต่างจากหมาจนตรอกที่ต้องเตะต้องกัดจนสุดชีวิต ทว่าท้ายที่สุดนางก็ร่วงลงบนพื้นราวกับใบไม้แห้งอยู่ดี ตาพะยอมเองครั้นกลับมามีสติก็พยายามตบตีกับลูกสาวสุดชีวิตทว่าก็จบแบบเดียวกับยายดวงแก้วไม่ต่างกัน

    แม้ใจตอนนี้จะหวาดกลัวแม่ผู้ให้กำเนิด ณ เวลานี้แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งชีวิตท่านในตอนนี้ผมทำได้เพียงแค่มองโดยไม่ห้ามอะไรทั้งนั้น จแพรซึ่งเดินกระเตงลงมาจากกระท่อมด้วยสภาพหมดแรงพยายามปรามแม่ยายตัวเองไว้ ผมเห็นเข้าก็รีบคว้าแกลลอนน้ำมันตามเธอไป ครั้นแพรดึงแม่ออกจากตาพะยอมแล้วผมก็เข้าไปพยุงเธอ แม่หันมามองผมก่อนจะถาม “นั่นอะไร?”

    ผมอึกอัก “น้ำมันก๊าด…”

    “คนที่เขาดึงตัวลูกไปฝากมาใช่มั้ย เขาเกี่ยวข้องกับลุงอ้นยังไง?”

    “เป็นแฟนเก่าลุงอ้น…”

    ตาพะยอมสบถ “ไอ้อ้น! แม่งไปมีลูกกันตอนไหนวะ” ก่อนจะเดินอาด ๆ ขึ้นชานไป ก้าวขาข้ามศพของนายวินอันเป็นผู้สังเวยชีพในพิธีก่อนจะเข้าไปล้วงหาอาวุธอะไรบางอย่าง แม่ที่นิ่งไปสักพักก็บอกผมว่า

    “แกทำเรื่องของแกต่อเลย” แล้วก็หันไปทางกระท่อมที่ใช้ทำพิธี “แม่ก็จะสะสางเรื่องนี้ให้จบ ๆ ไปเหมือนกัน”

    ยายดวงแก้วอาละวาดด่าทอจนไม่เป็นภาษาจนน้าลดาต้องเข้ามาประคองนางไว้ หญิงชรากุมหน้าอกตัวเองอย่างทรมานพลางหลานสาวต้องเข้ามาปลอบให้ใจเย็นลง แพรเกาะแขนผมแน่นหลับตาปี๋ ผมปล่อยให้เธอร้องไห้ออกมา

    “เขาทำอะไรกับแพร?” แม้ในหัวจะมีคำถามเต็มไปหมดทว่ามีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่พูดออกมาได้

    แพรซุกหน้าบนไหล่

    “พ - พิธี…พิธีมัน…สำเร็จไปนานแล้ว”

    เสียงนั้นเบาแต่กลับชัดก้องเต็มสองหู และเย็นยะเยียบเสียจนผมนั้นจุกเจ็บยิ่งกว่าถูกต่อยเมื่อครู่นี้อีก



    แพรเรียกชื่อผมซ้ำไปซ้ำมา และพร้อม ๆ กันเสียงตุ้บตั้บและเสียงข้าวของกระจัดกระจายก็ดังอยู่ในกระท่อม แม่กำลังทำร้ายตาพะยอม ทั้งเตะทั้งถีบราวกับพ่อของตนเป็นกระสอบทราย เสียงกระอักน้ำลายของชายชราดังเพียงพักสั้น ๆ แล้วก็ขาดหาย พร้อมกับยายดวงแก้วก็กรีดร้องเสียงหลงแต่น้าลดายังรั้งนางเอาไว้ ไม่รู้ว่าด้วยเพราะอยากปล่อยให้พี่สาวตัวเองแก้แค้นแทนตน หรือเพราะเป็นห่วงป้ากันแน่

    เสียงตะคอกของแม่ดังไม่ขาดสาย กลบเสียงจิ้งหรีดและเสียงนกที่ร้องแหบพร่าไปจนสิ้น มีแต่ถ้อยคำด่าทอและสาปแช่ง ผมปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปจนเริ่มรู้สึกว่ามือข้างที่หิ้วแกลลอนน้ำมันเริ่มชาจึงตัดสินใจปล่อยแพรสักประเดี๋ยว “แพร อยู่ตรงนี้ก่อนนะ” แล้วผมก็เดินเข้าไปที่กระท่อมทันที

    ข้างในยังมีน้าไจ๋ที่ยังนอนหมดสติอยู่ ครั้นแม่เห็นผมท่านก็หยุดทุกการกระทำ รีบเดินไปคว้าอะไรก็ได้ซึ่งใช้เป็นอาวุธไว้ในมือหวังไม่ให้ตาพะยอมแกฉวยมาโต้กลับทีเผลอ แต่จากสภาพของตาที่ใบหน้าบวมเป่งช้ำม่วง เลือดกำเดาไหลอาบและมีเลือดกบปาก สภาพสาหัสขนาดนั้นแค่กระดิกนิ้วและยังพูดได้ก็ถือว่ามากสุด ๆ แล้ว

    ตาพะยอมเรียกลูกสาวเท่าที่จะมีแรงออกเสียงได้ “ไจ๋…ไจ๋…” ผมเข้าไปคว้าตัวน้าไจ๋แล้วตบบ่าเขย่าเบา ๆ “น้าไจ๋ น้าไจ๋ ได้ยินผมมั้ย?” เมื่อจับชีพจรดูก็ยังพอโล่งอกที่ท่านยังไม่เป็นไร ผมหันไปบอกแม่ “ไม่เป็นไร…แม่ น้าไจ๋แกแค่สลบไป”

    “แต่คนที่ทำให้ไอ้ไจ๋มันสลบคือตาพะยอม” แม่พูดเสียงเด็ดขาด แล้วหันไปถามพ่อตัวเอง “ใช่มั้ย?”

    ชายชราสภาพสะบักสะบอมส่ายหน้าเอื่อย ๆ “ป - เปล่า…ไอ้สิน…ไอ้สินมัน…”

    แม่หันมามองผมก่อนจะพูดว่า “ภาค ส่งน้ำมันมานี่”

    ผมยืดตัวขึ้น ตบ ๆ กางเกงหาไม้ขีดไฟทว่าก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว “ม - ไม้ขีดไฟ ผมน่าจะลืมไว้ที่ท่าน้ำ”

    “ไม่เป็นไร”

    ว่าแล้วท่านก็เดินมาคว้าแกลลอนเสียเอง เพิ่งเห็นว่าในมือแกมีไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้ง คงฉวยเอาไว้เผื่อตาพะยอมจะนึกบุ่มบ่ามทำอะไร แล้วก็เปิดฝาน้ำมันก๊าดเทลงไปบนพื้นไม้จนท่วม กลิ่นสาบเหม็นแสบจมูก ผมรีบประคองน้าไจ๋ขึ้นมาก่อนจะเดินลงไปสมทบกับแพรและน้าลดา ระหว่างนั้นยายดวงแก้วก็ยังกรีดร้องทั้งน้ำตาไม่หยุด

    “ไอ้หมอน อย่า! ป้าขอล่ะ อย่าทำนะ! ไอ้อ้นมันจะไม่ได้เกิดใหม่ ปล่อยให้ไอ้อ้นมันกลับมาเถอะ นะ ป้าขอนะ!”

    เสียงขอร้องแสนสิ้นหวังไม่ส่งไปถึงแม่ ครั้นแกลลอนเปล่ากระทบพื้นก็มีเสียงเอ่ยเป็นครั้งสุดท้าย

    “หนูให้พ่อเลือกว่าจะออกไปด้วยกัน หรือจะอยู่กับไอ้พิธีนี่จนกว่าจะลงนรกไปด้วย”

    น้าลดาเองที่เห็นดังนั้นก็ร้องไห้ออกมาอีกคำรบ นางส่าหน้าก่อนจะกรีดร้อง

    “พี่หมอน! ถึงพ่อเราจะตายแต่พิธีมันก็ไม่จบสิ้นหรอก” นางยืนยันคำพูดของแพรอีกครั้ง “พิธีมันสำเร็จไปแล้ว ตอนนี้พี่อ้นไปอยู่ในท้องไอ้แพรแล้ว! ถึงจะทำลายที่นี่จนสิ้นซากก็ไม่ใช่ว่าเราจะกลับไปเริ่มใหม่ไม่ได้ --- พี่ก็รู้ว่าพ่อเราก็เคยเป็นปู่พลนะ!”

    แม่หันมามองน้องสาวตาขวาง “หุบปากไปไอ้ดา แกก็ด้วยอีกคน! รู้ทั้งรู้ว่าบ้านนี้แม่งผิดเพี้ยนขนาดไหนก็ยังจะไปอยู่ฝั่งนั้นอีก --- ”

    “ก็ถ้าดาไม่ยอมพวกเราก็ต้องตายกันหมดนี่นา!”

    ผมเงียบอึ้งไป แม่เองก็เหมือนจะช็อกไม่น้อยไปกว่ากัน --- น้าไจ๋ตื่นข้นในตอนที่ทุกอย่างกำลังเงียบ ท่าทางเหมือนไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น “ภาค…เหรอ?” ท่านกระซิบ ก่อนจะขยับแว่นตาที่แตกละเอียดมองดูพี่สาวของตน “…พี่ดา…พี่หมอน”

    น้าลดาหันมามองน้องสาวตัวเองก่อนจะข่มตาแล้วหันไปพูดกับพี่สาวคนโต

    “ถึงพี่จะเผาศพ ถึงจะทำลายดอกเบญจมาศได้ แต่ต่อให้เผาไปแล้วยังไงมันก็ยังโตอยู่ดีเพราะที่ดินนี่มันหล่อเลี้ยงด้วยเลือดของบรรพบุรุษเรา ถึงเผาที่นี่ไปก็ไม่ช่วยอะไร --- พี่จำได้มั้ย?ตอนที่พวกเราทุกคนคลอดบ้านเราไม่ยอมให้ใครไปฝากท้องหรือทำอะไรนอกบ้านตัวเอง และพอคลอดก็ต้องฝังสายสะดือกับรกไว้ตรงท่าน้ำนั่นไง…ใช่, ดอกไม้ทุกดอกตรงนั้นเกิดขึ้นจากเลือดเนื้อของพวกเรา ชีวิตทั้งของพี่ หรือหนู หรือของคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิงพวกเราก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ไปแล้ว ถ้าจะให้ทุกอย่างมันจบลงจริง ๆ พวกเราก็ต้องตายกันหมด!”

    คำร่ายของน้าลดาทุกครั้งทำให้ผมรู้สึกหนาวเหน็บจนไปถึงขั้วหัวใจ ภาพตรงหน้าที่ผม แพร และน้าไจ๋เห็นนั้นนิ่งงันราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้

    “หมายความว่าไงที่ว่า…เราจะต้องตายกันหมด?”

    แพรเป็นฝ่ายที่เอ่ยคำถามนั้นแทนผม

    น้าลดาขมวดคิ้วข่มตาข่มความรู้สึกภายในสุดฤทธิ์ เธอร้องไห้แล้วร้องไห้อีกจนไม่อาจพร่ำพูดอะไรได้ ตอนนั้นเองที่ยายดวงแก้วพูดขึ้น น้ำเสียงใจเย็นและสงบกว่ายามปกติ

    “ที่พิธีนี้มันเกิดขึ้นมาได้ไม่ใช่เพราะพวกผู้ชายมันอยากให้เป็น แต่เพราะเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ต้องให้กำเนิดชีวิตนี้ด้วย…วัฏจักรการเกิดใหม่จะสิ้นไปหากสายเลือดและวิญญาณของคนวิจิตรวาจินไม่มีเหลืออีกแม้แต่คนเดียว --- พูดง่าย ๆ คือทั้งพวกเรา หรือแม้แต่ไอ้หมอน ไอ้ดา ไอ้ไจ๋ ผัวแก หรือลูกในท้องของแกก็ต้องตายทั้งหมด”

    ได้ยินเช่นนั้นแพรก็ส่ายหน้าอย่างสับสน “ไม่จริง…”

    “มีแค่ไอ้ภพ” หญิงชราพูดเป็นคำรบสุดท้าย “กับตัวแกเท่านั้นที่จะต้องมีชีวิตอยู่”

    น้าลดาเห็นดังนั้นก็เหมือนจะใจแข็งกล้าต่อปากต่อคำกับพี่สาวขึ้นมาได้บ้าง หันไปถามอีกฝ่ายที่อยู่ในเรือนเล็ก

    “เข้าใจแล้วยังพี่หมอน?ใช่ว่าพี่อ้นเขาไม่รู้เรื่องนี้ แต่พี่อ้นแค่อยากหนีไปจากวังวนนี่คนเดียวเท่านั้นแหละ --- ถ้าพี่หมอนอยากจะตัดตอนมันจริง ๆ พี่หมอนทำได้เหรอ?พี่จะฆ่าหนูกับไอ้ไจ๋ได้เหรอ จะฆ่าไอ้ภาคได้เหรอ?”

    ไม่มีเสียงอะไรจากในกระท่อมนั้นอีก เป็นความเงียบงันอันแสนยาวนานและเจ็บปวด ใบหน้าแม่ที่อยู่ในห้องอันมืดและเละเทะไม่อาจบ่งบอกได้ว่าท่านกำลังคิดอะไร อีกทั้งตาพะยอมก็ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้างดีอย่างไร ณ ตอนนี้ เสียงไม้ปริแตกดังแว่วมาจากไกล ๆ ไฟคงลามไปเผาศาลาท่าน้ำนั่นแล้วแน่ ๆ ผมหลับตาอย่างขมขื่น ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปก็เห็นภาพของสะพานข้ามคลองเล็ก ๆ ที่อยู่ทางตะวันออกขอสวน นี่คงอาจจะเป็นความทรงจำของตาเสน่ห์ก็เป็นได้

    ใจดวงนี้ยังคิดซ้ำ ๆ ว่าตัวเองเป็นใครกันแน่ และตัวเองมีส่วนที่ทำให้พิธีเกิดขึ้นหรือดำเนินต่อไปอย่างไร ทว่าไม่ทันที่จะได้ไตร่ตรองอะไรมากไปกว่านี้ แสงเล็ก ๆ จากเปลวเทียนพลันสว่างวาบเข้ามาในวิสัย


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in