เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องน่ากลัวในความนึกคิดของข้าพเจ้าชนุ่น
เหตุผลที่ตาพะยอมยังไม่เผาศพหลานชายตัวเอง (5) - จบ


  • เหตุผลที่ตาพะยอมยังไม่เผาศพหลานชายตัวเอง

    (ตอนจบ)



    (5)

    เพียงแค่แก๊สโซลีนหนึ่งแกลลอนก็เพียงพอจะเผาทำลายที่แห่งนี้ให้มอดไหม้ได้ในชั่วพริบตา

    ยายดวงแก้วกรีดร้องใจจะขาดครั้นเห็นว่าเปลวเพลิงเริ่มลุกไหม้ ยิ่งมีน้ำมันก๊าดเป็นเชื้อเพลิงก็ยิ่งเร่งให้การสันดาปรวดเร็วขึ้นไปอีก ผมมองดูแม่ของผมลากตาพะยอมออกมาก่อนที่ไฟจะลามไปไหม้ชานเรือนและบันได แต่ครั้นทั้งสองออกมาจากตรงนั้นได้สามก้าวจู่ ๆ ชายชราก็ขัดขืนสลัดตัวหนีจากลูกสาวแล้ววิ่งกลับเข้าไปในบ้านที่ลุกเป็นไฟ

    “ไม่! ไม่! อย่างน้อย - อย่างน้อยแค่รูปปั้นก็ยังดี --- ”

    “พ่อ!”

    เสียงนั้นกลับมาเป็นเสียงของแม่อีกครั้ง, เสียงที่เต็มไปด้วยความโศกศัลย์และอารณ์ ท่านคงไม่คิดจะให้พ่อตัวเองตายในกองเพลิงเป็นแน่ทว่าไม่ทันไร ด้วยแรงลมในยามสามที่โหมกระหน่ำเพราะความกดอากาศเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งพัดพาให้มวลไฟลุกโชนและทำลายล้างสิ่งก่อสร้างตรงนั้น --- เปลวมรณะลามเลียบนหลังคา ผนัง พื้น แท่นวางพิธี พาให้เลือดในโถทองเหลืองเดือดปุด ๆ ลามไปเผาไหม้ศพของนายวินที่ไม่รู้สึกถึงความร้อนอีกต่อไปแล้ว กลิ่นสาบของเนื้อสดที่โดนย่างนั้นไม่อาจจะสลัดมันออกไปจากโพรงจมูกได้

    พวกเราได้แต่มองภาพโศกนาฏกรรมตรงหน้าผ่านม่านสีส้มที่อาบไล้ความวิบัติ…ข้างในนั้น, ตาพะยอมยังคงกอดรูปปั้นที่ใช้ทำพิธีไว้แนบแน่น พยายามจะลุกขึ้นเพื่อเดินออกมา แต่ก็สายไปเสียแล้ว ขื่อและหลังคาพังครืนต่อหน้าพวกเราทุกคน ณ ตอนนี้กระท่อมนั่นก็ไม่ต่างจากเชิงตะกอนดี ๆ นี่เอง เสียงหวีดร้องของทั้งน้าลดาและยายดวงแก้วบาดลึกเข้าไปในใจของเราทุกคน แม่ที่หันหลังให้แก่กองไฟเดินมายังคนที่ยังอยู่มองภาพนั้น ผมรู้ดีว่าลึก ๆ ท่านเศร้าเสียใจแค่ไหน

    น้าไจ๋ที่เริ่มมีแรงกลับมาเดินไปประจันหน้ากับพี่สาวก่อนจะตบหน้าฉาดใหญ่ “พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง ถึงตาพะยอมจะ…จะไม่ใช่…โธ่เอ้ย! แต่เขาก็ยังเป็นพ่อเรานะพี่!”

    แม่ไม่ขัดขืนอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้น้องสาวคนเล็กผลักและและอีอกชกไหล่อีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด เมื่อพ่ายแพ้ต่อความสิ้นหวัง น้าไจ๋ก็กุมไหล่อีกฝ่ายแน่นก่อนจะระเบิดอารมณ์ออกมาชุดใหญ่ ท่านมองผมก่อนที่ดวงตาทั้งสองจะมีน้ำตาไหลอาบ แล้วก็หันไปกอดอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น

    ยายดวงแก้วซึ่งหลังจากพ้นความโศกเศร้ามาได้ก็เหมือนจะปลงตก สายตาเลื่อนลอย ก่อนจะออกจากอ้อมแขนน้าลดาแล้วลุกขึ้นมาเต้นรำเร่า ๆ เสียงกำไลข้อมือแลข้อเท้าดังไม่สอดรับกับเสียงแตกหักของไม้ในกองไฟ ร้องรับขับคาถาเป็นทำนองที่ไม่รู้ว่ามาจากภาษาไหน แต่ออกเสียงสำเนียงพิมพ์เดียวกับที่ตาพะยอมใช้, เหมือนมีคนสามคนร่วมกันสวดรับไป, คนหนึ่งปรำคาถา, คนถึงเอ่ยเอื้อนรับคำ, อีกคนก็กระซิบกระซาบ นางทำเช่นนี้อยู่สักพักแล้วก็กรีดร้องขึ้นมา “พี่ยอมจะเกิดใหม่แล้ว พี่ยอมจะเกิดใหม่แล้ว!” และอย่างไรก็ไม่ทราบได้ จู่ ๆ ท่านก็สติขาดผึง ทรุดลงไปนั่งก่อนจะร้องไห้ฟูมฟายอีก

    ภาพตรงหน้าสุดจะเวทนาเกินกว่าจะรับไหว โดยไม่รู้ตัว, ผมเองก็กอดแพรไว้แน่นแนบอก มือเอื้อมไปลูบท้องของภรรยา ภาวนาอยู่ในใจไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เสียงนั้นกลบเสียงของจุดจบรอบตัว ตอนนี้สิ่งที่ผมทำได้คือต้องหนีความจริงเท่านั้น

    น้าไจ๋กอดแม่ผมอยู่นานก่อนจะเช็ดน้ำตาแล้วพูดด้วยสีหน้าขมขื่น

    “พี่หมอนรีบพาไอ้ภาคกับไอ้แพรไปจากที่นี่เถอะ” แล้วก็ชี้ยังทางที่จะข้ามไปยังคลองอีกฟากซึ่งเป็นสะพานที่ผมเห็นในความทรงจำ “ส่วนเรื่องพ่อหนูจัดการเอง”

    แม่ถามอึ้ง ๆ “แกจะทำยังไง?”

    “เดี๋ยวหนูไปคุยกับพี่ริณเอง แต่คงจะบอกตำรวจ…พี่ภพ, ว่าพ่อฆ่าตัวตายเอง”

    น้าลดาหันมาฟังพี่และน้องพูดคุยกันก็ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เธอเดินมาด้านหน้าก่อนจะถามน้าไจ๋

    “ภพ…ภพล่ะ ภพเป้นไงบ้าง?”

    ผมตอบแทนเธอ “พี่ภพโทรมาบอกผมครับ น้าดา, ตำรวจเขาไปรับตัวแกแล้ว เห็นว่ารถชนกับน้องสิน”

    อีกฝ่ายปิดหน้าร้องไห้ฮึกฮักทันที เธอพยักหน้าไปมาก่อนจะหันมาบอกผม

    “ภาค รีบหนีไปเถอะ” แล้วก็หันมามองพี่สาวตัวเอง “พี่หมอน ดาขอโทษ ดารู้ว่าตัวเองอาจจะหยุดเรื่องทั้งหมดนี่ได้ แต่ว่า --- ”

    “ถ้าแกทำตามที่ไอ้ไจ๋มันว่าฉันจะถือว่าฉันติดหนี้บุญคุณแกก็แล้วกัน” เสียงของท่านเด็ดเดี่ยวแลไม่แยแส “แต่อย่าหวังว่าฉันจะให้อภัยแกเป็นครั้งที่สองเลย”

    แล้วท่านก็รีบตรงมาหาผม ช่วยประคองแพรเดินไปตามทาง ตลอดทางที่เราเดินไปตามคลองแพรยังคงร้องไห้ไม่หยุด พูดระบายความหวาดกลัวออกมา แม้ผมจะขอไม่ให้เธอพูดด้วยเป็นห่วงว่าจะกระทบกับเด็กในครรภ์แต่เอก็ยืนกรานว่า “ถ้าแพรเข้มแข็งกับเรื่องนี้ได้ ลูกแพรจะต้องเข้มแข็งได้เหมือนกัน” แล้วก็อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากผมสลบไป --- แม่กับน้าไจ๋ถูกหลานชายทำร้ายและเอาไปขังไว้ในเรือนใหญ่นั่นเอง ส่วนแพรก็ถูกน้าลดากับคนอื่น ๆ ลากไปทำพิธี ส่วนนี้แม่เล่าเสริมว่าระหว่างนั้นน้าไจ๋มีสติกลับมาได้ก่อนก็พยายามหาทางออกไปจากห้องเพื่อแก้มัด แต่ตอนที่กำลังตัดเชือกอยู่ในครัวน้องสินก็มาได้จังหวะพอดีจนทั้งแม่และน้าไจ๋ต่อสู้กัน แม่สลบไปอีกรอบเพราะโดนชายหนุ่มเตะจนขมับกระแทกสันประตู ส่วนน้าไจ๋คงน่าจะโดนทำให้สลบก่อนจะลากไปที่กระท่อมซึ่งทำพิธี ทางฝั่งของแพรบอกว่าน้องสินเอาน้าไจ๋ที่หมดสติมาก่อนแล้วจึงพานายวินเข้ามา และโดยที่ผู้ร้ายไม่แม้แต่จะได้เอ่ยปากแก้ตัวก็ถูกฆาตกรรมต่อหน้าต่อตาเธอ

    ผมได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็ปลอบไปต่าง ๆ นานา คิดอยู่ในใจว่าหาก ณ เวลานั้นคนที่อยู่ในพิธีเป็นผมแทนที่จะเป็นแพรเสียยังจะดีกว่า

    ครั้นเราเดินผ่านสะพานไม้ที่อยู่เกือบสุดที่ดินก็ตรรงไปยังหน้าบ้าน ณ เรือนเล็กที่ตั้งศพลุงอ้นมอดไหม้จนเหลือแค่โครงขื่อ กลิ่นเนื้อหนังมนุษย์ตลบอบอวลไปทั่วบรรยากาศชวนสะอิดสะเอียด แพรถึงกับก้มไปอาเจียนอย่างช่วยไม่ได้ เปลวไฟกำลังลามไปติดเรือนใหญ่ ตอนนี้ม่านหน้าต่างและเตียงของห้องตาพะยอมมีเปลวเพลิง ควันดำพวยพุ่งออกมา ปิดบังดวงจันทร์ที่กำลังลับหายไปจากขอบฟ้าจนสิ้น ดังกับเราอยู่ในสมรภูมิรบอย่างไรอย่างนั้น ครั้นเดินตรงไปถึงหน้าบ้านก็พบว่ามีเพียงรถกระบะสภาพดูไม่จืดกับรถของเราจอดอยู่เท่านั้น พี่ริณหายไปแล้ว ทิ้งเพียงรอยล้อรถบนดินแดงเท่านั้น

    พวกเราสามคนรีบขึ้นรถก่อนจะออกจากที่นี่ทันที --- คราวนี้ผมเปลี่ยนให้แพรนั่ง ณ ที่นั่งข้างผู้โดยสารและให้แม่นั่งข้างหลัง เราสองคนแม่ลูกจัดแจงให้แพรนอนบนเบาะที่เอนไว้ บอกให้เธอหลับพักผ่อนพร้อมบอกว่าจะปลุกอีกทีหากเจอปั๊มน้ำมัน ผมเปิดวิทยุเสียงดังพอประมาณ ไม่ต้องการจะพูดหรือสนทนาอะไรแม้จะมีเรื่องมากมายให้พูดก็ตาม

    ตอนนี้เป็นเวลาตีห้ากับอีกสิบนาที พวกเราขับแวะเข้าปั๊มน้ำมันที่เปิดอยู่ในจังหวัดขอนก่นก่อนถึงจังหวัดนครราชสีมา เรียกให้แม่และแพรลงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนที่ผมเดินผ่านห้องน้ำมีเด็กปั๊มคนหนึ่งเห็นเข้าก็ถามผมเป็นภาษาอีสานว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจึงบอกแค่ว่าไปบ้านญาติแล้วเกิดทะเลาะกัน

    “โฮ้ย ทั้งพี่กับเมียเลยเหรอ?” เด็กปั๊มช่างสอดรู้คงเห็นแม่กับแพรผ่านเข้าไปในห้องน้ำด้วยกระมังเลยทักขึ้น “คนสมัยนี้นพี่กับญาติตัวเองหลานตัวเองยังทำร้ายกันได้ลงคอ ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่ปั๊มเนี่ยก็เพิ่งมีเรื่องผัวเอามีดมาแทงเมียจนตายคาที่ ตรงที่พี่จอดพอดีเด๊ะ!”

    ผมถอนหายใจแสดงสีหน้าเอือมระอาให้เขาสำนึกผิด ทำเอาเด็กหนุ่มจ๋ยก่อนจะเดินออกไป

    หลังจากนั้นก็ซื้อของในร้านสะดวกซื้อมากินรองท่อง ตอนนี้ทางทิศตะวันออกเริ่มมีแสงสว่างเรืองรองก่อนที่ดวงตะวันจะผุดขึ้นปลายฟ้า แดดแรกของวันอาบไล้ร่างของเราสามคน…ทั้งร้อนระอุ อบอุ่น และสว่างไสว

    หลังจากเติมน้ำมันเสร็จแล้วผมก็ออกเดินทางต่อ แพรยิ้มให้ผม ผมหันไปยิ้มตอบพลางมือซ้ายที่ว่างอยู่ก็เอื้อมไปแตะท้องของภรรยา รู้สึกได้ว่าเจ้าตัวน้อยเตะท้องอยู่ ภรรยาตื่นเต้นใหญ่จนหันไปเรียกแม่ให้มาจับท้องตัวเองด้วย หญิงสองคนแลหายง่วงหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง อารมณ์ของเราตอนนี้เปลี่ยนขั้วผิดจากเมื่อเช้ามืดลิบลับ ผมเงี่ยหูฟังเสียงรายงานข่าวผ่านทางวิทยุพลางสายตาจับจ้องบนถนนลาดยางมะตอย

    เมื่อเวลาตีสาม สถานีตำรวจภูธรบ้านผือ จังหวัดอุดรธานีได้รับเรื่องว่าที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่บ้านเรื่องในหมู่บ้านตำบล อำเภอบ้านผือ และได้ประสานงานกับหน่วยดับเพลิงของงานบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลตำบลบ้านผือเพื่อควบคุมเพลิงทราบว่าที่อยู่อาศัยนี้เป็นของนายพะยอม วิจิตรวาจิน อาชีพเกษตรกรลูกสาวสองคนของนายพะยอม วิจิตรวาจินบอกแก่ทางตำรวจว่าพ่อของพวกตนและนายสิรศักดิ์ วิจิตรวาจินหลานชาย ตั้งใจพานายวิญญู ห่อแก้ว ผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมนายอนันต์ วิติรวาจินเมื่อวันที่มายังที่นี่เพื่อสอบถามก่อนลงมือฆาตกรรม

    น่าแปลกที่วิทยุเสียงดังขนาดนี้แล้วแต่แม่กับแพรหาได้สนใจไม่ ทว่าผมก็ได้แต่ภาวนาว่าดีแล้วที่พวกท่านทำเช่นนั้น --- การหนีความจริงที่โหดร้ายอาจเป็นวิธีรักษาจิตใจอันร้าวรานได้ดีที่สุด ณ เวลานี้ก่อนจะพร้อมเผชิญหน้ากับมันเมื่อถึงบ้าน ทว่าผมเองกลับหนีความจริงไม่ได้เช่นกันว่าตัวเองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของผืนดินและสายเลือดวิจิตรวาจินแล้วตั้งแต่เกิดมา และไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะคิดว่าพิธีที่ตาพะยอมทำกับแพรจะสำเร็จหรือไม่ ผมยังต้องอยู่กับมัน อยู่กับความสงสัยที่ว่าตัวเองจะหยุดวัฏจักรนี้อย่างไรต่อไป

    รถยนต์เคลื่อนไปตามทิศตะวันออก ในใจของผม, หรืออาจจะของแม่และแพร, ต่างก็ขอให้เด็กที่เกิดมาไม่ต้องรับทุกข์เช่นเดียวกับผมอีก





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in