เหตุผลที่ตาพะยอมยังไม่เผาศพหลานชายตัวเอง
(ตอนที่ 3)
(3)
เพราะแม่ไม่เล่าอะไรให้เราฟังแพรจึงเป็นฝ่ายเล่าเอง
แพรบอกว่าหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จแล้วกับพวกแม่และน้าลดา (น้าไจ๋ไม่อยู่บ้านเพราะวันนี้แกออกไปทำงานตั้งแต่หกโมงเย็น) ก็ออกไปดูละครที่หน้าบ้าน แม้จะรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยเพราะท่าทีไม่ญาติดีด้วยของทั้งน้องสินและยายดวง แต่ครั้นยายดวงเห็นแพรก็ชวนเธอมานั่งด้วยกัน “เพราะท้องอยู่ไม่ใช่รึ เดินเหินไปมาเข้าเดี๋ยวลูกในท้องจะมีปัญหา” และเหมือนเรื่องจากตรงนี้ เมื่อแพรจับสังเกตว่ายายดวงเรียกชื่อน้องสินว่า “พี่เถียร” และด้วยว่าแพรไม่รู้อะไรเลยจึงถามขึ้น ยายดวงแก้วจึงอธิบายว่าเขาเป็นสามีของนาง
“แพรแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยพี่ ตอนแรกก็ขำ ๆ ไปนึกว่าแกจะความจำเลอะเลือน…แต่เปล่าเลย พอหัวเราะเท่านั้นแหละแกก็...เอ่อ จูบกับน้องสิน”
ผมอึกอักอยู่ไม่น้อย พยายามจับพวงมาลัยประคองรถยนต์ให้ทะยานเข้าหาราตรียามให้ได้โดยที่ไม่แหกโค้งไปเสียก่อน อีกประมาณห้าสิบนาทีพวกเราคงจะถึงอำเภอเมืองแล้วแต่เพียงแค่สี่ทุ่มถนนชนบทสายนี้กลับเงียบเป็นเป่าสาก ป่าสองข้างทางก็มืดทึบประหนึ่งกำแพงสูงขนาบถนนยางมะตอยมีหลุมบ่อ ยิ่งขับไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนป่าทั้งสองทิศจะเบียดเข้าใกล้รถของเราทีละน้อยก็ไม่ปาน
แพรเล่าต่ออีกว่าหลังจากตรงนั้นยายดวงแก้วก็บอกให้เธอดื่มน้ำกระเจี๊ยบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่เพราะเธอคงจะรู้สึกไม่ดีแล้วเลยตัดสินใจจะเดินออกไป ผมพออนุมานต่อได้ว่าแม่คงจะมาเห็นเข้าแล้วเกิดโต้เถียงกับยายดวง --- ผมซึ่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่กล้าจะพุดอะไรไปมากกว่านี้ แม้จะมีความสงสัยก่อกวนเต็มหัวอกก็ตามที
“เมื่อเช้าแกก็ทักว่าภาคเป็นน้องเขยแก”
ผมพูด เหมือนจะพยายามหนีความจริงโดยบอกกับตัวเองว่าเรื่องความสัมพันธ์เชิงสวาทของคนในครอบครัวพรรค์นั้นไม่มีอยู่จริง แต่แม่ที่นั่งฟังพวกเราพูดคุยกันเงียบ ๆ ณ ที่นั่งข้างซ้ายโดยตลอดก็หันมามองผมด้วยสีหน้ากังวล
“หมายถึงลุงเสน่ห์เหรอ?”
ผมพยักหน้า “และก็นะแม่…ตอนที่ผมไปประคองแม่ก็เหมือนกับว่า…จะว่ายังไงดี, ไม่เชิงว่าเป็นเดจาวูหรอกแต่ก็เหมือนกับตัวเองเคยเจอเรื่องอะไรแบบนี้เหมือนกัน”
คราวนี้แม่นิ่งเงียบก่อนจะหลุบตาลง ท่านถอนหายใจแล้วถามผมเสียงเบาหวิวจนเสียงเครื่องปรับอากาศกลบเสียงท่านจนผมต้องทวนซ้ำ
ท่านย้ำอีกรอบ “…ไม่เป็นไรหรอก แกคงจะเครียดไปเองแหละ เห็นวันนี้ตามพี่ภพไปที่ขอนแก่นด้วยนี่”
ผมพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะมุ่งหน้าขับรถต่อไป…ยิ่งขับไปนานเท่าไหร่ ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าตนเคยอยู่อาศัยหรือผ่านบริเวณนี้มาก่อน เคยเห็นท้องฟ้าเช่นนี้มาก่อน เคยประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้มาก่อนก็กลับมาอีกครั้ง แต่ก็คิดไปว่าคงจะเพราะเดินทางผ่านจุดเดิม ๆ ตลอดเวลาสมองจึงจำไปเองแล้วเอามาปรุงแต่งใหม่ก็เป็นได้
ผมเข้าเช็คอินโรงแรมบัตเจ็ตที่อยู่ในตัวเมืองแห่งหนึ่ง น่าโชคดีที่เดือนนี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาลจึงมีห้องสำหรับครอบครัวรองรับ โรงแรมไม่มีอะไรให้พิจารณามากเพราะห้องพักก็สมกับราคาเกือบเจ็ดร้อยบาทต่อคืน ดูใหม่และสะอาดสะอ้าน มีเตียงควีนไซส์หนึ่งหลังพร้อมเตียงเตียงเดี่ยวเสริมให้อีกหลังหนึ่ง ทีแรกผมตั้งใจว่าจะนอนที่เตียงเดี่ยวแต่แม่ก็สั่งให้ผมไปนอนกับภรรยา “เมียแกต้องการแกที่สุดในเวลานี้นะภาค” ท่านว่า นัยน์ตาแยแววสลดคล้ายสุดจะกลั้นน้ำตาแล้วจึงไม่ขัดใจท่านอีก
หลังจากเราอาบน้ำแล้วปิดไฟนอน แพรก็หลับไปอย่างง่ายดายดังเช่นทุกครั้ง แต่ผมยังคงนอนมองเพดานรอให้ตัวเองเคลิ้มจนหลับไป...คิดเผื่อไปว่าพรุ่งนี้อาจจะพาแม่และแพรไปเที่ยวสถานที่สำคัญในจังหวัดก่อนจะขับรถกลับ ถือเสียว่าเป็นทริปวันหยุดสั้น ๆ เพื่อดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กับแพรอีกสักหน อีกทั้ง, เพื่อเติมเต็มความถวิลหาบ้านเกิดของแม่อันนานแสนนาน
และในช่วงที่กึ่ง ๆ จะหลับตาอยู่แล้ว ผมก็รู้สึกได้ว่าแม่ลุกขึ้นจากเตียงเข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำ ผมแอบปรือตามองดูแสงสลัวที่ลอดผ่านประตูกระจกสีชา เสียงของท่านที่พยายามข่มเสียงสะอื้นไห้สุดใจแต่ก็ไม่อาจกลั้นได้นั้นกระทบใจลูกชายให้รู้สึกผิด ผมได้แต่ภาวนาว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่ภรรยาไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น
ตอนที่ผมหลับไป ผมยังจำความฝันได้เป็นอย่างดี --- ผมอยู่ในโลกอันขาวโพลน ไม่มีมุมหรือมิติใด ๆ โดยรอบ มีเพียงเสียงหึ่งหั่งอันเงียบเหงาได้ยินอยู่เลา ๆ เข้าใจว่าตอนนั้นคงไม่ได้นอนหลับสนิทจนเสียงรอบตัวปะปนเข้ามาความฝัน แต่ครั้นหันไปดูทางที่น่าจะเป็นข้างหน้าก็พบว่าตัวเองเผชิญหน้ากับชายในชุดสีฟ้าสวมกางเกงขายาว…ใบหน้านั้นคลับคล้ายคลับคลาในความทรงจำของผม เขามีเส้นผมสีดำตรง ดวงตาเรียวคม จมูกยาวเป็นสัน ร่างกายเพรียวสูง
และเมื่อดวงตาของเราสบกัน ผมก็ถึงกับใจตกไปอยู่ตาตุ่ม…ไม่เลย, ชายคนนั้นไม่ได้มีหน้าตาบิดเบี้ยวผิดแปลกแต่อย่างใด แต่อะไรบางอย่างกำลังบอกผมว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน
เขาหน้าตาเหมือนผมทุกประการ ไม่มีส่วนไหนที่แตกต่างไปเลยแม้กระทั่งข้อต่อนิ้ว
สมัยเด็ก ๆ เองก็มีคนบอกว่าผมหน้าตาไม่เหมือนทั้งพ่อและแม่ แม้พ่อผมจะมีเชื้อสายจีนแต่ผมกลับไม่มีอะไรที่เหมือนพวกท่านเลยสักส่วนเดียว ตา จมูก ทรงคาง ส่วนสูง...เหล่านั้นไม่ได้ส่งทอดมายังผมสักอย่างเดียว ความผิดแผกนี้ทำให้ผมถึงกับคิดไปว่าตัวเองเป็นลูกเลี้ยงของพวกท่านหรือไม่ อย่างไรก็ดีผมก็ไม่เคยเข้ารับการตรวจสอบดีเอ็นเอเพื่อหาความสัมพันธ์เป็นความเป็นพ่อแม่ลูกเลย ทว่าแต่เด็กจนโตพ่อแม่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งหรือมองผมด้วยสายตาที่เหมือนผมเป็นคนอื่นไป จึงถือเอาว่าพวกท่านคือพ่อแม่ผมจริง ๆ โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ อีก
และแม้จะเข้าใจเรื่องพันธุกรรมที่ว่าพ่อและแม่อาจจะถ่ายทอดยีนด้อยมายังลูก แต่ผมไม่ยักกะรู้ว่าความแตกต่างมันจะสูงลิบลิ่วเกินค่าปกติขนาดนี้
ผมพิจารณาอยู่สักพักก่อนจะมองไปที่เท้าของคนตรงหน้า เขาสวมรองเท้าหนังอยู่
นิ้วชี้เท้า…!
ผมฉุกคิดขึ้นมาในทันใด --- ผมมีความผิดปกติของนิ้วเท้าอย่างหนึ่งคือนิ้วโป้งเท้าสั้นกว่านิ้วชี้ ซึ่งเป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่พบได้ไม่ง่ายนัก
และราวกับคนที่หน้าตาเหมือนผมราวกับถอดรูปผู้นั้นอ่านใจผมออก เขาพยักหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะถอดรองเท้าข้างหนึ่ง --- นิ้วชี้เท้าเขายาวกว่านิ้วโป้งจริง ๆ
ผมละล่ำละลัก “ค - คุณเป็นใคร?”
ทว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ เขาพูดเพียงว่า
“หนู…ช่วยกลับไปที่บ้านหน่อยได้มั้ย?”
“…บ้าน บ้านไหน?”
“บ้านของผม”
ผมเข้าใจว่าคงเป็นบ้านตาพะยอม “แล้วคุณเกี่ยวข้องอะไรกับแม่ผมเหรอครับ?”
เขาพูดพลางยิ้มให้ จะว่าไปก็เหมือนกับการสั่งเสีย
“ช่วยกลับไปที่บ้านนั่น แล้วหยุดมันให้ผมที…”
“หยุดอะไร?”
ทว่าเวลามีจำกัดเหลือเกินในความฝัน เขาเดินตรงเข้ามาเรื่อย ๆ ยิ่งเข้าใกล้ผมก็เริ่มใจสั่นรัวจนแทบคุมสติไม่อยู่ ใบหน้าที่แต่เดิมเริ่มเลือนรางก็ปรากฏชัดมากขึ้น…แม้ว่ารูปหน้าเขาจะไม่ต่างอะไรจากผมเลยแต่ก็พอสังเกตได้ว่าใบหน้านั้นอ่อนเยาว์นัก เหมือนผมตอนที่อายุสักยี่สิบต้น ๆ เห็นจะได้ และที่ชวนให้สันหลังวาบกว่านั้นคือแม้แต่ขี้แมลงวันบนกระดูกไหปลาร้าขวาใต้คอลงมาก็อยู่ในตำแหน่งเดียวกับผม
สองมือเย็นยะเยียบจากร่างอวตารตรงหน้าจับแก้มอย่างแผ่วเบา ก่อนจะโน้มให้หน้าผมเข้าไปแปะกับเขา ทันใดทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาววาบ ผมลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความตระหนกก่อนจะพบว่าตนกำลังจับใบหน้าของแพรที่ยื่นมามองดูใกล้ ๆ
ตอนนี้หกโมงเช้าแล้ว ผมได้แต่หายใจหอบฮั่ก และเมื่อเริ่มนึกย้อนไปก็เพิ่งจะเข้าใจว่าตัวเองไม่ได้ฝันไปโดยปล่อยทิ้งปล่อยขว้าง --- มีความรู้สึกและความทรงจำบางอย่างที่เพิ่มเติมมาราวกับชายในฝันได้ส่งต่อมันมายังหัวของผม
แพรที่ยังเห็นว่ามือของสามีจับหน้าเธอไม่ปล่อยก็ทักขึ้น “ภาค เป็นอะไร?”
มือของผมชื้นเหงื่อ เนื้อตัวเหนอะหนะไปหมด ยังคงสับสนอะไรอยู่หลายอย่างแต่ก็ทำได้เพียงแค่บอกเธอว่าตัวเองฝันร้ายเท่านั้น
เช้านี้เราออกไปตลาดเช้าในตัวเมืองเพื่อหาอะไรกิน การเดินทางครั้งนี้ทำให้แม่ได้พูดถึงบรรยากาศเก่า ๆ อันแสนน่าคิดถึง --- เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้ว่าในอดีตแม่เคยเป็นดาวเด่นของโรงเรียนสมัยมัธยมต้น และเคยเข้าแข่งขันกล่าวสุนทรพจน์ตอนที่เรียนในมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี; ในสมัยที่ยังเป็นวิทยาลัยครู แม้บางทีบทสนทนามีเสียงขมขื่นปนมาบ้างว่าตัวเองไม่เคยมีอิสระในการตัดสินใจใด ๆ เลยเพราะไม่ว่าอย่างไร พ่อหรือตาพะยอมจะบอกให้แกมีทางเลือกแค่ต้องอยู่แต่ในตัวจังหวัดเท่านั้น และกำชับว่าไม่ว่าอย่างไร “ก็ควรจะรีบแต่งงาน หรือถ้ายังหาผู้ชายไม่ได้เดี๋ยวแกจะจัดดูตัวเจ้าบ่าวให้”
“ที่บ้านนั้นผู้หญิงมีแค่หน้าที่เดียวเท่านั้นแหละภาค” แม่ว่าหลังจากซดน้ำซุปข้าวมันไก่ แดดสายเริ่มระอุแต่ผู้คนที่เดินผ่านไปบนท้องถนนไม่ได้ยี่หระแต่อย่างไร รถราเริ่มสัญจรขวักไขว่บนท้องถนนไม่ต่างจากบนฟุตบาธที่มีคนเดินผ่านเราซึ่งนั่งอยู่ใต้กันสาดของร้านข้าวมันไก่ “ก็ถ้าไม่เป็นแบบไอ้ดาก็เหมือนยายดวงกับไอ้ไจ๋มัน”
ครั้นท่านเห็นเราสองสามีภรรยาเอียงคอพร้อมกันก็หัวเราะ “สองคนนั้นทำงานบ้านงานเรือนไม่เป็นเลยน่ะซี! ยายดวงน่ะแม่ไม่รู้หรอกแต่เห็นเขาว่าเป็นผู้ดีเก่า เคยมีแต่บ่าวไพร่คอยรับใช้ไม่ต้องกวาดถูเรือนเอง หมากสักคำยังไม่ต้องห่อเองด้วยซ้ำไป พวกแม่ไม่ทันช่วงที่ลุงเถียรเสียหรอกแต่เห็นว่าวุ่นวายน่าดู --- ส่วนไอ้ไจ๋มันตอนเด็ก ๆ ตัวติดกับพี่อ้นแจ พลอยได้นิสัยโผงผางมาด้วย บางทีช่วงปิดเทอมพี่อ้นก็ชวนไอ้ไจ๋ไปวิท ’ ลัยที่ร้อยเอ็ดอยู่บ่อย ๆ แกเรียนแผนกช่างไม้อยู่ที่นั่น”
ครั้นเล่าจบท่านก็จิบน้ำทีหนึ่งพลางบ่น
“ก็ถ้านี่ลุงอ้นแกไม่ติดคุกก่อนจบมหา ’ ลัย ป่านนี้เขาอาจจะเป็นสถาปนิกแบบแก หรือไม่ก็ช่างไม้ฝีมือดีก็ได้”
ผมยืดตัวขึ้น “ขนาดนั้นเลยเหรอแม่”
“ใช่ซี แต่ก่อนพี่อ้นก็มักส่งไม้แกะสลักเป็นงานอดิเรก ทำเป็นลายไทยลายกนก หรือเป็นไก่เป็นเสือตามปีนักษัตร สวยทีเดียว”
“อ้อ! ไอ้ที่อยู่ในตู้โชว์ที่บ้าน --- ”
แม่พยักหน้า “ถูกต้อง พี่อ้นแกกลัวตาพะยอมเอาไปเผาทิ้งก็เลยยกให้แม่หมดเลยตอนที่ช่วยพาแม่หนีไปกับพ่อ”
ผมพยักหน้าน้อย ๆ คิดไปว่าหากตัดปัจจัยเรื่องนิสัยแปลก ๆ ของบางคนในตระกูลนั้นแล้ว ทางพี่น้องของแม่และลูกพี่ลูกน้องคือลุงอ้น หรืออาจจะแม้กระทั่งลุงชัยที่จากไปก่อนหน้านั้นก็คงเป็นเครือญาติที่สนิทแน่นแฟ้นกับแม่ทีเดียว
“แต่ก็นะ ไม่ใช่แค่เฉพาะผู้หญิงหรอก...ผู้ชายที่บ้านนั้นไม่ว่ายังไงก็มีแค่ทางเลือกเดียวคือต้องอยู่บ้านสวนนั่น” แม่พูดต่อ น้ำเสียงเจือความคับแค้นกระไรชอบกล “ทั้งสวน ทั้งบ้านต่างก็เป็นของรุ่นทวด ๆ ตั้งวอยู่มาร้อยกว่าปีแล้ว แต่เดิมมีสมบัติเยอะแยะทีเดียวซึ่งก็อยู่ในห้องยายดวงกับตาพะยอมนั่นละ เขาถือกันว่าตลอดชีวิตนี้จะไม่ให้คนนอกมาครอบครองที่ดินแทนก็เลย...”
แพรที่เหมือนจะยังไม่อิ่มทำท่าไม่แน่ใจว่าจะสั่งข้าวเพิ่มดีหรือไม่ ผมจึงบอกให้เธอสั่งเพิ่มอีกสักจาน
“ไม่เห็นเป็นไรเลย” ผมว่า “ภาคซีต้องขอโทษ เมื่อคืนมันฉุกละหุกไปหน่อยจนแพรไม่ทันได้กินข้าวกินอะไร”
“ก็ไม่ได้กินอะไรเลยจริง ๆ” แพรว่า ก่อนจะหันไปมองแม่ยาย “ข้าวบ้านนั้นรสชาติมันแปลก ๆ ไงชอบกล…ลิ้นหนูสัมผัสไม่ดีรึเปล่าไม่รู้ ตอนเช้าก็ฝืนกินได้อยู่หรอกแต่ตอนเย็นนี่หนูไม่ไหวจริง ๆ ค่ะแม่”
“เอาน่ะ คนท้องลิ้นเพี้ยนกันเป็นปกติ แม่เองตอนท้องผัวแกก็เคยเป็น!”
แล้วหญิงสองนางก็หัวเราะกันขบขัน ผมได้แต่มองอย่างชื่นใจ หวังว่าครอบครัวผมจะได้เห็นแม่ในมุมนี้อีกเรื่อย ๆ
นกกาตัวหนึ่งบินผ่านหน้าร้านข้าวมันไก่ เรียกให้ฝูงนกพิราบสีขนสีเทาแซมเขียวที่จิกกินเศษอาหารตามคูน้ำและทางเท้าคอนกรีตแตกฮือบินกระจายไปทุกทิศ
ด้วยว่ามีเหตุที่ทำให้ผิดแผนโดยสุดวิสัย ทำให้พวกเรากลับไปตั้งต้นกันใหม่ที่โรงแรมแล้วคิดกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดีก่อนเดินทางกลับ จนในที่สุดเราจึงตัดสินใจไปวัดชื่อดังที่อำเภอหนองหาน หลังจากเช็คเอาต์ห้องก่อนเที่ยงได้ไม่นานพวกเราก็ทะยานสู่ถนนสายซึ่งมุ่งไปยังที่หมายทันที ใช้เวลาเดินทางน่าจะไม่นานนักแต่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่นี่มีรถรามากมายขนาดนี้
ขณะที่กำลังขับรถอยู่นั่นเองโทรศัพท์มือถือของแม่ก็สั่นครืด ๆ ในกระเป๋า ท่านหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะกดรับสาย “สวัสดีค่ะ”
ผมไม่ใคร่ได้ยินเสียงจากปลายสายนัก แต่ฉับพลันแม่เปลี่ยนมามีสีหน้าหวั่นวิตก
“ว่าไงนะ?”
แล้วแกก็หันมามองเราสองคนก่อนจะเปิดลำโพงโทรศัพท์ให้พวกเราได้ฟังด้วยกัน ปลายสายเป็นเสียงน้าไจ๋
‘ก็อย่างที่ฉันว่า ไอ้วินมันโดนตำรวจจับแล้ว!’
“แล้วพ่อทำอะไรรึยัง?”
‘แกพยายามโทร. หาพี่ภพใหญ่เลย ไปคาดคั้นให้ไอ้ดาโทร. ไปหาผัวมันด้วย!’
ผมอ้ำอึ้งไปก่อนจะหันไปคุยกับแม่ ไม่สนใจว่าแพรจะเข้าใจบทสนทนานั้นหรือไม่
“แม่ครับ…เอาไงดี?”
“…ไม่เป็นไรหรอก” แม่ส่ายหน้ากับผมก่อนจะหันไปตอบคนในสาย “ถ้าไอ้ภพรู้มันคงช่วยเขาไว้แน่”
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่ภพจะช่วยคนร้ายทำไม?”
น้าไจ๋ได้ยินเสียงผมก็พูดขึ้น
‘นี่พี่หมอนยังไม่เล่าอะไรให้ลูกฟังอีกเหรอ?’ เสียงปลายสายแตกพร่าตามสัญญาณซึ่งขาด ๆ หาย ๆ ‘ว่าทำไมพ่อเราถึงยังตั้งศพไอ้อ้นไม่ยอมทำพิธี!’
แม่พูดเสียงดัง “ไม่ได้ ถ้าเกิด --- ขอล่ะ ขอแค่ไอ้ภาคกับแพรไม่รู้เรื่องนี้ก็พอ”
แพรเองที่ไม่ได้รู้สถานการณ์อะไรเลยก็ร้องขอแม่ยาย
“คุณแม่ ขอเถอะค่ะ ถ้ามันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเราอาจจะช่วยอะไรพวกน้า ๆ ก็ได้นะคะ”
ผมนึกไปถึงความฝันเมื่อคืนนี้…แม้จำไม่ได้ทั้งหมดแต่บทสนทนาระหว่างพวกเรานั้นยังชัดเจนในหู และในช่วงสุดท้ายก่อนที่จะตื่นมาผมก็เห็นใบหน้าที่เหมือนกับถอดแบบจากของผมยิ้มบาง ๆ…เป็นยิ้มเดียวที่ทำให้ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่ผมอย่างแน่นอน แต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาต้องการจะให้ผม ‘หยุด’ อะไร และ ‘เขา’ คือใครกันแน่
ผมหลุบตาลงเล็กน้อยก่อนจะตอบน้าไจ๋ไปว่า “น้าไจ๋รู้มั้ยครับว่าพี่ภพไปไหน?”
“คงเลยไปถึงขอนแก่นแน่ ๆ” นางว่า “อย่างน้อยก็ถ่วงเวลาพวกลุง ๆ กับป้าดวงและตาเถียรด้วย”
ผมชะงักไปเล็กน้อยที่น้าไจ๋พูดชื่อคนที่เสียไปแล้ว และตอนนั้นเองผมจึงตัดสินใจขับเข้าเลนขวาก่อนจะหาจุดกลับรถ แม่ถามผมด้วยความกังวลว่า “ภาค แกจะไปไหน?”
“มีคนบอกให้ผมต้องกลับไป” ผมยิ้มน้อย ๆ “ขอโทษนะครับแม่ แต่ผมจะลองหาทางช่วยน้า ๆ ดู”
แม่จ้องใบหน้าผมอยู่นานทีเดียว จนเมื่อเรากลับรถสำเร็จท่านก็หลุดปากพูดชื่อของคนตายที่ผมเคยได้ยินมาก่อน
“…ลุงเหน่รึ?”
ทันทีที่เราถึงบ้านสวนของตาพะยอม ก็พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนโวยวายหน้าบ้าน ชี้นิ้วด่ากราดใส่ตาพะยอมและยายดวงแก้ว เธอเป็นหญิงสาวผมเป็นลอนยาวย้อมสีน้ำตาลอ่อน ๆ แต่งหน้าทาปากฉูดฉาด ท่าทางอายุสักสี่สิบต้น ๆ ใส่เสื้อโค้ตผู้หญิงทับเสื้อคอกลมและกระโปรงสั้นแบบแฟชั่นยุคเก้าสิบ หนีบกระเป๋าสตางค์หนังสีดำแบรนด์เนมไว้กับตัว หากแปรียบเทียบกับคนในบ้านสวนแล้วเธอก็เหมือนหลุดมาจากอนาคตอย่างไรอย่างนั้น
“ก็พี่อ้นเขาเป็นแฟนฉัน ทำไมฉันจะมางานศพไม่ได้?!” เจ้าหล่อนอาละวาดใหญ่โต “หวงแหนอะไรกันนักกับญาติตัวเองเนี่ย ตั้งศพไปก็ไม่ใช่ว่าจะกลับมาได้เสียหน่อย!”
“ปากปลาร้าแบบมึงนี่นี่นะแฟนไอ้อ้น เป็นอีกะหรี่ที่ไหนมาทวงสิทธิ์ล่ะสิไม่ว่า?!”
น้องสินที่นั่งดื่มเหล้าหงส์ทองอยู่ ณ ใต้ถุนบ้านเดินพรวดมาสมทบอีกคน ทันใดก็ตบใบหน้าหล่อนไปฉาดใหญ่ชนิดไม่คิดจะปรานีปราศรัยจนอีกฝ่ายเซไปมา ทว่านั่นก็เหมือนกับใส่ฟืนให้ความโกรธของหญิงคนนั้นลุกโชนมากขึ้น นางทุบตีอีกฝ่ายขณะที่ถูกทั้งคนแก่หญิงชายและคนหนุ่มตะลุมบอนพยายามผลักนางออกไปให้ได้ น้องสินตวาดไล่เธอ
“มึงมีหลักฐานมั้ยล่ะว่าเป็นเมียมันจริง ไหนลูกมึงล่ะ!”
“ใครมันจะไปยกลูกให้กับผีพวกมึงเล่าไอ้พวกครอบครัววิปริตเอ๊ย!”
หญิงสาวแว้ดเสียงแหลม และด้วยคำพูดนั้นกลับทำให้ทุกคนชะงักตัวแข็งทื่อ แม่เองถึงกับตัวสั่นยกมือป้องปากก่อนจะหันมาหาผมและภรรยา
“ภาค แพร กลับ กลับเดี๋ยวนี้!”
“แม่คะ แม่ ใจเย็น ๆ!” แพรที่ถูกหญิงวัยชราดันอย่างลนลานถามอย่างสับสน “อธิบายหนูหน่อยได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น?”
หญิงที่ไม่ได้รับเชิญเมื่อครู่เปลี่ยนมามองเราก่อนจะเอ่ยถาม “ใช่คุณสมรรึเปล่าคะ?”
แม่ผมพยักหน้าอึ้ง ๆ พร้อมกันนั้นน้าดา น้าไจ๋ และน้องไหมก็วิ่งลงกระไดลงมา แต่มีเพียงน้าดาเท่านั้นที่พุ่งพรวดมาหาเรา นางลากพวกเราสามคนออกห่างจากฝูงชนไปที่หลังรถของเรา เสียกระซิบของน้าผมแฝงไปด้วยความกังวลและกดดันจนยากจะกลั้นได้ แกมองแม่ผมครู่หนึ่ง
“พี่ไม่เข้าใจเหรอว่าเมื่อกี้ตาพะยอมแกบังคับให้หนูพูด!”
แม่ก้มหน้างุด พยักหน้าเบา ๆ “แต่ภาคมันยืนยันว่าจะหยุดเรื่องพิธีให้ได้ --- ”
“พูดเป็นเล่น ไม่มีใครหยุดเรื่องนี้ได้หรอก” แล้วน้าดาก็เริ่มร้องไห้ “ขอร้องเถอะพี่หมอน…แค่มันเอาไอ้สินไปหนูก็จะตายอยู่แล้ว…”
แม่ข่มกลั้นความรู้สึกไว้ ณ ส่วนลึกของจิตใจก่อนจะหันมามองพวกเรา
“ภาค แกพาไอ้แพรกลับไปกรุงเทพฯ เถอะ แม่จะอยู่ที่นี่เอง”
ผมคัดค้าน “ไม่เอาน่ะ แม่ตั้งใจจะทำอะไร?”
“น - นั่นซีคะ” ภรรยาผมเสริม “พิธี…ครอบครัว…น้องสิน มันทำไมกันเหรอคะคุณแม่?”
ท่านเดินมาจับมือแพร แต่เพราะกลั้นความกลัวไว้ไม่อยู่มืออันเหี่ยวย่นนั้นก็กำมืออีกฝ่ายแน่นและสั่นเทาจนไม่อาจควบคุมได้ “เชื่อแม่เถอะนะ พวกตาแกเขาเล็งลูกของแกนะแพร…แม่ขอโทษนะ เอาจริง ๆ แม่ก็โกหกไม่เก่งเหมือนกันเพราะอย่างนี้ถึงโดนจับได้เสียแล้ว”
แล้วก็ยื่นคำขาดเสียงแข็ง
“แต่ถ้าแกอยากให้นั่นเป็นลูกของแกก็อย่าได้กลับมาที่นี่อีกเด็ดขาด!”
ว่าแล้วท่านก็ตบไหล่น้าดาก่อนจะเดินหน้าไปรวมกับคนในครอบครัวอีกครั้ง แต่ก็ยังหันมาทิ้งท้ายอีกว่า
“…ลุงเหน่ หนูสัญญาว่าหนูจะหยุดให้ได้เลย”
สายตาที่ท่านมองนั้นเลยขึ้นไปบนดวงจันทร์ที่ขึ้นเป็นเสี้ยวเล็ก ๆ บนฟากฟ้าสีน้ำเงินเข้ม --- ทว่าคำพูดนั้นก็เหมือนไปกระตุ้นให้อะไรบางอย่างแล่นเข้าสู่สมอง มีความทรงจำแปลก ๆ เต็มไปหมด ทั้งเสียงอาละวาดด่าทอและเสียงเพลงกล่อมเด็ก เสียงสวดมนตร์คาถา ใบหน้าอันโกรธเกรี้ยว เศร้าสร้อย มือที่เปื้อนเลือด แสงเทียนจากเปลวไฟสีแดง หัวกะโหลมนุษย์ที่สลักอักขระที่ผมอ่านไม่ออก และภาพสะท้อนของใครบางคนในกระจก
ใครบางคนที่เหมือนกับคนในฝันของผมเมื่อคืน
และก่อนที่ฉากสุดท้ายจะหยุดลง เสียงหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหู --- เสียงของแม่
“…พ่อ หนูขอล่ะ อย่าเอาลูกหนูไปเลย!”
แล้วจู่ ๆ หน้าอกก็อึดอัด อาการคล้ายหายใจไม่ออก เหมือนมีของเหลวเย็นยะเยือกไหลเข้าโพรงจมูกและปากทั้งที่สิ่งที่ผมโกยเข้าปากและจมูกเป็นเพียงมวลอากาศเย็น ๆ เท่านั้น --- ความทรงจำในสมัยยังเป็นทารกที่ไม่ควรจะจดจำได้กลับผุดปรายขึ้นมาในเวลานี้เกินกว่าที่หัวผมจะรับไหว
“ภาค ไหวมั้ย?”
ผมพยักหน้า “ไม่เป็นไร”
แต่เมื่อลุกขึ้นยืน ขาขวาพลันพลิกเข้าก่อนที่ทั้งร่างจะร่วงดิ่งแน่วบนพื้นดิน…แล้วตรงหน้าก็กลายเป็นความมืดมิด ทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้าชาวาบไร้ความรู้สึกเหมือนจะเป็นอัมพาต เสียงที่ผมได้ยินอยู่โดยรอบนั้นพอบอกได้เพียงว่าอีกด้านหนึ่งของโลกนั้นคือความโกลาหลครั้งที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต
“ไอ้ภาคมันจำได้แล้วใช่มั้ย?”
“พี่เถียร ไปเอาไอ้วินมา อย่าให้ไอ้ภพมันแย่งไปได้!”
“ไจ๋ อย่า!”
“แม่!”
“แพร! ไม่! ปล่อยนะพ่อ! หนูบอกให้ปล่อยไง!”
“ไหม...แกขี่มอ ’ ไซค์ได้ใช่มั้ย?เอ้านี่สามร้อย ขี่ไปบ้านเพื่อนก่อนไป”
“…ฮ้ะ?อะไรเนี่ยแม่ --- ”
“…แค่นี้ยังทำลายชีวิตกูไม่พออีกรึไงฮึไอ้เวรตะไล!”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in