เราได้ทำงานแต่ละที่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าพลังส่วนหนึ่งมาจากความฝัน เราได้ทุนนี้มาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเกิดจากความฝันที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่แล้วถ้าไม่มีฝันล่ะ จะคว้าอะไรไม่ได้เลยหรอ เราว่าไม่นะ บอกเลยว่าหลังเรียนตรงนี้จบ เรายังไม่รู้จะไปทำงานอะไรต่อเลย เรายังไม่ได้คิดเลย
3 ปีหลังเรียนจบ เรามองว่าชีวิตเป็นเหมือนขั้นบันได ที่เราจะต้องค่อยๆ ปีนให้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนึงเราปีนถึงเป้าหมายที่เราปักธงไว้ แล้วก็พบกับความว่างเปล่า มันไม่ได้มีความหมายแบบที่เราคาดหวังไว้ก่อนหน้านี้ ครอบครัวและเพื่อนยังอยู่กับเรา ณ ที่ตรงนั้นแหละ แต่ตัวเราเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง วิวที่เราเห็นเมื่อไปถึงยอดเขาที่เราปักธงไว้มันไม่ใช่วิวที่เราเคยฝันไว้เลย แล้วเราก็ค่อยๆ เข้าใจว่าชีวิตมันไม่ใช่ขั้นบันได ชีวตที่เหลือต่อจากนี้คือการวิ่งมาราธอนต่างหาก เป็นการวิ่งที่ระยะทางยาวมากด้วย ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ และชีวิตไม่ได้จบที่ 30 แกไม่ได้จะตายที่ 30 ไม่ต้องรีบ เราหยุดพักได้เสมอ เราไม่มี progress บ้างก็ได้ เราไม่ได้ทำทุกอย่างเต็มที่บ้างก็ได้ เราพักได้ แล้วเมื่อถึงวันที่เราพร้อม เราจะกลับมาแข็งแรงพร้อมลุยต่อเหมือนเดิม เราเชื่อว่าถึงวันที่เราเรียนจบ เราก็จะคิดออกเองว่าเราจะไปทำงานอะไรต่อ
ไม่มีความฝัน ไม่มีเป้าหมาย ไม่ได้แปลว่าล้มเหลว ให้เวลากับตัวเองหน่อย เชื่อมั่นในตัวเอง ให้การกระทำของเราได้ทวีคูณกับเวลาหน่อย แล้วเดี๋ยวผลลัพธ์ก็คงออกมาให้เห็นเองแหละ
再见 (เดี๋ยวเรียนเทอม 2 แล้วมารีวิวต่อ)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in