เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องน่ากลัวในความนึกคิดของข้าพเจ้าชนุ่น
เหตุผลที่ตาพะยอมยังไม่เผาศพหลานชายตัวเอง (1)
  • NOTE: ผลงานชิ้นนี้เป็นเพียงเรื่องแต่ง บุคคล องค์กร สถานที่ ตลอดจนเหตุการณืทุกอย่างล้วนเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน






    เหตุผลที่ตาพะยอมยังไม่เผาศพหลานชายตัวเอง

    (ตอนที่ 1)



    (1)

    แม่โทรศัพท์มาบอกผมว่าลุงอนันต์เสียแล้ว

    วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ที่ผมค่อนข้างผ่อนคลายหลังจากเสร็จสิ้นงานออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างบ้านให้ครอบครัวข้าวใหม่ปลามันเกือบครึ่งเดือน หลังจากดื่มฉลองกับคนในบริษัทสถาปนิกไปเมื่อวานก็กลับมานอนที่ห้องพักคอนโดมิเนียม ตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงกว่า ๆ ก็กินอาหารเช้าควบกลางวันที่ภรรยาเตรียมไว้ให้ ในตอนนั้นเองที่แม่โทรศัพท์เข้ามา

    ผมไม่รู้สึกอะไรกับชื่อลุงอนันต์เลยแม้แต่น้อยเพราะไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าเขา แทบไม่เคยได้ยินชื่อเขามานานมากแล้ว ทุกอย่างที่ผมรู้เกี่ยวกับลุงอนันต์คือเป็นลูกพี่ลูกน้องแม่เท่านั้นเอง ไม่มีความผูกพันในใจผม แต่ครั้นผมได้ยินเสียงสะอื้นฮึกฮักจากปลายสายก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมแม่จึงบอกข่าวคราวของญาติตัวเองให้ผมทราบทั้งที่พวกเราไม่เคยไปบ้านเกิดท่านเลย

    พ่อกับแม่ย้ายมาอยู่ในกรุงเทพมหานครตั้งแต่ผมอายุเกือบหกเดือนเห็นจะได้ ผมไม่มีความทรงจำอะไรที่อุดรธานีอันเป็นบ้านเกิดแม่และจังหวัดที่เกิดตามสูติบัตรเลยแม้แต่นิดเดียว แม่เองก็ไม่พูดเรื่องนั้นให้ฟังไม่ว่าจะกับใครก็ตาม และในตอนเด็ก, เมื่อไรที่ผมถามพ่อแม่ว่า “พ่อกับแม่รู้จักกันได้อย่างไร” “ผมเกิดได้อย่างไร” ทั้งสองจะบอกเพียงว่าแม่รู้จักกับพ่อสมัยที่เขาทำงานอยู่ที่บ้านเกิดแล้วจึงแต่งงานก่อนจะย้ายมาที่นี่ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้

    และอดีตอันคุลมเครือที่เหมือนม่านอันปกคลุมร่างของแม่บาง ๆ ทำให้ตั้งแต่เด็กจนโตผมรู้สึกว่าเหมือนจะรู้จักและไม่รู้จักท่านในเวลาเดียวกันหลายครั้งหลายครา กระนั้นด้วยเพราะพวกท่านยังคงรักและดูแลผม อีกทั้งครอบครัวทางฝั่งพ่อเองก็มักจะมาเยี่ยมเยียนหรือชวนออกไปเที่ยวด้วยกันในวันหยุดทำให้ครอบครัวเราเหมือนไม่ได้ถูกกีดกันจากวงศาคณาญาติอะไรนัก…จนกระทั่งสามปีก่อนที่พ่อเสียชีวิตไปด้วยมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย ตอนนั้นเองผมจึงเริ่มเข้าใจว่าความเสียใจเมื่อคนสำคัญจากไปมันเลวร้ายเพียงใด

    ผมพยายามใช้ความรู้สึกที่มีตอนที่พ่อจากไปเพื่อเปรียบเทียบกับความรู้สึกของแม่ ณ ขณะนี้ และก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจได้ทีละน้อย ๆ…ลุงอนันต์คงจะสำคัญต่อท่านมากจริง ๆ

    ผมรอให้แม่สงบสติอารมณ์โดยไม่พูดอะไร ครั้นเสียงฟืดฟาดดังขึ้นจึงพูดสั้น ๆ “…ครับ”

    “ขอโทษนะภาค แม่แค่…” ท่านเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงสั่นแผ่วเบา หลุดสำเนียงถิ่นออกมาปะปนกับภาษามาตรฐาน “…คืองี้, แม่จะไปบ้านตาวันอังคาร ยังไงแกช่วยจองตั๋วเครื่องบินไปอุดรฯ ให้แม่หน่อย”

    “ไม่ต้องหรอกแม่ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งก็ได้” ว่าพลางก็อ้างเหตุผลสนับสนุน “งานผมก็เสร็จแล้ว และก็ยังไม่ได้ใช้วันลาพักร้อนเลย --- ”

    “ไม่ต้องหรอก งานศพคนตายโหงที่บ้านเขาตั้งศพอย่างมากก็สองปี”

    “ก็อย่างน้อยผมก็ไปไหว้หน้าศพท่านก็ได้นี่ครับแม่”

    ท่านไม่อาจทัดทานผมได้อีกจึงยอมโอนอ่อนให้ “งั้นก็ได้ แต่แกห้ามพาแพรไปนะ”


  • แม้แม่จะยืนยันอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่ทำตามคำพูดท่านอยู่ดี ถึงจะรู้ว่าแพรมีเพื่อนร่วมตึกที่พอพึ่งพาอาศัยกันได้ในยามที่ผมไม่อยู่ แต่ปล่อยให้คนตั้งครรภ์อยู่เพียงลำพังก็ออกจะอันตรายเกินไปจึงคิดว่าเธอควรไปด้วย อย่างไรก็ดี, แพรเองก็ไม่ได้สมัครใจไปด้วยอยู่แล้วเพราะเธอก็เชื่อว่าคนที่กำลังตั้งท้องไม่ควรไปงานศพ ทำให้ตัวผมรู้สึกเหมือนเป็นคนผิดที่ลากเธอเข้ามาในเรื่องนี้ด้วยอีกคน

    ผมเข้าไปที่บริษัทและตกลงวันลาพักร้อนกับหัวหน้าไว้หนึ่งสัปดาห์ในวันจันทร์ ก่อนจะกลับบ้านมาจัดกระเป๋าแล้วเตรียมตัวออกไปรับแม่ในช่วงเช้ามืดเพื่อเผื่อเวลาก่อนที่การจราจรจะคับคั่งในช่วงเช้า ครั้นใกล้หกโมงเช้าแม่ก็ออกมาพร้อมกระเป๋าสะพายข้างใบเก่า ๆ เพียงแค่ใบเดียวเท่านั้น เดินด้วยท่าทางคล่องแคล่วราวกับไม่ได้แบกของมาหนักหนาอะไร

    ผมออกไปรับแม่ ท่านส่งประเป๋าให้ผม และก็แปลกใจที่กระเป๋าท่านเบามาก เทียบไม่ได้กับของที่ผมกับภรรยาพามารวมกันเสียอีก

    ผมถือวิสาสะเปิดกระเป๋าออกมาค้นดูเร่ง ๆ แม่ซึ่งหันไปเห็นคนในรถก็ถามด้วยสีหน้าขุ่นข้อง

    “แพรจะไปด้วยเหรอ?”

    ผมยอมรับโดยจำใจ “จะให้เขาอยู่คนเดียวก็กลัวจะเป็นอะไรอีก นี่ก็ท้องห้าเดือนแล้ว”

    “ลูกชายใช่มั้ย?”

    แม่ถาม ผมพยักหน้าบอกเพราะจำได้ว่าเคยบอกท่านไปเมื่อสามเดือนก่อน

    “ไม่ต้องห่วงหรอกน่าแม่ แพรเขาก็แข็งแรงดี ผมก็ช่วยเธอทำงานบ้านหนัก ๆ เท่าที่ช่วยได้”

    “แต่พาไปเดินทางไกลแบบนี้เมียแกจะลำบากเปล่า ๆ”

    แม่บ่นเรียบ ๆ เนือย ๆ แลผิดวิสัย แต่ท่านคงจะเพลียเพราะต้องตื่นเช้า ผมยิ้มแหย ๆ แล้วจึงอ้อมไปเปิดฝาท้ายรถยนต์เอนกประสงค์สีดำ วางกระเป๋าเบาหวิวของแม่ที่มีแต่เสื้อผ้าสำหรับใส่ได้สามวันกับของใช้จำเป็นนิดหน่อย ครั้นเห็นแม่เข้าไปนั่ง ณ เบาะข้างคนขับแล้วพูดคุยกับลูกสะใภ้ตัวเองก็รู้สึกว่าการเดินทางคราวนี้คงไม่ได้เลวร้ายอะไร --- อาจจะเป็นความโชคดีที่แม่กับแพรไม่มีปัญหาจำพวกแม่ผัว-ลูกสะใภ้อย่างครอบครัวอื่น ๆ เขา วันไหนที่ท่านว่างก็จะปิดร้านรับซ่อมเสื้อก่อนเวลาและซื้อของฝากไปให้เธอทุกวัน ราวกับว่าภรรยาผมกับแม่เป็นเหมือนเพื่อนกันก็ไม่ปาน

    เราเริ่มออกเดินทางทันที แต่ด้วยเป็นวันทำงานทำให้รถราคับคั่งเร็วกว่าที่คิดไว้ กว่าจะพ้นจากกรุงเทพก็เข้าสายแล้ว ระหว่างทางผมปล่อยให้แม่กับแพรพูดคุยกัน เสียงของหญิงสองวัยคลอไปกับเสียงดนตรีจากสถานีวิทยุ…เวลาผ่านไปแล้วไปเล่า จากรายการเพลงก็เป็นรายการพูดคุยอัดเทปทั่วไป แทรกด้วยข่าวภาคเที่ยง ก่อนจะกลับมาเป็นรายการเพลงอีกครั้ง จนกระทั่งบ่ายโมงกว่าพวกเราจึงแวะที่ปั๊มน้ำมันเพื่อเติมน้ำมัน และหาของกินก่อนจะเดินทางกันต่อ

    ผมขับผ่านอีกสี่จังหวัดโดยประมาณ เดาเอาจากแอปพลิเคชั่นบอกทางที่นาน ๆ ทีจะส่งเสียงบอกให้ผมเลี้ยวหรือต้องพบกับอะไร ด้วยว่าตัวเองก็เหนื่อยอยู่ไม่น้อยเช่นกันเลยแทบไม่ได้สนใจรอบข้างเลยว่าเป็นอย่างไร เพราะไม่ว่าอย่างไรแถบภาคอีสานก็ดูจะไม่ได้แตกต่างกันมาก ถึงบางจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว อาทิ นครราชสีมาหรือขอนแก่น ในอำเภอเมืองดูจะมีสีสันและเต็มไปด้วยรถราบนถนนมากกว่าจังหวัดอื่น ๆ แต่ส่วนใหญ่พอพ้นไปแถบชานเมืองหรือเกือบข้ามเขตแดนของจังหวัดต่าง ๆ ก็มีเพียงบ้านคนตั้งอยู่ห่าง ๆ บ้างก็เป็นบ้านเช่า บ้านยกใต้ถุนสูง หรือเป็นสวนผลไม้ขนาดใหญ่ที่มีบ้านเรือนตั้งอยู่โดด ๆ หรือเกาะเป็นกลุ่มก้อน โรงเรียนประจำหมู่บ้าน วัดประจำหมู่บ้านเล็ก ๆ สภาพเก่า ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกแต่อย่างใด

    ผมถึงอุดรธานีจริง ๆ คือตอนสี่โมงเย็น สิ่งที่เตือนผมก็ไม่ใช่ป้ายบอกทางหรือซุ้มต้อนรับนักท่องเที่ยวเหนือถนน แต่เพราะเสียง “อา…แม่ไม่ได้มานานแล้ว” ของแม่นั่นเอง

    ครั้นมองดูหญิงวัยหกสิบเอ็ดปีผ่านกระจกมองหลังก็เหมือนดวงตาของท่านเปล่งประกายและเจือไปด้วยความโหยหาอดีตไม่ต่างจากคนแก่ทั่วไปเท่าไรนัก ผมเองก็ดีใจที่ได้เห็นท่านมีดวงหน้าเปี่ยมสุขเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ไม่ทราบได้, ในใจก็กลับรู้สึกโล่งโปร่งราวกับใยนุ่น…คล้ายกับความรู้สึกเวลาที่ตัวเองกลับถึงบ้านหลังจากที่ห่างหายไปนาน

    เป็นความรู้สึกคิดถึงที่ทำให้ใจเอิบอิ่มได้ประเดี๋ยวแต่เพียงเสี้ยววินาทีกลับชวนให้กระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก --- บอกได้แค่ว่ามันเป็นความรู้สึกที่เหมือนมาผิดที่ผิดเวลาอย่างไรอย่างนั้น


  • ผมขับเข้ามาในแถบตำบลที่แม่อยู่ซึ่งติดกับจังหวัดหนองคายเมื่อเวลาเกือบหกโมงครึ่งตอนเย็น แสงอาทิตย์หายเข้าไปในเขาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ณ บัดนี้ทิวทัศน์ต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยเงาของแผ่นดินและผืนป่าอันตั้งอยู่สูงขึ้นไป แต่เพราะความกันดารของถิ่นนี้ทำให้ไม่มีแม้แต่ไฟทาง มีเพียงแสงไฟหรี่ลิบจากหน้าบ้านหรือในบ้านคนที่ตั้งห่างกันไป บางบ้านก็ถึงขั้นปิดไฟมืดยังกับว่ากะจะนอนตั้งแต่อาทิตย์ตกดิน ครั้นขับเข้าไปลึกขึ้นก็แทบจะมองอะไรโดยรอบไม่เห็นเลยนอกจากป่าเต็งรังขนาบสองข้างทาง ผมมองจีพีเอสสลับกับมองถนนตรงหน้าที่มีแสงไฟจากไฟหน้าฉายส่องเข้าไปเป็นพัก ๆ…ท้องฟ้าในยามใกล้ค่ำเป็นสีม่วงช้ำ ๆ แลสวยจนน่าถ่ายรูปเก็บไว้แต่ก็ชวนให้ใจหวิวไม่น้อยทีเดียวเมื่อตระหนักได้ว่านั่นคือสัญญาณของทมิฬกาลที่กำลังจะกลืนกินพวกเรา

    แม่พูดขึ้นเบา ๆ “เออ ๆ ขับไปเถอะ เดี๋ยวอีกสักห้าร้อยเมตรก็เจอบ้านตาแกแล้วล่ะ”

    ผมพยักหน้ายิ้ม ๆ ทั้งที่ในใจรู้สึกว่าเหมือนตัวเองเปิดจีพีเอสไว้เป็นการยืนยันเท่านั้น เพาะภาพตรงหน้านั้นมันเหมือนไปสะกิดติ่งเล็ก ๆ ในสมองและทำให้นึกขึ้นได้ว่า “เราเคยมาที่นี่” อย่างชัดเจน

    ที่จริงผมไม่เคยแม้แต่จะบอกเรื่องนี้ให้พ่อหรือแม่ฟัง ทว่าแต่เด็กมาแล้วตัวเองมักจะมีความฝันจำพวกว่ากำลังเดินทางไปในป่าโดยมีไฟฉายนำทาง ครั้นพอโตขึ้นมาจึงปะติดปะต่อได้ว่าตัวเองในฝันน่าจะขี่มอเตอร์ไซค์ไป แต่ตอนที่ผมจำได้ว่าฝันเห็นมันคือสักประมาณห้าถึงหกขวบ เป็นวัยที่น่าจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารถจักรยานยนต์ทำงานอย่างไร

    ยิ่งเมื่อเห็นภาพตรงหน้าชัดขึ้น มันก็คล้ายกับเดจาวูที่ชวนให้รู้สึกว่าเป็นลางร้ายอย่างไรชอบกล

    พ้นจากป่าเต็งรังไปก็เจอกับสวนผลไม้ขนาบอยู่สองฝั่ง แต่บ้านของตาพะยอมจะอยู่ถัดจากสวนแห่งแรกที่อยู่ปากซอยไปหน่อยหนึ่ง ที่จริงก็ถือว่าสังเกตได้ง่ายเพราะบ้านของท่านใหญ่หรูหรา แลใหม่เอี่ยมกว่าบ้านสวนในละแวกใกล้เคียง และคงจะเป็นเพราะงานศพลุงอนันต์ด้วยจึงยังเปิดไฟหน้าบ้านสว่างโร่

    ผมพยายามหาที่จอดรถในพื้นที่อันคับแคบจนจำต้องยอมจอดขวางบันไดขึ้นบ้านยกใต้ถุนสูงไป ซ้ายมือมีรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค ปี 1993 สีเงินบรอนซ์ ทะเบียนรถเป็นของจังหวัดขอนแก่น กับรถอีโคฯ ยี่ห้อมิตซูบิชิสีขาวอีกหนึ่งคันซึ่งทะเบียนมาจากจังหวัดเดียวกับคันแรกจอดเคียงกัน ครั้นลงจากรถผมก็รีบขนสัมภาระลงมา แม่ออกไปประคองแพรลงจากรถก่อนจะหันมาช่วยผมอีกแรง

    คนที่นั่งอยู่ ณ ม้านั่งใต้ถุนบ้านคงจะสังเกตเห็นแขกผู้มาเยือนแล้ว ก็เดินอาด ๆ เข้ามา กลิ่นสุราเฝื่อน ๆ ผสมกลิ่นควันบุหรี่แรงเสียจนภรรยาผมเผลอยกมือปิดจมูก ชายสองคนยืนประจัญหน้าพวกเรา คนหนึ่งเป็นชายชราร่างผอมผิวเหี่ยวย่น ผมมีสีขาวหงอกแซม นุ่งเสื้อกีฬากับกางเกงขาสามส่วนมีผ้าขาวม้าคาดเอว อีกคนเป็นชายวัยประมาณใกล้ ๆ จะห้าสิบเศษ ผิวดำแดง ไหล่ผึ่งผายร่างกายกำยำ

    ชายแก่เลิกคิ้วข้างหนึ่งเมื่อเห็นแม่ก่อนจะร้องด้วยเสียงแหบพร่า “นางหมอนหรอกเรอะ!”

    นางตกใจจนชะงักก่อนจะวางกระเป๋าแล้วรีบยกมือไหว้ประหลก ๆ ผมกับแพรจึงทำตาม ๆ กันไป

    “สวัสดีจ้ะพ่อ…” แล้วก็หันไปมองชายอีกคนแล้วยกมือไหว้ “สวัสดีจ้ะพี่…คือว่า…”

    มีใครบางคนเดินลงมาจากบ้าน เป็นผู้หญิงซึ่งน่าจะอายุน้อยกว่าแม่หน่อยหนึ่ง แต่ร่างกายแบบบางกว่าอีกทั้งสุ้มเสียงนุ่มนวลกว่า ครั้นนางหันมาเห็นแม่ผมก็กระดี๊กระด๊าดีใจ ผมมองหญิงสองนางโผเข้าไปกอดกัน ได้ยินแม่พูดกับหญิงอีกคนว่า “ไม่เจอกันเลยนางดา”

    “พี่นั่นแหละที่หนีไป” อีกฝ่ายพูดเป็นเชิงหยอกเย้า ก่อนจะหันมามองผมและแพร “นี่ลูกพี่เหรอจ๊ะ?”

    แม่แนะนำผมกับภรรยาให้ลดา, น้องสาวตน น้าลดายิ้มให้ผมก่อนจะบอกให้พวกเราขึ้นบ้าน “ภาคกับแพรขึ้นไปนั่งพักที่บ้านก่อนมา ขับรถมาจากกรุงเทพฯ คงจะเหนื่อยมากเลยซี”

    “คราวนี้แกจะมาเอาอะไร?”

    ทันใดชายชราก็โพล่งขึ้นมา

    แม่หันไปตอบคนที่ยังคงยืนหันหลังให้ตน “หนูแค่จะมาไหว้ศพพี่อ้นเท่านั้นเองค่ะพ่อ”

    “แล้วนางหนูนั่นท้องได้กี่เดือนแล้ว?”

    ผมมองหน้าแพรที่ดูกระอักกระอ่วนไม่น้อยไปกว่าแม่ของผม เห็นดังนั้นจึงตัดสินใจตอบแทน “ห้าเดือนแล้วครับ” กระนั้นตนกลับกลืนคำว่า ‘คุณตา’ ลงไปในคอเพราะเกรงกลัว

    “เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง” ?

    ผมกำลังจะพูดแต่แม่กลับแทรกขึ้นมา “ผู้หญิงจ้ะ!” พร้อมกันท่านก็เดินมากันผมและแพรจากพ่อของตัวเอง

    “…คงอีกนานกว่าจะคลอด” ว่าพลางหรี่ตามองอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วก็หันไปตบไหล่ชายร่างสูง “ไอ้ภพ กลับมาดื่มต่อกับข้าเถอะ”

    ผมได้แต่เดินขึ้นเรือนตามน้าลดาไปต้อย ๆ ระหว่างนั้นก็โน้มตัวไปถามแม่ว่า

    “ทำไมแม่ถึงบอกตาเขาไปว่าลูกผมเป็นผู้หญิงล่ะ?”

    ท่านแสดงสีหน้าเป็นทุกข์ออกมา

    “แม่ขอแกหน่อยเถอะ สัญญากับแม่ว่าจะเก็บเรื่องนี้ไม่ให้คนที่นี่รู้ได้มั้ย?”

    ได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าสั้น ๆ ไม่รู้ว่าใจท่านคิดอะไรอยู่กันแน่ --- ประหนึ่งว่าม่านที่คั่นระหว่างเราหนาทึบขึ้นเรื่อย ๆ


  • ทีแรกผมคิดว่าญาติ ๆ จะมีเยอะกว่านี้ แต่พอเข้าไปก็พบว่าในบ้านมีเพียงห้าคนเท่านั้นเอง หากรวมพวกเราสามคนกับลุงพะยอมและชายอีกคนข้างล่างก็เป็นสิบคนพอดี โถงใหญ่ในบ้านจัดเป็นห้องนั่งเล่นมีเก้าอี้ไม้สักยาวทาแล็กเกอร์แววเลี่ยม พร้อมหมอนขิดและตุ๊กตาเล็ก ๆ น้อย ๆ โทรทัศน์ยังต่อสัญญาณด้วยเสาหนวดกุ้ง บนหน้าจอเป็นละครรอบค่ำ คนที่ดูโทรทัศน์ก็อยู่ตรงเก้าอี้ไม้สักมีแต่ชายหนุ่มวัยพอ ๆ กับผมคนหนึ่ง ผิวดำแดงแลหน้าตาดุดัน กับหญิงวัยกลางคนในชุดเสื้อเชิ้ตสีชมพูพร้อมกางเกงขาก๊วยดูเป็นคนทันสมัย และหญิงชราในชุดคอกระเช้าสีขาวนั่งชันเข่าพิงหมอนขิด หญิงชรานางนั้นเป็นคนแรกที่หันมามองพวกเราตาขวาง

    ลดาแนะนำทั้งสามคนให้พวกเรารู้จัก “นั่นพี่ศักดิ์ลูกน้าเอง และก็น้าคนเสื้อชมพูชื่อน้าไจ๋ ส่วนนั่นยายดวงแก้ว สามีของตาเสถียรจ้ะ”

    “ตาเสถียร…” ผมพึมพำ

    “ไอ้หลานเนรคุณ!” บัดดลหญิงชราก็ดีดตัวขึ้นมานั่งผึง ตวาดใส่แม่ผม “หนีออกไปจากบ้านแล้วยังจะหน้าด้านหน้าทนกลับมาอีกนะ!”

    ลดาวิ่งเข้าไปจับไหล่ยาย “ยายดวง พี่หมอนแค่มาไหว้ศพไอ้อ้นมันนะ”

    “ไอ้อ้นมันก็อีกคน แทนที่จะหางานดี ๆ ทำก็ไม่เอา เสือกไปเป็นอันธพาลคุมซ่องคุมบ่อน ไหนจะช่วยไอ้หมอนมันอีก!”

    เราสองสามีภรรยาได้แต่มองหน้ากันด้วยสับสน และเหมือนแก้วใจ, หรือน้าไจ๋สังเกตเห็นแพรเลยหันไปท้วงหญิงชราที่นั่งข้าง ๆ “ยายดวง เห็นมั้ยว่ามีคนท้องมาที่บ้านเนี่ย ตวาดใส่แบบนี้เขาจะเครียดเอา ไม่ดีต่อเด็กนะ!” แล้วก็เดินมาจูงมือภรรยาผมไปนั่งที่เบาะรองนั่งที่ตั้งบนพื้นใกล้กับโต๊ะกาแฟไม้สักซึ่งมีของสุมเต็มไปหมด “นั่งก่อนซีจ๊ะนั่งก่อน…” ผมปล่อยให้น้าอีกคนทำตามใจท่าน ก่อนจะเดินตามแม่และน้าลดาไปยังห้องนอน

    น้าลดากระซิบเบา ๆ เมื่อเราผ่านโถงไปแล้ว

    “เดี๋ยวหนูยกห้องหนูให้พวกพี่ดีกว่า แคบหน่อยแต่ก็ดีกว่าไปนอนรวมกับยายดวง!”

    แม่หัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะเดินตามเจ้าบ้านเข้าไปในห้องนอนที่เขายกให้ชั่วคราว --- ในห้องมีเตียงคู่หนึ่งหลัง ตู้เสื้อผ้าหนึ่งหลัง โต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกเก่าเกรอะติดไว้ บนโต๊ะวางเครื่องสำอางราคาย่อมเยาเป็นสัดเป็นส่วนดี ใกล้กับประตูห้องมีราวแขวนเสื้อติดผนังซึ่งแขวนชุดเครื่องแบบตำรวจสีกากี และเสื้อเชิ้ตคอกลมขาวแถบแดงเลือดหมูแขวนอยู่

    ผมกับแม่วางกระเป๋าช่วยกันจัดข้าวของ น้าลดาเองก็มีน้ำจิตน้ำใจเข้ามาช่วยเหลือด้วย

    “จะว่าไป ตาเสถียรนี่ใช่คนที่อยู่ข้างล่างรึเปล่าครับ?”

    หญิงวัยกลางคนหยุดควานหาเสื้อในกระเป๋าของแพร เธอหายใจออกเสียงดังประหนึ่งกล้ำกลืนความรู้สึกอะไรไว้ก่อนจะหันมายิ้มแห้ง ๆ

    “ไม่ใช่ ๆ คนนั้นคือตาพะยอม พ่อของพี่กับแม่เรานั่นแหละ --- ก่อนหน้านี้รุ่นทวด ๆ เขามีลูกชายสามคน ตาเสถียรกับตาเสน่ห์เป็นลูกแฝด เขาเสียไปนานมากแล้ว ตาพะยอมแกเป็นน้องคนเล็ก แกแต่งงานกับยายฉวี ยายแกนั่นแหละ, ซึ่งก็ตายไปแล้วเหมือนกันและก็มีลูกเป็นแม่แก น้า กับน้าไจ๋”

    ผมเงยหน้ามองชุดที่แขวนไว้ก่อนจะนึกไปถึงชายร่างใหญ่อีกคน “แล้วน้าผู้ชายตัวโต ๆ ที่อยู่กับตาพะยอมล่ะครับ?”

    น้าลดาเงยหน้ามองดูชุดนั่นแล้วก็ทำหน้าเขิน ๆ “อ๋อ นั่นพี่ภพแฟนน้าเอง…” คำตอบดังกล่าวก็เหมือนจุดประเด็นสนทนาระหว่างพี่สาวและน้องสาวที่ห่างหายกันไปนาน ผมเห็นทั้งสองหัวเราะเริงร่า ดวงตาฉายแววสดใสก็ได้แต่โล่งใจ

    แพรวเดินมาหาผมโดยมีน้าแก้วใจเป็นคนประคองมา น้าแก้วใจบอกว่าให้แพรนอนพักเสียเพราะเดี๋ยวตนจะเข้าครัวไปเอาสำรับกับแกล้มไปเสิร์ฟให้พวกผู้ชายที่อยู่ข้างล่าง

    แล้วสามสาววัยกลางคนก็จรหายไปจากช่องประตู ทิ้งเพียงความชื่นบานที่แพรวยังทักเองเลยว่า “คุณแม่ท่านดูสดใสเหมือนไม่เหนื่อยจากการเดินทางเลย --- เห็นแค่หลังแว้บ ๆ ก็นึกตกใจว่ากลับไปเป็นสาวเสียแล้ว!”


  • ที่จริงมีผู้หญิงอีกคนที่อยู่ในบ้านคือลูกสาวของน้าลดา ชื่อวัลยาหรือที่ผมได้ยินแม่ของเธอเรียกว่า ‘ไหม’ อายุประมาณสิบเจ็ดปี ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านอนดูโทรศัพท์ในห้องตัวเอง ครั้นเห็นผมเดินผ่านมาก็เด้งตัวขึ้นก่อนยกมือไหว้ พูดด้วยเสียงห้วน ๆ

    “ ’ หวัดดีค่ะ”

    ผมพยักหน้า “ผมลูกชายป้าหมอนนะ”

    “แหม! หล่อจัง” เธอว่าพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินมาเกาะขอบประตูเพื่อคุยกับผมใกล้ ๆ “ชื่ออะไรเหรอคะ?”

    “ภาค” ผมตอบ “เรา…เอ่อ…ไหมใช่มั้ย?”

    “ค่ะ พี่ได้ยินตอนแม่ใช้ให้หนูไปปิดแก๊สสิเนี่ย”

    ผมพยักหน้าพลางนึกในใจ, แหงซี, น้าลดาเป็นคนที่น่าตกใจในเรื่องที่คุยกับพี่น้องเสียงนุ่มนวลแต่เสียงดุกับลูก ๆ เสียอย่างนั้น

    ไหมทำหน้านิ่ว

    “กะแค่แกงป่ามันจะอะไรกันนัก…เอ้อ! หนูก็ว่าแล้วเชียวว่าทำไมยายดวงแกโมโหนัก ทีแรกนึกว่าแกบ่นที่พี่กล้าเพิ่งจะกลับมาป่านนี้ สรุปไม่ใช่แฮะ…”

    “พี่กล้าเหรอ?”

    “หนูเป็นลูกคนเล็กน่ะค่ะ --- ที่พี่เห็นหน้าทีวีน่ะพี่สิน พี่ชายหนู ส่วนพี่กล้าแกเรียน ป. โทกฎหมายอยู่ที่ ’ เมกา ทีแรกพวกตายายแกจะให้กลับมาดูหน้าศพลุงอ้นแต่แม่กับพ่อห้ามแบบหัวเด็ดตีนขาดเลยว่าอย่ากลับมา” เด็กสาวตัดพ้ออีกราวกับเห็นผมเป็นตู้สารภาพบาป “นี่ถ้าเกิดหนูได้ไปเรียนวิท ’ ลัยในเมืองแล้วโดนไล่ว่าอย่ากลับมาเหยียบบ้านนี้แทนพี่กล้าเสียก็ดี ไม่อยากอยู่บ้านนี้เลย…”

    เรื่องครอบครัวของแม่ชักจะซับซ้อนจนจัดระเบียบลำบากเหลือเกินจนผมเผลอขมวดคิ้วนิ่วหน้าใส่น้องเขาโดยไม่ตั้งใจ กระนั้นก็พอจับได้ว่าน้องไหมดูจะชอบปนอิจฉาพี่กล้า, ลุกคนโปรดของครอบครัวน้าลดาที่ตอนนี้อยู่ต่างแดนไม่รับรู้ความเป็นไปในบ้านตนมากขนาดไหน


  • คืนนั้นแม่กับน้อง ๆ ของท่านไม่ได้นอนกันทั้งคืน หลังจากตาพะยอมและหนึ่งพิภพ, หรือพี่ภพสามีของน้าลดาขึ้นบ้าน (ที่จริงก็พี่ภพอายุพอ ๆ กับพ่อผมตอนที่ท่านเสียชีวิตแต่เพราะไม่กล้าเรียกด้วยคำนำหน้าที่แก่เกินพอดีเลยเรียก ‘พี่’ เอาใจไว้แกก่อน) สามพี่น้องก็ลงไปนั่งจับกลุ่มคุยกันที่ม้านั่งหินอ่อนทันที เสียงหัวร่อต่อกระซิกพร้อมเสียงกุกกักในครัวดังอยู่เรื่อย ๆ ส่วนผมเองตลอดทั้งคืนก็นอนบนบนฟูกปูพื้นก่ายหน้าผากเพราะไม่ชินที่ แต่มองดูแพรที่หลับสนิทบนเตียงนอนอันอ่อนนุ่มก็โล่งใจ ครั้นพ้นมาเกือบจะตีหนึ่งแล้วก็ยังข่มตานอนไม่ได้จึงเดินออกไปที่ครัว ก็ยังเห็นน้าลดากับพี่ภพยืนคุยกันอยู่หน้าหม้อข้าวต้มปลามื้อดึกพลางกระซิบกระซาบกับสามี ครั้นทั้งสองรู้ตัวว่าผมมองอยู่ก็หันมายิ้ม ๆ

    “นอนไม่หลับเหรอภาค?” พี่ภพเรียกผม สงสัยว่าแกคงรู้ชื่อผมจากเมียแกนั่นแหละ

    ผมยิ้มน้อย ๆ “ปกติผมนอนแปลกที่ก็ยังงี้ทุกทีแหละครับ…”

    “แม่แกก็เล่าให้น้าฟัง” น้าลดาพูดขึ้นสีหน้าแช่มชื่นประหนึ่งว่าตนไม่เหนื่อยล้าอะไรเลยทั้งที่ทำกับแกล้มแล้วยังต้องทำของกินเลี้ยงต้อนรับแม่ผมอีก “ตั้งแต่ตอนแกเด็ก ๆ เลย…หรือแม่แต่เรื่องที่แกร้องงอแงขอโทรศัพท์ครูเพื่อโทร. หาพ่อแม่ตอนไปทัศนศึกษาเมื่อตอน ป. 6”

    ผมกุมศีรษะอย่างเอือมระอา ไม่คาดไม่ฝันว่าแม่จะเล่าเรื่องนั้นด้วย แต่อย่างไรก็ดีก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าทุกคนดูมีความสุขมากขึ้นเมื่อแม่กลับมาที่นี่

    “เอาข้าวต้มหน่อยมั้ย?” พี่ภพคว้าทัพพีมาตักข้างต้มใส่ชาม “ไปนั่งกินที่ชานหลังบ้านกับพี่ก็ได้มา”

    สรุปแล้วเราก็มีข้าวต้มปลาร้อน ๆ ในมือหนึ่งชามกับบรรยากาศแสนวิเวกเย็นชื้นของสวนผลไม้และท้องฟ้าในคืนเดือนดับเป็นเครื่องชูรส สายลมพัดพากลิ่นหวานคล้ายมะม่วงและลำไยกับกลิ่นดินและน้ำค้างยอดหญ้าปะทะจมูกเบา ๆ

    ครั้นพี่ภพสร่างเมาพอสมควรแกจึงพูดว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะไปตามเรื่องคนที่ฆ่าพี่อ้น” ผมได้แต่พยักหน้ารับเขาจึงพูดต่อ “แกอยากไปดูศพพี่อ้นมั้ย?”

    “แต่นี่ตีหนึ่งแล้วนะครับ” ผมพูด “ไม่ใช่ว่าเขาตั้งที่วัดหรอกเหรอ?”

    “เอ็งนี่พูดจาเหมือนคนในกรุงเลย!” ว่าพลางก็หัวเราะคิกคัก มือหนึ่งตบบ่าผมเสียแรงเหมือนกะจะให้หลังหัก ก่อนจะเปลี่ยนมามีสีหน้าจริงจัง “ตาพะยอมแกตั้งใจว่าจะตั้งศพไว้จนกว่าจะจับตัวคนร้ายได้น่ะ”

    “แล้วฝังหรือเผาเหรอครับ?”

    “ไม่มีหรอก ไอ้ทั้งฝังหรือเผาน่ะ”

    เสียงของอีกฝ่ายเบาจนกลบเสียงหรีดหริ่งโดยรอบจนเกือบทำเป็นไม่ใส่ใจ กระนั้นความหมายอันกำกวมของมันก็สะกิดความหนาววาบให้แล่นไปทั่วร่างโดยมิอาจควบคุมได้


  • พวกเราทิ้งชามข้าวต้มไว้ในอ่างล้างจานก่อนจะเดินลงกระไดหลังบ้าน เมื่อถึงพื้นก็ยังเห็นพวกแม่ ๆ น้า ๆ จิบน้ำลำไยดองเหล้าขาวพลางหัวเราะคิกคัก เป็นภาพที่แปลกตาเสียจนต้องหยุดมองเพราะแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นแม่ดื่มเหล้าเลย…เสียงหัวเราะครื้นเครงเมื่อแม่เล่าถึงความรักอันหวานชื่นกับพ่อดังอยู่ประเดี๋ยวก็เปลี่ยนมาเงียบงันเมื่อแม่พูดถึงช่วงเวลาที่พ่อจากโลกนี้ไป ก่อนจะดังขึ้นอีกครั้งเมื่อแม่เล่าถึงประสบการณ์ที่ครอบครัวเราขึ้นดอยสุเทพเมื่อยี่สิบปีก่อน ราวว่าตรงหน้านั้นคือภาพยนตร์ชีวิตที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันอัดอั้นตื้นตันกำลังเล่นสลับฉากไปเรื่อย ๆ

    ผ่านจากเรือนใหญ่ไปจึงจะถึงงานไหว้ศพของลุงอนันต์ซึ่งตั้งอยู่ที่เรือนเล็กอีกหลังหนึ่ง พี่ภพบอกว่านี่เป็นเรือนของตาเสถียรผู้เป็นปู่คนโตและอดีตสามีของยายดวงแก้ว เข้าใจว่าสักปี พ.ศ. 2508 ที่ตาเสถียรเสียหลังจากไปรบในสงครามเวียดนาม ยายดวงแก้วที่มีลูกชายแล้วถึงสองคนคือลุงชัยวัฒน์ (ซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว หากท่านยังมีชีวิตอยู่ก็คงอายุสักห้าสิบหกปี) กับลุงอนันต์จึงปล่อยให้บ้านหลังนั้นเป็นเครื่องเตือนใจโดยไม่แม้แต่จะไปเหยียบย่างหรือเปลี่ยนแปลงอะไรในนั้น

    เมื่อพวกเราหยุดยืนอยู่หน้าบ้านไม้ยกใต้ถุนสภาพเก่าคร่ำผมก็อดแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่พื้นดูสะอาดสะอ้านดี คงจะทำความสะอาดเพื่อเตรียมงานในนี้โดยเฉพาะอย่างไรก็ดีเพราะความเก่าของไม้ ครั้นพี่ภพก้าวเท้าข้างหนึ่งขึ้นไปเสียงเอี๊ยดอ๊าดก็ดังลั่นราวกับเสียงไก่ขันเมื่อตีสอง กลุ่มของแม่ ๆ หันมามองพวกเราตามมาด้วยเสียงบ่นของน้าไจ๋ “ไอ้ภพ ดึงป่านนี้แล้วมึงยังจะไปทำอะไรที่บ้านนั้นอีก?!” แต่ก็ไม่มีใครลุกมาปรามเราอยู่ดี

    ผมเดินตามชายร่างกำยำไปช้า ๆ ครั้นขาพ้นธรณีประตูก็เห็นว่าข้างในมืดสนิท มีเพียงแสงสลัว ๆ จากท้องฟ้าในยามค่ำคืนช่วยให้พอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร กระนั้นเราก็ต้องรอเวลาอยู่นานกว่าตาจะปรับให้เข้ากับความมืดได้จึงจะเริ่มเห็นโลงศพไม้ยาวประมาณหกฟุตเศษตั้งบนฐานอันมีดอกไม้ประดับ สีอะไรไม่แน่ชัดแต่จะเรียกว่าสวยก็พูดได้ไม่เต็มปาก เหมือนว่าจะดูเยอะเกินไปจนพะรุงพะรังแถมกลิ่นหอมเฉพาะตัวของไม้ดอกแต่ละชนิดก็ตีกันไปมาทำเอาผมคลื่นเหียน ผมเดินเข้าไปใกล้ ๆ มองดูทางซ้ายมือก็พบภาพตั้งหน้าศพ เป็นกรอบสี่เหลี่ยมไม่ใหญ่มากมีภาพของผู้ตาย พร้อมด้วยชื่อและวันชาตะ-มรณะ

    นายอนันต์ พิจิตรวาจิน ชาตะ 24 กุมภาพันธ์ พ.. 2524, มรณะ 12 ธันวาคม 2558

    “เกิดวันเดียวกับแม่เลย…” ผมพูดขึ้น

    พี่ภพกอดอก “มืดขนาดนี้แกอ่านออกได้ยังไง?”

    “เอาน่ะ” ผมทำเป็นไม่ใส่ใจ “แต่แปลกแฮะ ผมนึกว่าจะตั้งที่วัดเสียอีก…เขาจะจัดเป็นบ้านศพแบบคนเหนือเหรอพี่?”

    “สงสัยเยอะจริงเชียว! ของแบบนั้นข้าไม่รู้หรอก เห็นแกนอนไม่หลับเลยจะอำให้แกกลัวเฉย ๆ ดันทำเป็นเจ้าหนูช่างสงสัยซะได้”

    ผมบ่น “ก็ผมไม่เข้าใจประเพณีของที่นี่นี่นา”

    “แกทำเป็นเมิน ๆ แล้วไหว้ศพลุงอ้นก็พอ” ผมยังงง ๆ อยู่แต่ก็พยักหน้าไป คงจะเป็นส่วนหนึ่งของการแกล้งละกระมัง ทว่าผมก็ไม่ได้กลัวอะไรอยู่แล้ว จะโดนหยอกเล่นเป็นการรับน้องเสียสักคืนก็ไม่เสียหาย ระหว่างนั้นแกก็เดินไปหยิบธูปมาดอกหนึ่ง ส่วนไฟแช็กก็ควักจากกระเป๋ากางเกงออกมาให้ “เอ้า”

    ผมจุดธูปขึ้นมา เปลวไฟจากไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้งสาดส่องให้หน้างานศพสว่างขึ้นมาเพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง ต่อจากนั้นก็เห็นแต่เพียงแสงสีแดง ๆ บนปลายธูป และแล้วก็สลายเป็นควันสีเทาบุหรี่ลอยตรงดิ่งขึ้นไปบนขื่อคานเพดานไม้ ผมคุกเข่าพนมมือสวดมนต์ก่อนจะกล่าวขอให้ผู้ตายอโหสิกรรมตนในใจ

    ควันธูปลอยสูงขึ้นไปก่อนจะจางลง กลิ่นกำยานฉุนกึกคลุ้งไปทั่วโถงผสมโรงตีกับกลิ่นดอกไม้ที่ยำมั่วซั่วจนต้องแอบกลั้นหายใจเป็นระยะ ๆ

    พี่ภพแตะไหล่ผมให้รีบกลับเข้านอน “ตาพะยอมแกมองอยู่” แกเสริม

    ผมถอยหน้าหนีแล้วหันกลับไปมองที่บ้านใหญ่ ตอบสนองเร็วเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะห้าทัน --- หน้าต่างทุกบานที่เปิดอยู่ไม่มีเงาของใครเลย

    ผมไม่ได้กลัวตาพะยอมขนาดนั้นหรอก คิดด้วยว่าถึงแกจะเห็นก็ไม่น่าเป็นอะไร แต่เพราะพี่ภพทำหน้าเคร่งเครียดประหนึ่งพวกเราโดนจับได้ว่ามาทำอะไรที่นี่ก็เริ่มใจเสียตาม ๆ กัน





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in