เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรียนภาษาจีนฟรี 1 ปีกับทุนขงจื่อWannavatakul Mint
เปิดเทอม 2
  • รีวิวเทอม 2 มาแล้ว หายไปเลยเพราะไปเรียนที่เซี่ยงไฮ้มาค่ะ ใช่แล้ว เราได้มีโอกาสบินไปเรียนที่เซี่ยงไฮ้ในเทอมสุดท้ายร่วมกับเที่ยวบินแรกของการพาเด็กไทยกลับจีน น่าจะเป็นนักเรียนเรียนภาษาคนเดียวเลยแหละที่ได้โอกาสไปเรียนที่จีน แต่โชคก็ไม่ได้เข้าข้างเรามากเท่าไหร่ เพราะเราอยู่ในเซี่ยงไฮ้ทั้งหมด 143 วัน แต่ว่าได้มีอิสระจริงๆ ประมาณ 7 วันรวมวันที่เดินทางกลับ ที่เหลือก็คือกักตัวราวๆ 30 วัน และโดนล็อคดาวน์อยู่ในหอพักมหาลัย 

     

    สำหรับเรื่องการเรียน

    รูปแบบการเรียนการสอนยังคงเป็นออนไลน์ เพราะนักศึกษาชาติอื่นเข้ามาในจีนไม่ได้ การเรียน การส่งการบ้านต่างๆ ยังคงเป็นแบบออนไลน์ เดิมทีเราคิดว่าอย่างน้อยคงได้ไปนั่งในตึกคณะเรียน แม้ว่าจะเป็นออนไลน์ก็ตาม แต่สุดท้าย โควิดฯ ระบาดในเซี่ยงไฮ้ บวกกับมาตรการของเขาคือการล็อคดาวน์ สุดท้ายเราก็ได้แต่อยู่แต่ในหอ วันๆ ก็มีแค่อ่านหนังสือ ทำการบ้าน เตรียมสอบ HSK ไปตรวจโควิด ไถแอพหางาน หรือไปห้องเพื่อนเล่นไพ่ไรงี้ แน่นอนว่าภาษาเราดีขึ้น โดยเฉพาะ 书面语 เพราะว่าต้องอ่านประกาศต่างๆ อ่านข่าวต่างๆ อ่านฉลากสินค้า รายละเอียดสินค้า ถ้าอยู่ไทย คงไม่ได้สากิลตรงนี้ รวมถึงการสื่อสารกับอาอี๋ในหอ อาอี๋ไม่พูดอังกฤษเลย จีนล้วนนนน ก็เลยเพิ่มโอกาสในการสื่อสารภาษาจีนกับคนอื่นไปในตัว (ไม่ใช่แค่อาอี๋ไม่พูดภาษาอังกษนะ อาจารย์ที่คณะ หรืออาจารย์ที่ดูแลนักเรียนต่างชาติยังไม่พูดภาษาอังกฤษเล๊ยยย) 

     

    ต่อมาเรื่องการใช้ชีวิต

    หลังจากกักตัวครบตามที่รัฐและมหาลัยกำหนด (14+7+7) เราก็ได้ย้ายเข้าหอมหาลัย ซึ่งมหาลัยเราได้ล็อคไปตั้งแต่ราวๆ 9 มีนาคม 65 แล้วก่อนที่รัฐบาลเซี่ยงไฮ้จะประกาศล็อคดาวน์ซะอีก ตอนนั้นมีกฎแค่ห้ามสั่งอาหาร (外卖)และห้ามรับพัสดุ ดังนั้นก็จะสั่งของออนไลน์ไม่ได้ ช่วงนั้นเด็กจีนก็ยังอยู่กันเต็มแคมปัส ช่วงเช้าก็ลงมาวิ่ง ช่วงบ่ายก็ลงมาตีแบตกันเต็มสนาม เล่นบาส เตะบอลกัน พอตกเย็นก็นั่งปิคนิกกัน เพราะอากาศช่วงนั้นคือฤดูใบไม้ผลิ อากาศเย็นสบายสุดๆ (สำหรับคนจีน ส่วนเรามนุษย์ขี้หนาวยังใส่ขนเป็ด 555) จนกระทั่งปลายเดือนมีนา รัฐบาลเซี่ยงไฮ้ประกาศล็อคฝั่งผู่ตงทั้งหมด แล้วหลังจากนั้นก็ล็อคยาวเลย สัปดาห์ถัดมาก็เริ่มล็อคฝั่งผู่ซี (เขตที่มอเราอยู่) แล้วก็ล็อคยาว 2 เดือนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 

     

    พอมีข่าวจะล็อคดาวน์ สิ่งที่มหาลัยเราทำคือจัดประชุมสื่อสารกับนักเรียนในคณะตัวเอง ดำเนินการโดยคณบดีเป็นประธาน ก็สงสัยว่าจะประชุมไร โถ ก็แค่เอาประกาศจากรัฐบาลกลางมาเผยแพร่ต่อ พร้อมกำชับว่าเราจะผ่านพ้นไปด้วยกัน ขอให้อดทน ห้าม 提要求 (แปลว่าห้ามเรียกร้องสิ่งใดๆ) ซึ่งประโยคสุดท้ายนี่ฟังแล้วเอ๊ะมาก แบบ หา อะไรนะ กูฟังผิดป้าววะ แต่ไม่จ่ะ นางพูดงี้จริงๆ ซึ่งนี่ก็งงนะ ถ้าไม่พูดออกมาว่าขาดสิ่งนั้นสิ่งนี้ ตรงนี้ตรงนั้นมีปัญหาแล้วจะรู้ได้ไงว่ามีปัญหา แล้วจะแก้ปัญหาทันได้ไง ตอนนั้นก็แค่เอ๊ะๆ พออีก 3 เดือนได้สัมผัสของจริงเลยจ่ะ อีผี 

     

     พอข้างนอกเริ่มล็อคดาวน์หมด ในมหาลัยก็วุ่นวายมาก เริ่มจากสั่งห้ามทานอาหารในโรงอาหาร ให้ตัวแทนไปซื้ออาหารมาแจก ร้านสะดวกซื้อในมอก็คนแน่น คนไปตุนของกัน แล้วหลังจากนั้นไม่นานร้านสะดวกซื้อในมหาลัยก็ถูกสั่งปิด ห้ามขาย 

     

    สำหรับเด็กจีน เราได้ยินมาว่าพวกเขาถูกสั่งให้ห้ามออกจากห้อง ถ้าหอพักตึกไหนมีแต่ห้องน้ำรวม จะมีการจัดเวรว่าใช้ห้องน้ำได้ในช่วงเวลาไหนบ้าง ส่วนเด็กต่างชาติ มีกฎแค่ห้ามออกจากตึก ยังสามารถออกจากห้องตัวเองไปใช้เครื่องซักผ้า ไปกดน้ำดื่ม ใช้ห้องครัวได้ตามปกติ สาเหตุที่กฎของเด็กจีนและเด็กต่างชาติแตกต่างกันเพราะอะไรนั้น เราเองก็ไม่รู้ คือที่นี่ พออาจารย์เค้าได้รับคำสั่งจากเบื้องบนมาปุ๊บ เค้าก็ส่งต่อคำสั่งให้นักศึกษาแบบไม่บอกเหตุผลอะไรเลย พอมีประกาศว่าห้ามออกจากห้องในกลุ่มวีแชทหอเด็กต่างชาติแต่ไม่มีการชี้แจงเหตุผล เด็กก็โวยวายเป็นธรรมดา เถียงกันตั้งแต่ 4 โมงกว่ายัน 6 โมงเย็น สุดท้ายสรุปกลับไปที่เด็กต่างชาติแค่ออกจากตึกไม่ได้  

     

    นอกจากนี้ยังบังคับทุกคนตรวจ PCR (แค่แยงปาก) ทุกวันด้วย โดยแบ่งเป็นบ่ายตรวจ PCR แต่ละตึก และช่วงค่ำให้เด็กตรวจ ATK แล้วส่งผลตรวจเข้ากลุ่มหอ ใครไม่ไปตรวจก็เคาะประตูตามกันถึงห้อง เราเคยปวดท้องเมนส์หนักมาก จะเป็นลมแล้ว ขออาอี๋ว่าตรวจ ATK แทนได้มั้ย อาอี๋ตอบว่าไม่ได้จริงๆ มันเป็นกฎ ค่ะ แล้วเราก็ต้องคลานไปตรวจ แล้วคลานกลับหอ ทรมานมาก

     

    สำหรับคนที่ตามข่าวล็อคดาวน์เซี่ยงไฮ้ที่ผ่านมา คงได้ยินว่าเซี่ยงไฮ้ขาดแคลนอาหาร เราขอคอนเฟิร์มว่ามันคือเรื่องจริง รัฐบาลสั่งล็อคดาวน์ประชาชนแต่อาหารไม่พอ แม้แต่ที่มหาลัยเราอาหารก็ไม่พอ ช่วงสงกรานต์ของไทยคือช่วงที่สถานการณ์ในเซี่ยงไฮ้พีคมาก ซี่งพอสถานการณ์เป็นแบบนี้ มหาลัยก็ใช้วิธีการส่งข้าวกล่องให้นักเรียนตามแต่ละหอแทน เราจำได้ว่ามีวันนึง ข้าวกล่องที่เราได้รับมีโปรตีนอย่างเดียว คือหมูสามชั้นแค่ชิ้นเดียว ซึ่งจริงๆ เราเป็นคนไม่กินหมูติดมันหนาๆ แถมกินเข้าไปหมูยังเหม็นสาปอีก สุดท้ายเราไม่มีทางเลือกก็ต้องยอมฝืนใจกินเพราะต้องเลือกระหว่างอาหารที่ไม่ชอบ มีกลิ่นไม่สะอาดกับโปรตีนชิ้นแรกที่จะได้รับในวันนี้ แต่สุดท้ายก็สู้กลิ่นไม่ไหวอยู่ดี คายทิ้ง น้ำตาไหล ต้มมาม่ากินแทน ช่วงล็อคดาวน์ เราพบว่าความสุขอย่างเดียวที่ไขว่คว้าได้คือเรื่องอาหาร พออาหารผี ก็ผีไปหมดทั้งวัน ยิ่งมาเจอมายด์เซ็ทจากอาจารย์ตัวเองที่เป็นจีนจ๋าก็ยิ่งแดกจุดไปเลยค่ะ พอเล่าให้เค้าฟัง (เพราะเค้าถามว่าเป็นไงบ้าง) เค้าก็แค่ตอบว่าอดทนนะ เดี๋ยวต่อไปจะดีขึ้น เชื่อมั่นในรัฐบาลนะ (ห๊ะ อิหยังวะ กูเวท) เอาจริงๆ ช่วงล็อคดาวน์เรากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบ่อยมาก สัปดาห์นึงต้องมี 2 ครั้ง เหมือนเอาโคว้ตาการกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาใช้ที่นี่ เพราะปกติอยู่ไทยเราแทบไม่กินเลย คือ ในอาหารกล่องที่ได้มาจะเป็นข้าวกับกับข้าว 3 อย่าง บางวันเราทานกับข้าวได้อย่างเดียว บางวันทานกับข้าวได้ 2 อย่าง หรือบางวันก็คือเอากับข้าวไปใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทน ช่วงนั้นเราจะเลิฟมะเขือเทศผัดไข่เป็นพิเศษ เพราะเป็นเมนูเดียวที่เรากินได้ แต่ถ้าวันไหนมีผัดหัวหอมใหญ่มา เราแทบน้ำตาไหล เพราะใครสั่งใครสอนให้มึงผัดหอมใหญ่เดี่ยวๆ อีผี 

     

    มื้อนี้ยังพอกินได้ แต่อาหารก็จะเน้นผักเป็นส่วนใหญ่ ใครไม่กินผักงานนี้มีเครียด

    ช่วงโควิดพีคๆ ขาดแคลนอาหารจะได้กับข้าวแค่ 3 อย่าง แต่พอสถานการณ์ดีขึ้นก็ได้กับข้าว 4 อย่าง

    กับข้าวขวามือไม่ใช่หมูสามชั้นนะ หัวไช้เท้าต้มซีอิ๊วจ้

    ปัจจุบันนี้เปิดมาเห็นรูปนี้ก็ยังกินไม่ลง ใครให้เอากะหล่ำม่วงไปทำสุก แถมเนื้อเป็ดคืออย่างเหนียว เพลียใจ


    ชีวิตเรื่องการกินอยู่ในช่วงล็อคดาวน์ นอกจากมีอาหารกล่องที่โรงอาหารทำให้นักเรียนในหอ ซึ่งยังดีที่สุดท้ายมอไม่เก็บเงิน ก็จะมีแบบฟอร์มประมาณ google form ให้สั่งของใช้ในชีวิตประจำวันและขนม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไรงี้ แต่ไม่มีรายละเอียดอะไรมากมายให้ดู แค่มีชื่อสินค้าและราคา น่าแปลกมากที่เด็กๆ ในหอล้วนเรียกร้องโอรีโอ้ 55555 ไม่คิดเลยว่าคนส่วนใหญ่จะรีเควสโอรีโอ้ นอกเหนือจากการสั่งของก็จะมีถุงยังชีพฟรีจากมอ แจกสัปดาห์ละ 1 ครั้งโดยประมาณ รวมๆ แล้วได้มา 6 ถุง ข้างในก็จะเป็นผลไม้ ข้าวกล่องแบบแค่เติมน้ำเปล่าก็ร้อนเอง (自热锅) ผักดอง(ไม่อร่อย เหม็น แต่จะอร่อยในวันที่กับข้าวผีมากๆ 5555) หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ วิตามินซี และสำหรับผู้หญิงจะได้เซ็ทผ้าอนามัยด้วย (ได้เยอะมาก กลางวันกลางคืนมาครบ มีแบบกางเกงให้ด้วย ซึ่งก็คือมอได้รับบริจาคมาจากบริษัทผู้ผลิตอีกที แต่ก็ขอบคุณค่ะ) ยังไงก็ตาม Freedom is better than free gifts. 


     




    ชีวิตช่วงนั้นของเราผ่านพ้นมาได้ด้วยการโฟกัสกับการเรียน ถ้าเราไม่ต้องเรียน เรามั่นใจว่าเราประสาทแดกแน่นอน แต่เรายอมรับว่าการโดนล็อคนานๆ สุดท้ายเราก็เกิดอาการ lockdown fatigue เราโฟกัสกับการเรียนไม่ได้เลย อยากนอนทั้งวัน ไม่อยากตื่นเลย อยากจะให้ wake me up when lockdown ends แต่สุดท้ายก็ต้องงัดตัวเองขึ้นมาให้ได้ เพราะเราต้องสอบ HSK5 ซึ่งจ่ายค่าสอบไปแล้ว 1000 กว่าหยวน แพงมากกก ใครคิดจะไปสอบที่จีนอยากบอกว่าสอบที่ไทยถูกกว่าค่ะ (เดี๋ยวมีรีวิวแยก) แต่สุดท้ายพอสอบเสร็จ เราก็เหมือนเททุกสิ่ง พออออออ นอนน เล่นน ไม่ได้กลับไปฟิต ขยันเหมือนเดิมแล้ว 

     

    นอกจากสภาพ lockdown fatigue ที่เราเจอ อีกอย่างที่เจอคือคำถามที่ว่า กูคิดถูกมั้ยวะที่มา วนเวียนอยู่ในหัวตลอด จากเดิมที่คิดว่ามาแล้วจะได้ใช้ชีวิต สุดท้ายกลับโดนขังอยู่แต่ในห้อง ข้าวก็ไม่อร่อย แต่พอตั้งสติได้ก็พบว่า ก็ตัดสินใจมาแล้วอะ ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ใช้ช่วงเวลานี้ให้ดีที่สุดแหละ 

     

    ช่วงที่เซี่ยงไฮ้ล็อคดาวน์ เรารู้สึกว่าเมืองมันเศร้ามาก เซี่ยงไฮ้คือศูนย์กลางเศรษฐกิจของจีน ไม่มีใครคาดคิดว่าเซี่ยงไฮ้จะดนล็อคดาวน์ แต่ด้วยนโยบาย zero-covid ของจีน สุดท้ายเซี่ยงไฮ้ก็หนีไม่พ้นการล็อคดาวน์ ในช่วงล็อคดาวน์ คำถามในหัวทุกคนคือเมื่อไหร่จะคลายล็อค แต่ก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนออกมา ถ้าไปถามคนจีนว่าคิดยังไงกับสภาพที่โดนล็อคดาวน์ จะแบ่งคำตอบออกได้ 2 ประเภท 1. เชื่อมั่นในรัฐบาล มันจะต้องค่อยๆ ดีขึ้น (ยังคงหนักแน่น เชื่อมั่นต่อไป เอาเลยค่ะคุณพรี่) 2. 我无语 แปลเป็นไทยคือหมดคำจะพูด ซึ่งพวกเค้าก็ไม่สามารถวิจารณ์อะไรรัฐบาลตัวเองได้ มันผิดกฎหมาย ขนาดมีบทความนึงเขียนออกมาว่าเค้าโดนล็อคดาวน์ก่อนคนอื่นเลย โดนล็อคมา 22 วันแล้ว ไม่มีอะไรจะกิน ผ่านไปไม่ถึงวัน อยู่ดีๆ บทความก็โดนลบ เป็นอันรู้กันว่าเป็นภัยต่อความมั่นฯ ในสายตาร้าบานจีน

    ช่วงล็อคดาวน์ ทุกคนถูกสั่งให้อยู่ในบ้านเท่านั้น บนถนนจะมีเฉพาะเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ทำความสะอาด ซึ่งทุกคนหน้างานจะต้องใส่ชุด PPE

     1 พฤษภาคม 2565 มอเริ่มปล่อยให้นักเรียนออกมาเดินเล่นนอกตึกได้ เริ่มจากตึกละ 15 นาที แล้วค่อยๆ ปรับเพิ่มเป็น 20 นาที ครึ่งชั่วโมง 40 นาที 1 ชั่วโมง 


    ลู่วิ่งในแคมปัสห

    วิวจากระเบียงหอ เห็นหอไข่มุกไกลๆ / ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ แต่มันคือแสนไกล


    พอปลายเดือนพฤษภาคม 2565 บางเขตในเซี่ยงไฮ้เริ่มคลายล็อค แต่จะออกจากบ้านได้ต้องมีใบอนุญาตให้ออกจากบ้าน จะไปซุปเปอร์ได้ต้องมีใบอนุญาต ส่วนนักเรียนจีนเริ่มทยอยกลับบ้านตัวเอง เพราะมหาลัยได้ประกาศไปก่อนหน้าแล้วว่าให้การเรียนการสอนเป็นรูปแบบออนไลน์ทั้งหมด จากเดิมที่ในแคมปัสมีเด็ก 5000 คน ปริมาณเด็กก็ค่อยๆ ลดลง 

     

    1 มิถุนายน 2565 เซี่ยงไฮ้คลายล็อค จากภาพในข่าวและคลิปวีดิโอ เมืองค่อยๆ กลับมาเปิด แต่สำหรับมหาลัย ไม่ค่ะ กฎมหาลัยเข้มกว่าข้างนอก มหาลัยยังคงไม่คลายล็อคอยู่ดี มหาลัยปรับแค่เวลาเดินเล่นนอกตึกของเด็กเป็นช่วงบ่ายทั้งหมด ไม่มีการกำหนดเวลาเป็นชั่วโมงเหมือนเดือนก่อนแล้ว โดยมหาลัยอ้างว่าทำแบบนี้เพื่อให้นักเรียนปลอดภัยจากโควิดและแน่นอนว่าก็ไม่มีการประกาศจากมออีกอยู่ดีว่าเมื่อไหร่ปลดล็อค บอกเลยว่าคะแนนการสื่อสารระหว่างมหาลัยกับนักศึกษาเต็ม 10 เอาไป 1 คะแนนค่ะ ดังนั้นก็จะเกิดการเปิดศึกระหว่างเด็กในมอและอาจารย์หออยู่เรื่อยๆ รวมถึงม่ายด์เซ็ทอาจารย์เองที่เป็นปัญหา เพราะอาจารย์คือจีนมากๆ มีมุมมองที่เป็นลบต่อนักศึกษาต่างชาติทั้งที่ตำแหน่งตัวเองอยู่ในสำนักงานวิรัชกิจ (ดูแลนักเรียนต่างชาติ) พอเป็นแบบนี้ก็ไม่แปลกที่คุยกันไม่รู้เรื่อง 

     

    ราวๆ 10 มิถุนายน 2565 มหาลัยอนุญาตให้เด็กนักเรียนไปซื้อข้าวที่โรงอาหารได้เอง ในที่สุด นักเรียนจะได้เลือกกับข้าวเองแล้ว ไม่ต้องกินข้าวกล่องที่มหาลัยจัดให้อีกต่อไป ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกว่าการได้เลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างอิสระมันช่างหอมหวานเหลือเกิน แต่ก็รู้สึกแบบนั้นไม่นาน เพราะกับข้าวมันก็เดิมๆ กินซ้ำๆ มา 3 เดือน มันเบื่อ แถมอาหารจีนที่โรงอาหารมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบเยอะมาก อาหารค่อนข้างเลี่ยน สุดท้ายก็เบื่ออาหารอยู่ดี ในช่วงนี้นักศึกษาในมหาลัยเหลือแค่หลักร้อยคนแล้ว ไม่ถึงพันคน การจัดการหลายๆ อย่างก็ง่ายขึ้น เพราะจำนวนคนลดลง ไม่ใช่แค่เด็กจีนที่กลับบ้าน เด็กต่างชาติเองก็เริ่มทยอยออกไปอยู่ข้างนอก เพราะทนไม่ไหวกับการจัดการของมหาลัย 

     

    ราวๆ 20 มิถุนายน 2565 มหาลัยเริ่มอนุญาตให้นักเรียนข้ามวิทยาเขตได้ด้วยรสบัสของมหาลัย ซึ่งจะต้องลงชื่อล่วงหน้า 1 วัน ต้องบอกว่าหอพักเราอยู่ในวิทยาเขตรอง ตั้งแต่มาถึง ไม่เคยเข้าไปวิทยาเขตหลักเลย จริงๆ มันก็ใกล้กัน เดินไปได้ 15 นาที แต่เพื่อคุมโควิด ก็บับเบิ้ลแอนด์ซีลเด็กด้วยการจัดรถรับส่ง ก็สะดวกสบายดีแต่ก็เหมือนย้อนไปวัยเด็กที่ไปทัศนศึกษา แค่ตอนนี้อายุ 20 ปลายๆ แล้วเท่านั้นเอง 555  

     

    การได้ข้ามมาวิทยาเขตหลักทำให้ได้มาเห็นว่ามหาลัยเราจริงๆ เป็นยังไง คณะเราหน้าตาเป็นยังไง เดิมเห็นแต่ในสื่อประชาสัมพันธ์ นี่ได้มาเห็นของจริง วิทยาเขตหลักกว้างมากๆ กว้างขนาดที่ขี่จักรยานแทนเดินเถอะ แต่ตลอดทางมีต้นไม้สูงใหญ่ร่มรื่น นี่เป็นสิ่งที่เราไม่ได้เห็นตอนเรียนป.ตรีในกรุงเทพฯ ที่ชูล่า เราดีใจที่ได้แง้มกะลาออกมาเปิดหูเปิดตาตัวเอง แน่นอนว่าช่วงนั้นพอว่างก็ข้ามไปวิทยาเขตหลักเที่ยวเล่น กินข้าวทุกวันเลย แต่ก็ไม่บ่อยมาก เพราะต้องทำการบ้าน 5555 





    28 มิถุนายน วันสุดท้ายของการเรียนแล้ว สอบเสร็จแล้ว แต่มหาลัยยังคงไม่ปลดล็อค -.....- ไม่คิดเลยนะว่าจะโดนขังอยู่ในมอทั้งเทอม คิดไม่ถึงจริงๆ  

     

    30 มิถุนายน วันรับปริญญา ปกติงานรับปริญญาจะจัดที่สนามกีฬาของมหาลัย เพราะเด็กเยอะมาก แต่ปีนี้กลับจัดแค่ในหอประชุม เนื่องจากเด็กเหลือน้อยมาก มีเด็กเข้าร่วมแค่ 2-300 คนเอง เด็กที่ยังอยู่ในหอส่วนใหญ่ก็คือรอรับปริญญานั่นแหละ พอรับปริญญาเสร็จก็กลับบ้านกันละ 

     

    1 กรกฎาคม 2565 วันประกาศอิสรภาพของเด็กหอถงจี้ 55555555 มหาลัยอนุญาตให้นักเรียนทำเรื่องขอออกจากมหาลัยไปทำธุระแล้ว โดยต้องได้รับแอพพรูฟจากอาจารย์ก่อน ถึงจะออกได้ ต้องเขียนเหตุผลอย่างละเอียดว่าจะไปที่ไหน ออกเมื่อไหร่ กลับกี่โมง และต้องไปแค่สถานที่ที่จะไปทำธุรแล้วกลับ ห้ามออกนอกเส้นทาง แต่แหม โดนล็อคมา 3 เดือน เด็กคนไหนมันทำตามกฎบ้างอะ 

     

    เราก็ใช้โอกาสนี้แหละ เขียนว่าขอออกไปห้องสมุดที่วิยาเขตหลัก แต่สุดท้ายก็แว่บไปเที่ยว เพราะเราใกล้จะกลับไทยแล้ว จนวันนึง เรากลับดึก และเราเองเหนื่อยที่จะปิดบัง ก็เลยบอกอาจารย์ไปว่าอยู่ข้างนอก อาจารย์ด่ามาชุดใหญ่ว่าเราไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม มหาลัยแอพพรูฟให้เราไปห้องสมุดไม่ใช่ไปข้างนอก ทั้งสัปดาห์นี้อาจารย์ไม่ให้เราออกไปข้างนอกแล้ว อิหยังวะ ปวดหัว เหน่ยย เวทนากับความคิดค่ะ เอาเลย ไม่ให้ออกก็ไม่ออก จะแพ็คของเหมือนกัน ข้างนอกก็อากาศร้อนมากก 39-41 องศาเกือบทุกวัน อยู่ห้องตากแอร์แพ็คของก็ได้ 

     

    ราว 10 กรกฎาคม 2565 มอเราล็อคอีกรอบเนื่องจากในมอเจอผู้สัมผัสใกล้ชิด และเซี่ยงไฮ้มีการระบาดขึ้นอีกรอบจากร้านคาราโอเกะ เห้อ ปวดหัว วนลูปนรกมากๆ ตู้เย็นเราก็ไม่มีของสดเหลือแล้ว ได้แต่พึ่งพาข้าวโรงอาหารที่เห็นแล้วน้ำตาจะไหล เพราะมันไม่อร่อยจนอยากบอกพ่อครัวว่าขอของสดหน่อยเดี๋ยวทำเองแต่แน่นอนว่าเขาไม่ให้หรอก 

     

    มอเราล็อคจนถึงวันที่ 14 กรกฎา ซึ่งตรงกับวันที่เราต้องไปรับพาสปอร์ตจากศูนย์วีซ่าเพื่อกลับบ้าน จากเดิมที่จะออกจากมอวันที่ 15 เช้าเพื่อไปสนามบิน สุดท้ายเลยออกจากมอตั้งแต่วันที่ 14 ไปรับพาสปอร์ตแล้วไปอยู่โรงแรมแถวสนามบินแทน


    คืนสุดท้ายในเซี่ยงไฮ้ เพิ่งจะทุ่มกว่าๆ แต่ด้วยความเหนื่อยจากการผจญภัยช่วงกลางวัน เราเอนหลังบนเตียงละ ค่อยๆ คิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สมองคิดถึงวันแรกที่ขาเหยียบเซี่ยงไฮ้ วันเวลาผ่านไปไวมาก ราวกับเพียงกระพริบตา วันเวลาล่วงเลยมาถึงวันสุดท้ายของเราในเซี่ยงไฮ้แล้ว เดิมเราไม่คิดจะกลับบ้านเลย คิดจะอยู่หางานทำที่เซี่ยงไฮ้ แต่พอเจอล็อคดาวน์ เจอสภาพจริงๆ ของที่นี่ไป ความคิดเราก็เปลี่ยน เราได้เป้าหมายใหม่ที่มันอยู่ที่ไทยอะ งั้นก็กลับบ้าน ไปทำเป้าหมายให้เป็นจริงละกัน ไม่โอเคก็ออกมาใหม่ ถือว่าตั้งหลักใหม่ไปในตัว


    เซี่ยงไฮ้ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ก็เป็นเมืองที่แข่งขันสูงมาก จังหวะชีวิตเร่งรีบ แต่ในแง่การมาเที่ยว ยังมีอีกหลายสถานที่ในเซี่ยงไฮ้ที่น่าไปและเรายังไม่ได้ไปเยือน เส้นทางขี่จักรยานเลียบแม่น้ำที่เราอยากไปลองดู แต่สภาพอากาศข่างไม่เป็นใจเสียเลย พิพิธภัณฑ์อวกาศอันยิ่งใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ที่ใครๆ ต่างก็แนะนำ แต่ตั๋วกลับไม่มีเหลือเลยแม้แต่ใบเดียว อนาคตเราจะกลับมาเที่ยวเซี่ยงไฮ้อีก หวังว่าอย่างน้อยใน 2 ปีข้างหน้า เราจะได้กลับมาเยือนเซี่ยงไฮ้อีกครั้ง มาร่วมงานรับปริญญาพี่คนไทยและเพื่อนต่างชาติ หวังว่า ณ เวลานั้นสถานการณ์โควิดคงดีขึ้นกว่าปัจจุบัน 


    เช้าวันที่ 15 เราเดินทางกลับไทย จบ 143 วันในเซี่ยงไฮ้แบบที่ได้เรียน ได้ภาษา ได้เงินทุนรายเดือน และได้เที่ยวน้อยหน่อย 

     

    เล่ามาถึงตรงนี้ เราอยากขอสรุปให้นักเรียนภาษาเตรียมใจไว้หน่อยสำหรับการไปเรียนต่อที่จีนในช่วงที่โควิดยังไม่จบ 


    1. วีซ่า หลังจากที่เราได้วีซ่านักเรียนเข้าจีน วีซ่าจะมีอายุ 30 วัน เราต้องรีบไปเปลี่ยนเป็น resident permit (居留许可) ก่อนที่วีซ่าจะหมด ซึ่งกว่าจะไปทำ resident permit ได้ ก็ต้องไปตรวจสุขภาพก่อน ใช้เวลารอผลตรวจสุขภาพ 4 วันทำการ สิ่งที่เราเจอคือพอมอล็อค คาดการณ์ลำบากว่าเมื่อไหร่จะได้ไปตรวจสุขภาพ แล้วการตรวจสุขภาพนี้คุณต้องจองไปก่อน เขาไม่รับวอล์คอิน ถ้าคิวเต็มก็ต้องรอ หรือมอคลายล็อคแล้ว ออกไปตรวจสุขภาพได้ แต่พอจะไปรับผล มอล็อคอีกแล้ว ออกไปรับไม่ได้ ให้คนอื่นรับผลแทนไม่ได้ ก็ต้องรออีกว่าแล้วเมื่อไหร่จะได้ไปทำวีซ่า ซึ่งการทำวีซ่าก็ต้องโทรไปจองอีก ถ้าคิวเต็มก็ต้องรอ พอโดนล็อคแล้ว มันยากที่จะตอบว่าเมื่อไหร่จะคลายล็อค ยากที่จะคาดการณ์ วางแผนล่วงหน้า ก่อให้เกิดความวิตกกังวลโดยไม่จำเป็น ถามว่าทำไมต้องกังวล เพราะว่าเมื่อวีซ่าหมดเท่ากับเราเป็นผีน้อย เราจะอยู่ได้แต่ในมอนะคะ อยากไปอยู่โรงแรมข้างนอกแต่วีซ่าหมด เราไม่แน่ใจเลยนะว่าจะเช็คอินได้มั้ย 


    2. สำหรับนักเรียนทุนระดับปริญญา ตามกฎมอเรา ถ้ายังไม่มีบัตรธนาคาร พอไปถึงแล้วโดนล็อคดาวน์ก็ต้องใช้ชีวิตด้วยเงินตัวเองไปก่อน เพราะกว่าจะทำบัตรธนาคารได้ คุณต้องได้ Resident Permit ก่อน บางมหาลัยอาจหาทางต่อรองขอเงินสดได้ แต่มหาลัยเราไม่ให้ เตรียมเงินสำหรับ 3-4 เดือนแรกไปด้วย


    3. การถูกจำกัดอิสระจากการล็อคดาวน์ ถ้าจิตใจไม่แข็งแรง มันเครียด แม้มหาลัยจะมีบริการให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา แต่อาจารย์ที่ไม่แคร์ก็มี เช่น พอเด็กบอกอาจารย์ว่าเครียดมาก รู้สึก depressed อาจารย์บางคนก็พูดว่าก็ไปหา 心理医生 เค้าช่วยไรไม่ได้ การตอบแบบนี้ไม่ผิด แต่อาจารย์ไม่มี empathy 

     

     

    สำหรับเรื่องเงินทุนรายเดือน 

     

    ปกติมหาลัยจะโอนเงินทุนรายเดือนให้นักเรียนผ่านบัญชีธนาคาร แต่ของเราเป็นกรณีพิเศษ คือพอไปถึงต้องกักตัว 30 วัน กักตัวครบวีซ่าหมดแล้ว แต่โดนล็อคดาวน์ต่อ พอมอคลายล็อคก็เรียนจบแล้ว สุดท้ายเราทำได้แค่วีซ่า 停留 เป้นวีซ่าที่ให้เราอยู่ในจีนได้อีก 1 เดือน หลังจากนั้นต้องกลับบ้านถ้าไม่ได้วีซ่าประเภทอื่น ผู้ถือวีซ่า 停留 จะไม่สามารถเปิดบัญชีธนาคารได้ ดังนั้นมหาลัยเราจึงจ่ายเงินทุนรายเดือนเป็นเงินสดให้เรา ไม่มีการจ่ายย้อนหลังเนื่องจากเราเป็นนักเรียนที่เข้าปี 2020 เริ่มจ่ายเงินวันที่ขาเราเหยียบเข้าประเทศจีนและนับจนถึง 31 กรกฎาคม 2565 ซึ่งสุดท้าย เราได้รับเงินทุนรายเดือนเป็นเงินสดราวๆ สัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน 2565 

     

    แล้วสรุปแล้วควรไปมั้ย

    หรือควรเรียนออนไลน์อยู่บ้าน เพราะก็แค่เรียนภาษาระยะสั้น (ตอบในมุมมองเด็กเรียนภาษาเท่านั้น) 


    ถ้ามีโอกาสก็ไปปปปปปปเหอะ


    สาเหตุที่เราเลือกไปแม้จะต้องกักตัวและมีค่าใช้จ่ายเยอะมาก ทั้งค่ากักตัว ค่าตรวจโควิดก่อนบิน ค่าตั๋วเครื่องบินที่แพงกว่าช่วงเวลาปกติมากๆ สาเหตุหลักคือเราไม่เคยไปเรียนต่อต่างประเทศเลย นี่คือโอกาสสุดท้ายแล้ว เพราะเรามองแผนชีวิตแล้วยังไม่มีแพลนจะเรียนปริญญาโท ดังนั้นถ้าเราไม่ไปตอนนี้ เราต้องรออีกทีคือไปเรียนโท หรือถ้าสุดท้ายเราไม่เรียนโท แปลว่าเราจะไม่มีโอกาสไปเรียนต่างประเทศแล้ว และแน่นอนว่าการเรียนภาษาต้องอาศัยสิ่งแวดล้อม เรากล้าพูดได้เต็มปากว่าภาษาเราดีขึ้นเพราะไปเรียนที่นั่น 

     

    ถัดมาคือสภาพการเงินของเรา ณ ตอนที่ตัดสินใจพร้อมกับการไปเรียน เราทำงานและมีเงินเก็บแล้ว ไม่ต้องรบกวนที่บ้าน จึงตัดสินใจไป 

     

    สุดท้าย ตอนนั้นเราแพลนไว้ว่าจะลองหางานทำที่จีน แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจกลับไทย การมาเรียนต่อ  ได้มาใช้ชีวิตเองในแบบที่ไม่มีคนในครอบครัวกำหนดชีวิตทำให้เราชัดเจนกับตัวเองขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง จริงๆ แล้วเราชอบอะไรไม่ชอบอะไร เราเป็นคนยังไงกันแน่ เรื่องเป้าหมายชีวิต เป้าหมายการทำงานตัวเอง ถึงจะไม่ได้ทำงานที่นั่นอย่างทีเคยคิดไว้ แต่การที่เรากลับมา เราก็ไม่เสียใจที่กลับมา (เดี๋ยวรอเจอ PM2.5 กับน้ำฟุตบาธดีดใส่เท้าแล้วอาจจะเสียใจก็ได้ 5555555 

     

    ดังนั้นสรุปแล้ว สำหรับเรา โอกาสการเรียนต่อครั้งนี้คุ้มมากๆ ย้อนเวลากลับไปเราว่าเราก็ยังเลือกที่จะไป เราไม่เสียใจที่บินไป แค่เสียดายที่ไม่ได้ explore Shanghai มากเท่าไหร่ การไปเรียนครั้งนี้ทำให้เราได้เห็นประเทศจีนด้วยตาตัวเอง ถ้าไม่ได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง เราอาจจะยังเชื่อสิ่งสวยงามด้านเดียวที่สื่อนำเสนอออกมาก็ได้ ทั้งที่จริง มันมีมากกว่านั้นอีกหลายด้าน 

     

    สำหรับใครที่อยากไปเรียนที่นู่นแต่กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ถ้ายังสามารถเลื่อนภาคเรียนได้ อาจจะเลื่อนไปก่อนจนกว่าสถานการณ์โควิดจะดีขึ้น อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องจ่ายเยอะ ไม่ต้องเสี่ยงที่จะเจอกับความไม่แน่นอน ความเครียดโดยไม่จำเป็น และสถานการณ์ที่คาดการณ์อะไรไม่ได้ 

     

    สำหรับคนที่มาเก็บข้อมูล วางแผนจะไปเรียนต่อที่จีน ถ้ายังไม่เลือกมหาลัย ตอนที่เลือกมหาลัยนอกจากดูว่าวิชาการของมอที่เลือกดีมั้ย ก็ลองถามคนที่เขาเรียนอยู่มอที่เราสนใจด้วยว่า International School Office (留学生办公室) ดูแลเด็กโอเคมั้ย เพราะของมอเรา ขนาด ranking ดี มีชื่อเสียง แต่ International School Office ไม่ผ่านเลย แม้แต่อาจารย์ที่ดูแลเด็กเรื่องวีซ่า ยังไม่รู้ว่าเราจะต้องจัดการวีซ่ายังไง เป็นกลุ่มคนไทยด้วยกันเองนี่แหละที่ช่วยๆ กัน  

     

    ถ้าให้รีวิวมอตัวเองสั้นๆ หลังจากสัมผัสทั้งการเรียนออนไลน์ที่ไทยและไปใช้ชีวิตที่นู่น เราขอสรุปง่ายๆ ว่า 

    จุดแข็ง : วิชาการแน่นมาก มอเราไม่ถึงกับเด่นด้านภาษาจีน แต่ก็ไม่แย่ แต่หลักสูตรภาษาระยะสั้นที่มอจัด เราว่าแน่นมากๆ พัฒนาภาษาเราได้เป็นอย่างดี

    จุดอ่อน : mindset อาจารย์ที่ดูแลเด็กต่างชาติแย่มาก มองเด็กเป็นศัตรู หัวจะปวด

     

     


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in