เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องน่ากลัวในความนึกคิดของข้าพเจ้าชนุ่น
เหตุผลที่ตาพะยอมยังไม่เผาศพหลานชายตัวเอง (2)
  •   

     

     

    เหตุผลที่ตาพะยอมยังไม่เผาศพหลานชายตัวเอง

    (ตอนที่ 2)

     

     

    (2)

    ไม่มีใครปลุกพวกเราจนกระทั่งเก้าโมงเช้า ผมตื่นขึ้นมาเองก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ ก็เห็นว่าบนเตียงมีแม่ทอดร่างนอนกรนอยู่ ท่าทางเมื่อคืนท่านคงจะเต็มที่น่าดู เห็นท่านหลับสบายใจเฉิบเช่นนี้ก็นึกไปว่าอาทิตย์นี้เหมือนพวกเรามางานรวมญาติเสียมากกว่า เกือบทำเอาลืมไปว่ามีคนในตระกูลตายนอนในโลง ณ บ้านอีกหลังเลยทีเดียว

    ผมเดินออกมาเตรียมจะไปอาบน้ำ พร้อมกันไหมก็เดินออกมาจากห้องพอดี เธอจ้องอยู่นานก่อนจะหัวเราะคิกคัก “ผมยุ่งหมดแล้ว” แล้วก็เอื้อมมือหวังจะขยี้ศีรษะผม แต่ทันใดก็มีมือหนึ่งมากันระหว่างพวกเราไว้

    สิระศักดิ์, หรือน้าสินมองผมตาขวาง “ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงแหบพร่าจนเกือบไม่เหมือนเสียงคน

    “ห้องน้ำอยู่ทางไหนครับ?”

    ผมพยายามเลี่ยงการปะทะ สายตาเรียวคมคู่นั้นเหมือนมองผ่านทะลุและคล้ายจะกรีดลึกเข้าไปในจิตใจ

    “เดินเลี้ยวขวาไปทางครัว ผ่านห้องตาพะยอมแล้วก็สุดทางเดิน”

    ผมก้มขอบคุณแล้วเดินผ่านเขาไป

    “ที่พวกแกมาที่นี่เพราะหวังจะเอามรดกเหรอ?”

    ไหมเรียกพี่ชาย “พี่สิน!”

    “ถ้าคิดว่ามาตัวเปล่าแล้วจะได้ส่วนแบ่งไปก็อย่ามาหวังอะไรกับที่นี่ เข้าใจมั้ย?”

    ผมทำเมินเฉยเพราะไม่เข้าใจความหมาย หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกไปที่โถงหน้าบ้าน พบว่าแพรนั่งบนม้านั่งไม้สักกับยายดวงแก้ว ท่าทางแกดูจะพูดคุยสนุกถูกคอทีเดียว

    นางดวงแก้วอายุเจ็ดสิบหกปีเท่า ๆ กับตาพะยอม, หากผมคำนวณไม่ผิด รูปร่างแกซูบผอม ใบหน้าตอบ ผิวหนังเหี่ยวย่นมีฝ้ากระกระจายตามตัว ดวงตาจับจ้องจอแก้วที่ฉายรายการโทรทัศน์อย่างเลื่อนลอยไร้ชีวิต ดูเหมือนจะเหลือทน เบื่อหน่าย และดูแคลนโลกใบนี้อย่างไรอย่างนั้น

    ผมไม่รู้ว่าควรเข้าใกล้หรือถอยห่างจากแกดีหรือไม่ หากเป็นตาพะยอมที่เหมือนจะมีเรื่องบาดหมางกับแม่มาก่อนอย่างนั้นผมคงหลีกหนีตาแกได้อย่างไม่ลังเล แต่กับญาติที่ไม่ค่อยรู้พื้นหลังก็ชวนสองจิตสองใจไม่น้อยทีเดียว แม้จะรู้ว่าแกออกจะปากจัดไปสักหน่อยจากที่ผมเห็นตอนเหยียบเรือนของตระกูลนี้ครั้งแรก

    ทว่าขณะที่ผมกำลังครุ่นคิด ยายดวงแก้วแกตัดสินใจเร็วกว่านั้น นางหันขวับมาจ้องตาเขม็งทันที ดวงตาทั้งสองฝ้าฝางด้วยต้อกระจกไม่มีภาพสะท้อนของอะไรออกมาจากตาดำคู่นั้นเลย…ผมรู้สึกหนาวสะท้านราวกับว่าตัวเองถูกดึงเข้าไปในอยู่ในห้องกระจกแต่กลับมองไม่เห็นเงาตัวเอง

    ทีแรกผมนึกว่าแกจะตวาดใส่ผมแบบที่ทำกับแม่ แต่หญิงชรากลับพึมพำออกมาเบา ๆ

    “ตาเถียร…ตาเถียรรึ?” ยายดวงแก้วว่า ค้างไปครู่ใหญ่แล้วก็เอียงคอ “อ้าง…ตาเหน่นี่เอง”

    ผมยืนนิ่งตัวค้างแข็ง ตอนนี้แดดสายเริ่มสองจ้าผ่านม่านหน้าต่างในโถงห้อง ทุกอย่างสว่างวาบไปหมดยามเมื่อต้องแสง ทั้งจานแก้วหลากสีและเครื่องตกแต่งบ้านจำพวกจาน ชาม ถ้วย ไห ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบและเซรามิกรูปสัตว์หิมพานต์เงาวับ ทั้งที่อยู่บนหลังลิ้นชักและตู้โชว์ของสะสมมีเพียงแค่เงาของผมเท่านั้นที่สะท้อนบนพื้นผิวเหล่านั้น

    ผมถามอีกฝ่ายเบา ๆ “เอ่อ…”

    ฉับพลันนางก็มองผมหน้านิ่ว “ไม่ใช่…” ก่อนจะหันไปดูโทรทัศน์ดังเดิมพร้อมปากก็ขมุบขมิบ แต่เสียงโทรทัศน์ดังกว่ามากผมจึงไม่ได้ยินอะไรเลย เห็นว่าแกกดปุ่มเร่งเสียงจนดังเกินไป ตาพะยอมเลยพรวดพราดเดินเข้ามาจากหน้าบ้านแล้วคว้ารีโมทจากมือพี่สะใภ้

    “พี่ดวง เปิดทีวีเสียงดังหนวกหู!” ก่อนจะกดลดเสียงเร่า ๆ ครั้นสังเกตเห็นผม, ซึ่งก็น่าจะเห็นตั้งแต่ทีแรกแล้วแหละ แกก็หันมาคุยด้วย “เมื่อคืนข้าเห็นเอ็งกับไอ้ภพขึ้นบ้านตอนตีสองกว่า ๆ ไปทำอะไรกันมา?”

    “คือผมไปที่บ้านเล็กตรงโน้น…ไปไหว้ลุงอ้นครับ”

    ท่าทางเหมือนตาแกข่มอะไรไว้ในใจสักอย่าง

    “…แกจุดธูปกี่ดอก?”

    “ดอกเดียวครับ” ผมตอบ “พี่ภพแกเอามาให้”

    “ก็แล้วไป” แกเกาหัวแกรก ๆ “กลัวจะนึกอุตริจุดเป็นกำ ๆ แบบงานศพพวกจีนเจ็กอะไรนั่น”

    ผมไม่รู้ว่าแกกำลังโจมตีพ่อผมซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีนหรือไม่เลยไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้แล้วบอกเพียงว่าจะไปเฝ้าศพลุงอ้นที่งาน

    “ว่าแต่พวกน้า ๆ เขาไม่เตรียมข้าวรับแขกอะไรกันเหรอครับตา?”

    ที่จริงมันก็ผิดวิสัยมาตั้งแต่ที่เห็นว่าไม่มีแขกหรือชาวบ้านรอบ ๆ มาร่วมงานเลยแม้แต่คนเดียว ถึงจะตั้งใจให้เป็นงานเล็ก ๆ เฉพาะคนในตระกูลก็จริงแต่หากลุงอนันต์เป็นคนที่มีอำนาจและพวกพ้องมากมายก็ควรจะมีคนที่สนิทชิดเชื้อกับผู้ตายมาแวะเวียนบ้าง

    และผมก็ไม่รู้เลยว่าการถามออกไปแบบนั้นเหมือนกับผมเหยียบกับระเบิดเข้าเต็มฝ่าเท้า

    “ไม่ต้องไปเสือกเรื่องในครัวนักหรอก! เรื่องนั้นมันงานไอ้ดาไอ้ไหมมัน พวกเอ็งแค่มาไหว้เฉย ๆ ก็รีบ ๆ ทำรีบ ๆ ไปได้แล้ว อยู่ก็ต้องมาเลี้ยงข้าวให้อีก!”

    ก่อนที่ลุงพะยอมจะเดินลงจากบ้านไป แกก็หันมากำชับผมว่า

    “และก็, มึงอย่าริอาจเปิดโลงศพเชียวนะ”


  • ผมกลับไปที่บ้านเล็กซึ่งตั้งศพลุงอนันต์ เห็นว่าแม่ น้ำลดา และน้าไจ๋กำลังพูดคุยกัน มีธูปปักเพิ่มมาอีกหนึ่งดอกในกระโถน เดาว่าคงเป็นของแม่

    บทสนทนาของหญิงวัยกลางคนทั้งสามนั้นผิดไปจากเมื่อคืนที่มีแต่ความรื่นเริงสุขสันต์ มาบัดนี้ทุกคนกระซิบกระซาบกันประหนึ่งกลัวว่าคนตายจะได้ยิน หรือมิเช่นนั้นก็กลัวคนเป็นอีกนั่นแหละที่จะได้ยิน แต่ครั้นผมเหยียบบันไดขั้นแรกเสียงไม้ลั่นก็ดับเสียงสนทนาโดยฉับพลันราวกับมีใครไปกดปิดเทปเพลง ครั้นแม่และพวกน้า ๆ เห็นผมก็ทำท่าโล่อกกันใหญ่

    “โธ่ ภาคเองเหรอ” น้าไจ๋ว่า “เข้ามาซี มาขอขมาพี่อ้นก่อน”

    “เมื่อคืนผมมากับพี่ภพแล้วครับ”

    ครั้นพวกเขาได้ยินก็หันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก น้าลดากันมาถามผม “แล้วแกกับแฟนพี่เข้าไปข้างในรึเปล่า?”

    ข้างในที่ว่าคงหมายถึงห้องอื่น ๆ ที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ผมส่ายหน้า น้าลดาก็พูดอีกว่า

    “ดีแล้วล่ะ พี่ขอเตือนแกหน่อยดีกว่าว่าอย่าไปไหนซีซั้วที่นี่ เดี๋ยวโดนตาพะยอมหรือยายดวงแกด่าเปิงเอา”

    “ไหนจะไอ้สินอีก!” น้าไจ๋ว่าพลางฮึดฮัด

    ผมขออนุญาตเข้าไปนั่งพูดคุยด้วยกัน ถามน้า ๆ ที่อยู่ที่นี่ถึงสาเหตุที่ลุงอนันต์เสียชีวิตไปจนได้ความว่าลุงอนันต์แต่เดิมก็เป็นคนเกกมะเหรกเกเรอยู่แล้ว ก่อนหน้านั้นก็ทำงานเป็นเหมือน ๆ คนคุ้มครองให้แก่ธุรกิจสีเทาทั้งหลายแหล่ในเมืองอุดรธานีและจังหวัดรอบ ๆ แต่วันดีคืนดีมีคนจากอีกกลุ่มเข้ามาก้าวก่ายพื้นที่ที่ลุงอนันต์กับพวกรับผิดชอบเลยมีชกต่อยกันแต่เพราะอีกฝ่ายเป็นแค่วัยรุ่น กอปรกับลุงของผมสมัยยังหนุ่มก็เป็นถึงนักมวยเก่าเลยซัดอีกฝ่ายเสียจนอาการสาหัส แล้วสามเดือนต่อมาคนกลุ่มนั้นก็ไปเรียกพรรคพวกเพื่อจัดการแย่งพื้นที่คุ้มครองกันจนท้ายที่สุดลุงอนันต์ก็ถูกลอบยิงขณะกำลังขับรถกระบะกลับบ้าน ผมไม่ใคร่จะชอบเรื่องแนว ๆ นี้เลยแต่ก็เข้าใจแม่มากว่าท่านไม่ได้มองลุงอนันต์เพียงแค่ด้านที่มีประวัติอาชญากรติดตัวหรือทำงานไม่สุจริต เพราะแม่ก็บอกกับผมในวันนี้เองว่าลุงอนันต์มีบุญคุณกับท่านมาก เพราะเขานี่เองที่ช่วยแม่และพ่อให้พาลุกซึ่งก็คือผมหนีไปอยู่กรุงเทพฯ

    ผมนั่งฟังพลางนิ่งเงียบก่อนจะถามว่า “แล้วทำไมถึงต้องพาผมหนีไปด้วย?”

    “ตาพะยอมแกน่ากลัวนะ” แม่ดึงมือผมมากุมไว้ แล้วเปลี่ยนประเด็น “นี่…ภาครู้สึกว่ามีอะไรแปลก ๆ กับตัวเองรึเปล่า?”

    “โธ่…ถ้าจะมีก็คงปวดตัวเพราะขับรถมานานนั่นแหละ”

    ครั้นได้ฟังคำตอบท่านก็ยิ้มให้ผมน้อย ๆ ดูเหมือนจะโล่งใจกับอะไรสักอย่าง

    เห็นดังนั้นทุกคนก็หันไปพูดคุยกันในเรื่องของตัวเองโดยไม่เกรงใจหลาน ผมรับฟังทุกคนเล่าเรื่องของตัวเองเงียบ ๆ--- น้าลดาคบหากับพี่ภพซึ่งอายุน้อยกว่าและพร่ำพรรณนาความดีเลิศของสามี ส่วนน้าไจ๋ที่ก็ประกาศตัวชัดเจนว่าตนชอบผู้หญิงด้วยกันจึงทำให้พ่อ, น้าดวง, และสินหลานของตนรังเกียจ และก็พูดเชิงน้อยอกน้อยใจที่ตนยังไม่เจอรักดี ๆ ดังเช่นพวกพี่ ๆ ด้วยเนื้อเสียงขำขื่น แต่ก็ช่วยให้บรรยากาศในงานศพอันแสนพิสดารนี้ผ่อนคลายความตึงเครียดลงไปบ้าง


  • บ่ายวันนั้นพี่ภพกลับบ้านมาก่อนเวลา แกเดินอาด ๆ ในชุดข้าราชการสีน้ำตาลเทาติดบั้งและยศเรียบร้อยจนผมรู้ว่าเป็นสารวัตรชั้นพลตำรวจตรี ส่วนสาเหตุที่แกกลับมาเร็วเพราะตนขอลางานครึ่งวันเพื่อติดตามคดีของลุงอนันต์ซึ่งอยู่ในเขตความรับผิดชอบของสถานีตำรวจภูธรขอนแก่น แกกลับมากินข้าวเที่ยงซึ่งกับใด ๆ เป็นของเหลือจากเมื่อเช้า โดยมีผมและแพรนั่งล้อมวงกินด้วยกัน จู่ ๆ เขาก็ถามผมว่า “ภาคจะไปกับพี่ด้วยมั้ย?” ด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “ผมเหรอ?”

    “เดี๋ยวพี่บอกเองว่าแกเป็นญาติผู้ตาย” พี่ภพบอก “ใคร ๆ ก็อยากรู้เรื่องเวลาญาติตัวเองตายทั้งนั้น แต่ตำรวจบางทีก็เก็บข้อมูลเอาไว้ พี่เองก็ไม่อยากให้ดาหรือพี่หมอนเสียใจโดยไม่รู้อะไร เลยว่าจะไปขอข้อมูลจากเขา”

    “แต่ไปถามจากตำรวจตรง ๆ แล้วมันจะได้เหรอครับ?”

    “ก็ต้องเส้นสายกันหน่อยซีวะ ตำรวจเป็นเพื่อนเหมือนกันนี่แหละ!”

    ผมวางช้อนเคลือบสีเขียวลงบนจาน “แล้วพี่ช่วยเหลือพวกน้าอนันต์ทำเรื่องผิดกฎหมายด้วยเหรอครับ?”

    เขาส่ายหน้า

    “มีเรื่องเดียวที่พี่อ้นแกไม่ทำคือค้ายาและค้ามนุษย์ --- จะบอกให้ว่าพี่อ้นเขาจบกฎหมาย รู้ช่องโหว่และใช้มันเป็นยิ่งกว่าพี่ที่เป็นตำรวจเองเสียอีก แต่อย่างน้อยเขาก็แค่เป็นตัวกลางระหว่างคนทำธุรกิจสีเทากับตำรวจนั่นแหละ จำพวกบ่อนพนัน, เรียกว่ากาสิโนดีกว่า หรือพวกอ่างพวกซ่อง ที่จริงถ้าเกิดของพวกนี้มีกฎหมายคุ้มครองแบบเป็นจริงเป็นจังพี่อ้นแกก็ไม่ต้องมาเสี่ยงโดนเอาชีวิตเพราะอีแบบนี้หรอก”

    ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าพี่ภพชอบหรือเกลียดลุงอ้นกันแน่ ในสายตาและน้ำเสียงเหมือนจะเจือไปด้วยสองความรู้สึกซึ่งผลัดสลับกันออกมา แต่ขืนคิดมากไปก็ปวดหัวเสียเปล่า ๆ จึงตัดสินใจไม่ต่อความยาวสาวความยืดมากไปกว่านี้

    “แล้วไม่ให้น้าดาหรือพวกตาพะยอมไปกับพี่แทนล่ะ?”

    “เรื่องนี้พี่อยากได้คนนอก” แล้วก็เหลือบไปมองแพร “อย่างน้อยถ้าแกรู้แกจะได้ปกปองเมียแกได้”

    ผมหัวเราะฮึฮะ

    “ยังกะหนังสายลับเลย…”



  • การเดินทางจากตอนตะวันออกเฉียงเหนือสุดของอุดรธานีไปยังตัวเมืองขอนแก่นใช้เวลาเกือบสี่ชั่วโมง ผมนั่งอยู่ข้างพี่ภพในรถกระบะสีเทาซึ่งทะเบียนเป็นชื่อตน ทีแรกเข้าใจว่าพี่ภพจะไปสถานีตำรวจเลยแต่เขากลับขับแวะไปแฟลตตำรวจซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปอีกสิบนาทีแทน แต่หากคิดตามระบบราชการเวลาป่านนี้คนที่ทำงานช่วงเช้าก็คงเลิกกะกันหมดแล้ว การจะไปถามตำรวจเรื่องส่วนตัวแบบนี้ ณ ที่พักข้าราชการแลจะสมเหตุสมผลที่สุด

    แฟลตตำรวจเป็นตึกสูงสี่ชั้น แม้จะทาสีขาวใหม่แต่ก็ไม่อาจปกปิดร่องรอยความเก่าได้ ทุกห้องมีหน้าต่างบานเกล็ดพร้อมกรงเหล็กดัดติดข้างนอก ตัวระเบียงยื่นออกมาโดยมีประตูไม้ทาสีฟ้าเป็นทางเข้าออก บ่งบอกสภาพอายุที่แท้จริงของสิ่งก่อสร้างนี้ได้เป็นอย่างดี ขนาดที่ว่าเราเข้าไปข้างในยังเห็นว่าตู้จดหมายบนผนังก็เริ่มมีรอยสนิมกัดกินโลหะไปเยอะแล้ว เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นขณะที่ผู้พักอาศัยนายหนึ่งกำลังเปิดเอาจดหมายและบิลค่าชำระต่าง ๆ ออกมา

    พวกเราเดินขึ้นไปถึงชั้นสามก่อนจะหยุดที่หน้าห้องหมายเลขสอง พี่ภพเคาะประตูพลันก็มีชายร่างอ้วนเตี้ยวัยประมาณห้าสิบกว่า ๆ สวมชุดเสื้อยืดคอกลมของตำรวจออกมารับทันที ครั้นเห็นหน้าชายร่างใหญ่ก็ยิ้มแป้น พี่ภพแนะนำให้ผมรู้จักผู้พันติ๋ม มียศเป็นผู้บังคับบัญชาการแผนกสืบสวนของสถานีตำรวจภูธรขอนแก่น

    “เอ้า เข้ามาก่อนไอ้ภพ แล้วเอ็งพาใครมาด้วยเนี่ยฮึ?” เจ้าของห้องเชื้อเชิญแขกให้เข้ามา

    “อ๋อ หลานไอ้อ้นมันจ้ะ”

    “ไอ้อ้นมันไปแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่?”

    พี่ภพส่ายหน้า “ไม่ใช่ ๆ หลานของลูกพี่ลูกน้องมัน”

    “อ้อ เหรอ”

    แล้วผู้พันฯ ก็เดินนำพวกเราเข้าไปในตัวห้องพัก ตัวห้องกว้างสามคูณสี่เมตร มีโซนครัวซึ่งติดกับหน้าต่างบานเกล็ดข้างประตูทางเข้า ห้องน้ำอยู่มุมซ้ายสุดของห้อง ส่วนที่เป็นห้องนอนเป็นหลืบจากตัวห้องน้ำติดกับทางออกไประเบียง โซนรับแขกมีพรมลูกฟูกสีฉูดฉาดไม่เข้ากับโต๊ะไม้กลม ณ กลางห้อง โทรทัศน์ยังเป็นจอโค้งแม้จะติดกล่องรับสัญญาณดาวเทียม มีกองเอกสารวางกระจายไปตามตำแหน่งต่าง ๆ ของห้องเท่าที่จะอำนวยของสุมรวมปนเปไปกับของใช้ซึ่งแม้จะมีไม่มากแต่ดูรกรุงรังจนไร้ระเบียบ ตะกร้าผ้าเองก็มีผ้าล้นจนขนาดที่ว่าพอผมย่างเข้ามาถึงกลางห้องถุงเท้าสีดำข้างหนึ่งก็หล่นร่วงมากองกับพื้น

    ผู้พันติ๋มเปิดตู้เย็นก่อนจะหยิบเบียร์มาสองขวด หนีบแก้วสามใบไว้หว่างแขนเดินประคองอย่างระมัดระวัง พี่ภพช่วยแกจัดวางแก้วก่อนผู้พันฯ เปิดฝาจีบจากขวดเบียร์สองขวด

    “มีน้ำแข็งมั้ยครับผู้กอง?”

    พี่ภพถาม อีกฝ่ายส่ายหน้าบอกว่าอากาศหนาว ๆ อย่างนี้ควรดื่มให้เยอะไว้ก่อน ตัวจะได้อุ่น ๆ--- ผมว่าผู้พันฯ แกคงมีประสาทรับอุณหภูมิผิดไปแน่ ๆ เพราะแม้นี่จะเกือบทุ่มหนึ่งแล้วแต่เราสองคนต้องทนนั่งเหงื่อย้อยจากขมับจรดปลายคาง พัดลมเจ้ากรรมก็ไม่ช่วยคลายร้อนได้แม้แต่นิด

    ดื่มเบียร์พร้อมถั่วลิสงคั่วเป็นกับแกล้มไปได้สักพักหนึ่ง พี่ภพก็ถามถึงเรื่องคนร้ายในคดีฆาตกรรมลุงอนันต์ ผู้พันติ๋มบอกว่ารู้ตัวคนร้ายแล้วเพราะแถวนี้สืบได้ไม่ยาก เห็นจะเป็นลูกน้องของกลุ่มผู้มีอิทธิพลอีกกลุ่ม (ทางตำรวจตั้งชื่อกลุ่มนี้ ‘กลุ่มไอ้เขียว’ ตามชื่อเล่นของหัวหน้า) ซึ่งนิยมเป็นสันโดษไม่ร่วมมือกับก๊กแก๊งแหล่งไหนทั้งนั้น ในวันที่เกิดเหตุเข้าใจว่าลุงอ้นผู้ตายเห็นหนึ่งในลูกน้องของกลุ่มไอ้เขียวแล้วได้พูดคุยกันนิดหน่อย แต่ผู้ตายขอตัวกลับก่อนเนื่องจากไม่ลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไรและเห็นว่าชักจะเลยเถิดหวิดจะต่อยกัน แต่ขณะที่กำลังขับรถเพื่อจะกลับบ้านเวลาประมาณตีสอง ลุงอ้นก็ถูกยิงเข้าที่ศีรษะอย่างจังจนเสียชีวิต ณ ทางแยกตรงอำเภอเมืองนี้เอง มีพยานเล่าว่าเห็นรถจักรยานยนต์คันหนึ่งมีผู้ซ้อนท้ายสองคนขี่ย้อนศรผ่านกระบะไป สรุปได้ว่าคนร้ายคือผู้ที่ขี่จักรยานยนต์เพื่อยิงสังหารลุงอนันต์

    “มันชื่อไอ้วิน” ผู้พันฯ บอกชื่อผู้ต้องหาโดยไม่ปิดบังประหนึ่งลืมจรรยาบรรณตำรวจไปพร้อม ๆ กับแอลกอฮอล์ในกระแสโลหิตเสียแล้ว “เป็นลูกน้องของกลุ่มไอ้เขียวนั่นละ แต่ก็แค่เด็กสิบเจ็ดที่ติดยาแล้วมีคนไปจ้างมันให้ฆ่าไอ้อ้น”

    “ตอนนี้ยังจับตัวไม่ได้อีกเหรอครับ?” ผมแทรกขึ้น

    “ก็คาดว่าคงกำลังหนีหัวซุกหัวซุนไปชายแดนแหละ ข้าก็ประสานงานกับตำรวจที่อยู่จังหวัดอื่น ๆ แล้ว และก็หาเรื่องยัดลูกน้องกลุ่มไอ้เขียวมันอยู่เผื่อจะได้อะไรบ้าง”

    “ยัดข้อหาเหรอครับ?”

    ชายร่างอ้วนพยักหน้า “อย่าด่าตำรวจเลยเถอะไอ้หนุ่ม ไอ้พวกนั้นมันมีคดีติดตัวเป็นหางว่าว ก็เหมือนหมาที่มีกระพรวนห้อยอยู่ รอวันไหนพวกข้าได้ยินเสียงมันชัด ๆ ก็ถึงไปจับนั่นไง”

    พี่ภพหันมามองผมยิ้ม ๆ ก่อนจะพูดสั้น ๆ

    “ภาคนี่พูดจาเหมือนจะเป็นพี่อ้นอีกคน”

    “เออ ไอ้นั่นมันก็ใช่ย่อย! อย่าหาว่าข้าขายคนตายให้คนเป็นเลย” ผู้พันติ๋มเหมือนจะเริ่มเล่าประวัติลุงอนันต์ให้ฟัง “ไอ้อ้นถึงทำธุรกิจผิดกฎหมายแต่มันก็ฉลาดเป็นกรด ก็ถ้าอย่างที่ข้าพูดว่าถ้ามันเป็นหมาผูกกระพรวน มันก็เลือกจะนอนนิ่ง ๆ และหันมาสะบัดหัวส่งเสียงร้องบ้าง แต่เพื่อล่อให้พวกข้าไปจัดการหมาตัวอื่นแทน --- เอาจริง ๆ ที่ตำรวจทำปิดหูปิดตากับเรื่องไอ้อ้นด้วยก็เพราะมันก็เหมือนเป็นสายให้ตำรวจอีกทางหรอกวะ”

    ผมถอนหายใจเสียงดังจนสองตำรวจหัวเราะใส่ พวกเราจัดการเบียร์จนหมดสองขวดก่อนจะเดินทางกลับ พี่ภพเสนอว่าจะแวะไปหาอะไรกินในเมืองก่อนกลับเพราะกว่าจะถึงบ้านสวนก็คงเที่ยงคืน --- และขณะที่กำลังเดินทางกลับพี่ภพก็เพิ่งมาเฉลยเอาป่านนี้เองว่าที่จริงผู้พันติ๋มเป็นพ่อเขยของพี่สาวเขาเอง อะไร ๆ จึงกระจ่างขึ้นทันตาสำหรับผม แต่ครั้นถามว่าเหตุใดจึงไม่มางานศพด้วย อีกฝ่ายก็บอกมาเพียงแค่ว่า “งานศพนั้นเขาให้แค่คนสายตระกูลเดียวกันเข้าร่วมเท่านั้นแหละ”



  • พวกเรากลับมาที่อุดรธานีอีกทีก็เที่ยงคืนครึ่ง แต่เหมือนข้างในกำลังวุ่นวายกันอยู่ ครั้นขึ้นไปก็พบว่าแม่กำลังทะเลาะกับยายดวงแก้วกันใหญ่โต

    “ยายดวงเอาอะไรมาให้แพรกิน?!”

    แพรซึ่งสวมชุดคลุมท้องสีขาวเกาะแข่นแม่ผมแน่น ชายเสื้อมีคราบสีแดงเปรอะอยู่จาง ๆ ฝั่งแม่ยืนประจันหน้ากับยายดวง ท่าทางจะโกรธจัด ข้าง ๆ ยายแกก็มีน้องสินลูกน้าลดาและตาพะยอมกับนั่งข้าง ๆ

    น้าลดาเข้ามาปราม “พี่หมอน ไม่เอาน่ะ --- ”

    “ก็ฉันบอกยายไปแล้วนี่ว่าแพรมันท้องลูกสาว!” แม่ตวาดโดยไม่สนใจอะไรก่อนจะหันไปหาพ่อตัวเอง “พ่อก็ด้วย คิดว่าพยายามทำแบบนี้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา แย่งลูกไอ้ดาไปแล้วยังไม่พอใจอีกรึไง ห่วงกันนักเนี่ยเรื่องตระกูลตัวเอง!”

    “แล้วทีมึงล่ะ หนีไปกับไอ้…ไอ้คนเมืองนั่น!” ตาพะยอมเหมือนจะไม่อยากพูดชื่อพ่อผม “ทรยศครอบครัวกันจนฉิบหายวายวอดแล้วยังมีหน้ากลับมาอีก!”

    “แต่พ่อไม่ใช่เหรอที่เรียกหนูมา?”

    แม่กอดอก ไม่ได้ยี่หระต่อพ่อแต่อย่างใด ผมรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ อย่างไรชอบกลเมื่อเห็นแววตาคู่นั้นของผู้ให้กำเนิด…สายตาที่เกลียดชังและไม่ดูดำดูดีใคร ผมไม่เคยเห็นแม่มองคนด้วยสายตาเช่นนั้นมาก่อนในชีวิต ท่านเป็นคนจิตใจดีและมีน้ำใจมาตลอด แม้ใครจะทำอะไรไม่ดีกับตนก็เก็บกลั้นไม่ถือโทษโกรธใครหากไม่จวนตัวจริง ๆ แต่ก่อนหน้านั้นก็เทียบไม่ได้เลยกับความเกลียดชังที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตาคู่นี้…ที่มีต่อพ่อของท่าน

    ตาพะยอมเงียบไปสักพักก่อนจะตะโกน “ไอ้ดามันโทร. ไปหาแกต่างหาก!”

    “แต่พ่อก็อยากให้หนูมา” แม่กอดอกฮึดฮัด “พร้อมไอ้ภาค”

    “แล้วกูสั่งให้มึงมาตามคำขอตั้งแต่เมื่อไหร่?”

    “ก็เพราะหนูรู้ไงว่าพ่อมันหัวรั้นไม่รู้จักพอ พวกผู้ชายนี่มันกลัวอะไรกันนักกันหนากับความตาย เห็นทำอวดเบ่งอวดดีที่จริงก็เหมือนเด็กไม่รู้จัก --- ”

    ณ เสี้ยววินาทีนั้นเอง เสียงตบเพียะก็พุ่งเข้ามาประหนึ่งศรที่แหวกผ่านม่านแห่งความเงียบงัน ผมได้แต่ยืนอึ้งไม่เข้าใจสักนิดเดียวว่าตัวเองกำลังเห็นอะไรอยู่ --- คนที่ตบแก้มหาใช่ตาพะยอมไม่ หาใช่ทั้งยายดวงหรือน้าลดา ทว่าน้องสินกลับพุ่งพรวดฟาดฝ่ามือใหญ่บนแก้มป้าของตน แขนของแม่ที่คล้องแพรไว้หลุดออก ผมรีบเข้าไปประคองภรรยาซึ่งทำท่าจะร่วงล้มพร้อมกับแม่ แต่ถึงผมจะคว้าแพรไว้ทันทว่าแม่ก็ถูกชายร่างใหญ่กระชากคอเสื้อกลับขึ้นไปก่อนจะพ่นคำพูดลอดออกจากฟันซึ่งขบแน่น

    “ถ้ามึงยังไม่อยากตายก็อย่าเสือกพูดแบบนี้ออกมาอีก เข้าใจมั้ยอีหมอน!”

    น่าแปลกที่น้าลดาไม่เข้ามาขัดจังหวะอะไรอีก นางยกมือป้องปากกลั้นน้ำตาเดินหายเข้าไปในบ้านพร้อมกับพี่ภพ ในตอนนี้ผมกำลังอยู่ในฝ่ายที่ถูกคนในตระกูลแม่รังเกียจเสียแล้ว…ครั้นประคองแพรขึ้นผมก็ตั้งใจจะไปห้ามแม่แต่ก็ต้องชะงักไป

    แม่พูดกับอีกฝ่ายที่ยังจับตนไว้ “คิดว่าจะฆ่าฉันได้เหรอไอ้สิน…ไม่สิ, ต้องเรียกว่าลุงชัยรึเปล่า…รึว่าต้องสืบย้อนไปถึงรุ่นเทียดของเทียดไม่ทราบ”

    กำข้อมืออีกฝ่ายแล้วสะบัดออกจนตัวหลุดมาได้ก็ก้มดูแก้วน้ำพลาสติกและน้ำแดงที่หกเลอะเทอะบนพื้นไม้ แม่เตะมันออกไปนอกบ้าน เสียงก๊อกแก๊กเหมือนลูกบอลพลาสติกหายไปในเวิ้งของความมืดมิด ท่าทางของแม่ในตอนนี้น่ากลัวเหลือเกิน…น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูกแต่ทำเอาผมเกิดสันหลังวาบขึ้นมา

    ท่านเป็นใครกัน ท่านดูเหมือนคนที่ผมไม่รู้จักอีกแล้ว?

    และจู่ ๆ ก็มีคำถามผุดขึ้นมาในใจ --- ผมเป็นใครกันแน่

    ชั่วขณะนั้นเอง, ในเสี้ยววินาทีเล็ก ๆ แต่แสนยาวนาน ภายในดวงตากลับเกิดแสงขาววาบพร้อมด้วยภาพต่าง ๆ ที่ผุดปรายขึ้นมารวดเร็ว แต่ครั้นลืมตาขึ้นมาอีกทีก็เห็นว่าแม่ลนลานเข้ามาดึงแขนพวกเราพาออกมายังชานบ้าน

    “ภาค แพร คืนนี้ไปพักที่อื่นแล้วรีบกลับกรุงเทพฯ เลย!”

    ดวงตาของท่านมีน้ำตาคลอ รอยช้ำแดงจากรอยตบยังคงปรากฏบนใบหน้าอันอ่อนแอ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in