เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
All of meTamago
นิรันดร์
  • 1.

    เสียงเปียโนเพี้ยนๆแว่วหวานเป็นทำนองอ้อยสร้อยแสนคุ้นหูผสมรวมกับเสียงฟ้าร้องด้านนอกที่กำลังดังก้องสะท้องซ้ำไปซ้ำมา ไอเย็นชื้นฉ่ำแทรกซึมผ่านผนังสีขาวหม่นเข้ามาอย่างเงียบงัน ห้องกว้างสลัวมืดด้วยว่าไฟนีออนทุกดวงบนเพดานกำลังดับและติดสลับกันไปอย่างนั้น แล้วจากนั้นก็ดับลงกะทันหัน--ทุกอย่างมืดมิดลง ฉันต้องคลำหาเทียนในชั้นวางของโดยอาศัยแสงซีดๆของหลอดไฟข้างถนนเบื้องนอกเข้าช่วย ผ้าม่านสีขาวชายลูกไม้พัดสะบัดตามแรงลมกรรโชกที่พัดผ่านเข้ามา เปลวเทียนวูบวับไหวเอน ย้อมบ้านทั้งบ้านให้กลายเป็นสีส้มสลัว 

    ความหนาวเยือกรุกคืบเข้าหาฉันทั้งๆที่ฉันสวมเสื้อไหมพรมหนานุ่มแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ท่ามกลางกลิ่นฝนกลับมีบางกลิ่นปะปนอยู่--กลิ่นหอมอ่อนของลาเวนเดอร์ เหมือนกลิ่นน้ำหอมที่หล่อนชอบใช้โชยฟุ้งติดปลายจมูก น้ำหอมของอะไรนะ?  น่าจะ Yardley กลิ่น English Lavender ล่ะมั้ง? ภาพเด็กสาวตัวเล็กคนหนึ่งที่กำลังแตะแต้มน้ำหอมบนข้อมือและต้นคอฉายวาบเข้ามาในความคิด แผ่นหลังเนียนนุ่มอุ่นละมุนยามเมื่อฉันประทับรอยจูบ แสงแดดอ่อนจางยามเช้าสาดส่องลอดผ่านน้ำหอมขวดเล็กใสบนโต๊ะเครื่องแป้ง 

    เงามืดทะมึนเห็นอยู่ลางๆ ณ ตรงนั้น--ที่เก้าอี้ตัวเล็กหน้าเปียโน แสงวูบวาบจากสายฟ้าส่องให้เห็นใบหน้าของหล่อนอยู่รำไร นิ้วเรียวโปร่งแสงกำลังพรมอยู่เหนือแป้นคีย์สีขาว ชุดนักเรียนม.ปลายที่ฉันเกือบจะลืมไปแล้ว ฉันสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นที่คุ้นเคย--มันฉายชัดเป็นประกายใส รอยยิ้มอ่อนหวานของหล่อนยังเหมือนเดิมเมื่อวันวาน

    "คิดถึงจัง...น้ำ"

    เสียงของหล่อนแผ่วเบาและเลือนลางไม่ต่างจากรูปกายที่ปรากฏให้เห็น...ความห่วงหาอาลัยเต็มแน่นในน้ำเสียง...

    สมองส่วนเหตุผลของฉันกำลังปฏิเสธภาพที่เห็นตรงหน้า แต่ความไร้เหตุผลของฉันกลับยอมรับว่านั่นคือเดียร์จริงๆ...เดียร์ที่เป็นรักแรกของฉัน เดียร์ที่เพิ่งโดนรถชนตายไปเมื่อไม่กี่วันก่อน 

    หล่อนตายไปแล้ว...ทว่าภาพที่ฉันเห็นตรงหน้านี่มันคืออะไรกันล่ะ...



    2.

    ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาเตียงกว้างที่ฉันนอนอยู่ก็ว่างเปล่าและเย็นชืด--ผู้หญิงคนเมื่อคืนหายไปแล้ว หล่อนหลงเหลือไว้เพียงแค่โน้ตเขียนเบอร์โทรติดต่อสั้นๆด้วยลายมือน่ารักตัวกลมๆแบบที่วัยรุ่นชอบใช้กัน ปิดท้ายด้วยรอยจูบสีแดงสดบนกระดาษ น้ำหอมกลิ่นหวานเอียนและรอยยับย่นบนเตียงเตือนให้นึกถึงบทรักร้อนแรงที่เพิ่งผ่านพ้นมา ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหล่อนชื่ออะไร--นาทีนั้นฉันก็แค่ไม่อยากอยู่คนเดียวเท่านั้น...และหล่อนก็บังเอิญผ่านมา--เราพบกันท่ามกลางแสงสลัวของผับ ดนตรีอึกทึก ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นของหล่อนดึงดูดฉัน...เพราะมันชวนให้หวนนึกถึงใครอีกคน

    ฤทธิ์ของเหล้าที่ดื่มไปเมื่อคืนก่อเกิดอาการปวดระบมตุบๆที่หัว ความมืดมิดและเงียบงันของกลางคืนดูจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ข้อความจากเพื่อนเก่าที่ได้อ่านสั่นสะเทือนกำแพงความเข้มแข็งของฉันจนปริร้าว ฉันอ่อนแอเกินกว่าจะผ่านค่ำคืนเหล่านั้นไปได้

    เซ็กส์และเหล้าช่วยให้ลืมความเป็นจริงไปได้ชั่วขณะ--เหมือนมอร์ฟีนที่ฉีดให้กับคนไข้ที่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวแต่พอหมดฤทธิ์มันแล้ว...บาดแผลเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปไหนเลย

    ครืด...ครืด...

    เสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือขัดจังหวะการคิด ฉันกระพริบตาสองสามครั้งเพื่อเรียกสติก่อนจะกดรับ 

    "ว่าไง"

    "เก็บของเสร็จรึยังเจ๊"

    เสียงทุ้มห้าวที่ฟังดูกวนประสาทดังแว่วมาตามสาย

    "เสร็จแล้วเนี่ย มึงจะมาเมื่อไรล่ะ"

    "ไปสักเที่ยงๆละกัน"

    "อ้อ โอเคๆ ถึงแล้วก็โทรบอกอีกที"

    พอกดวางสายทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะว่างเปล่าอีกครั้ง อาการปวดหัวตุบๆยังไม่หายไปไหน ฉันทิ้งตัวลงนอนกับเตียงนอน กวาดตามองห้องเล็กๆที่เต็มไปด้วยกล่องอย่างช้าๆ แมคจัง--คอมพ์ลูกรักถูกยกมาวางกับพื้นเตรียมตัวเดินทางเรียบร้อย รวมถึงของสะสมอย่างอื่นๆด้วย เสียงแอร์ ฯ ดังหึ่งๆ โอบล้อมรอบตัว ไอ้ยิ้ม--หนูแฮมเตอร์ตัวอ้วนกลมถีบกงล้อคึ่กๆอย่างไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ กระจกหน้าต่างตัดกั้นฉันกับ

    โลกภายนอกที่วุ่นวาย ย่านกลางเมืองกรุงเทพ ฯ ในตอนเก้าโมงเช้าคลาคล่ำไปด้วยรถยนต์มากมายเรียงต่อกันเป็นแถวเหมือนโดมิโน่ โลกกำลังเดินหน้าต่อ มีเพียงฉันที่หยุดนิ่ง นอนจมอยู่บนเตียง

    ภาพหลายภาพวูบวาบเข้ามาในความคิด--ยามสายของวันเสาร์ที่บ้านหลังนั้น ห้องที่มืดสลัว และริมฝีปากนุ่มที่อยู่ตรงหน้า เฉดสีน้ำตาลของดวงตาดูอ่อนขึ้นเมื่อต้องแสงรำไรจากหน้าต่างบานเล็ก--จูบแรกที่เงอะงะ แสนไร้เดียงสา

    ฉันถอนหายใจ ฝืนใจลุกขึ้นจากเตียงไปชงกาแฟกิน--กลิ่นหอมๆและรสชาติเข้มข้นช่วยทำให้ปมยุ่งเหยิงในความคิดคลายๆลงมาบ้าง กาแฟดำเข้มทิ้งรสขมฝาดพร่าพรายบนลิ้น...แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังชอบที่ลิ้มรสชาติซ้ำแล้วซ้ำเล่า...

    ไอ้นายมาถึงที่ห้องตอนเกือบเที่ยง บ่นอุบอิบเรื่องรถติดบ้าง หิวข้าวบ้าง ไม่หยุดปาก ไปๆมาๆก็พาลมาบ่นเรื่องของที่ต้องขนว่าทำไมเยอะแยะอะไรขนาดนี้ หนังสือจะเก็บไว้ถมที่รึไง โตตั้งยี่สิบเจ็ดแล้วยังจะอ่านการ์ตูนอีกและสุดท้ายคำบ่นก็จบลงหลังจากที่ฉันฟาดเผี๊ยะไปกลางกบาลหนึ่งทีพร้อมกับคำด่าสั้นๆอีกสองสามประโยค...ไอ้น้องบ้านี่ เป็นผู้ชายจะขี้บ่นอะไรนักหนา แค่เรียกมาใช้งานนิดๆหน่อยๆจะเป็นจะตาย

    "ละเจ๊นึกคึกอะไรเนี่ย เป็นพนักงานอยู่ในบริษัทใหญ่ๆดีๆไม่ชอบ จะลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์"

    มันถามหลังจากที่ขนข้าวของขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว--แน่นอนว่าฉันให้มันขับ เรื่องอะไรจะเหนื่อยขับเอง มีน้องให้ใช้ก็ต้องใช้สิ

    "ก็ขี้เกียจตื่นเช้าไปทำงาน ไม่อยากอยู่ในเมืองด้วย เบื่อรถติด"

    ฉันตอบไปอย่างนั้น...ทว่าภาพในความคิดกลับเป็นภาพของเด็กสาวคนหนึ่งที่นอนคว่ำอ่านหนังสืออยู่บนเตียงนอนในห้องนอนชั้นสองของบ้าน ทั้งๆที่เป็นห้องของฉันแท้ๆแต่เจ้าหล่อนกลับทำตัวตามสบายเหมือนเป็นห้องตัวเอง--ลมยามบ่ายพัดเอื่อยๆพาให้เรือนผมสีเข้มของหล่อนพลิ้วไหว ดวงตาคู่นั้นช้อนขึ้นมองเมื่อรู้สึกตัวว่าฉันเดินเข้าไปก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้าง

    "แล้วก็เลยจะกลับไปอยู่บ้านหลังนั้นอ่ะนะ"

    "อืม"

    เสียงเพรียกจากความหลังดังก้องสะท้อนไม่หยุด--คล้ายว่าจะได้ยินเสียงเธออีกครั้ง 

    "แล้วคอนโดนี่มึงจะเอาก็เอาไป ใกล้ม.มึงนี่"

    "ขอบคุณคร้าบเจ๊" 

    ให้ตายเถอะ...ฉันล่ะเกลียดรอยยิ้มกะล่อนของน้องตัวเองจริงๆ 

    แอร์รถเย็นฉ่ำชื่นผิดกับอากาศข้างนอกที่กำลังร้อนระอุ สังเกตได้จากเหงื่อไคลของคนเดินถนนที่ชุ่มโชก เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระกันอยู่สักพักในขณะที่รถแล่นออกจากย่านใจกลางเมือง ออกสู่ย่านชานเมือง วิวทิวทัศน์รอบข้างก็เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากตึกสูงใหญ่ก็กลายเป็นบ้านคนประปรายและต้นไม้สีเขียวซีดๆกับคลองที่ขนาบถนน--ฉันเอนตัวพิงเบาะรถ ทอดสายตามองวิวที่คุ้นเคย...แต่ก็ไม่คุ้นเคย ระยะเวลาเกือบสามปีที่ฉันไม่ได้มาแถวนี้ทำให้มันแปรเปลี่ยนไปจนแปลกตาแม้ว่าจะเป็นสถานที่เดิมก็ตาม 

    แล้วรถก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังนั้น...ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น รอคอยอย่างแสนงอนให้ฉันกลับไปอีกครั้ง... 

    บ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนสีขาวสองชั้นขนาดกลางที่สร้างอย่างเรียบง่าย--มันดูใหม่ขึ้นนิดหน่อยเพราะป๊าเพิ่งปรับปรุงไปเมื่อปีที่แล้ว บ้านหลังนั้นตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ใหญ่ครึ้มเขียว ประตูรั้วเหล็กหลังบ้านเชื่อมต่อกับศาลาท่าน้ำ สายน้ำสีหม่นจากคลองไหลผ่านหลังบ้านตกต้องแสงแดดยามบ่ายเป็นประกายระยับ

    เมื่อก้าวเข้าสู่ที่แห่งนี้...กาลเวลาของฉันก็ดูราวกับหมุนย้อนกลับไปสู่อดีตที่ลืมเลือนไปอีกครั้ง 

    "ไม่ได้มานานแล้วก็คิดถึงเหมือนกันนะเนี่ย ตั้งแต่เราย้ายบ้านไปแถวสะพานใหม่ก็ไม่ได้มาบ้านนี้เลย"
    นายเปิดประตูรั้วไม้ระแนงสีขาวหน้าบ้าน มันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเพราะไม่ค่อยมีคนมาเปิดเท่าไร สนิมเกาะเขรอะบ่งบอกความเก่าเก็บ พุ่มดอกแก้วและดอกมะลิหน้าบ้านยังอยู่ดีเหมือนเดิม เมื่อลมพัดมาเพียงเบาๆกลิ่นก็โชยคลุ้ง--กลิ่นของความหลังก็เช่นกัน...มันซึมติดอยู่ทุกซอกทุกมุมของบ้านหลังนี้

    "ชิงช้าตรงนั้นล่ะ ?"

    ภาพความทรงจำมากมายคล้ายจะเล่นวนซ้ำอีกครั้ง--เด็กหญิงตัวน้อยที่หัวเราะอยู่บนชิงช้าโดยมีป๊าคอยแกว่งไกวให้--เด็กหญิงวัยประถมที่ปีนต้นมะม่วงกับน้องชาย--เด็กสาวม.ปลายสองคนที่นั่งอยู่บนชิงช้าตัวเดียวกัน เสียงหัวเราะแผ่วเบาและถ้อยคำที่รู้กันอยู่เพียงสองคน

    "อ๋อ ป้าแสงบอกมันพังไปเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ พายุเข้า ลมแรง กิ่งตรงนั้นเลยหัก"

    "อ้อ"

    ฉันรับคำแค่นั้นแล้วเดินตามนายเข้าไปในบ้าน มันไม่ได้สกปรกหรือมีฝุ่น แต่ดูไร้ชีวิต กลิ่นอับชื้นบ่งบอกว่าไม่มีคนอยู่อาศัยมานานแค่ไหน เครื่องเรือนบางชิ้นถูกนำไปไว้ที่บ้านหลังใหม่ ทว่าบางชิ้นก็ถูกทิ้งไว้ที่นี่ ส่วนมากก็เป็นพวกเครื่องเรือนไม้ที่ใหญ่เทอะทะไม่เข้ากับสไตล์ของบ้านใหม่หลังนั้น หรือไม่ก็ของเก่าที่หมดประโยชน์แล้วแต่ก็ยังทิ้งไม่ลง อย่างเช่นเก้าอี้โยกตัวนั้นที่อยู่ในห้องรับแขก กับเปียโนที่เสียงเพี้ยน ฉันเลิกสนใจมันไปตั้งแต่ตอนขึ้นปีสาม...นับตั้งแต่ฉันเลิกเล่นเปียโนก็ไม่มีใครใส่ใจมันอีก

    กล่องข้าวของถูกขนย้ายลงมาในบ้าน กล่องแล้วกล่องเล่า ฉันลองขึ้นไปสำรวจบนชั้นบน ห้องนอนของฉันยังสะอาดเอี่ยมเหมือนเดิม ผ้าปูที่นอนสีครีมถูกปูไว้แล้วเรียบร้อยเตรียมพร้อมนอน

    "ผมให้ป้าแสงมาทำความสะอาดแล้วเมื่อวาน ป้าแกถามถึงเจ๊ด้วยนะ บอกคิดถึง ไม่ได้เจอนานเลย" ไอ้นายโผล่หน้ามาตรงประตู มือหอบกล่องหนังสือพะรุงพะรัง 

    "อ่า ไว้เดี๋ยวค่อยไปทักทายแกทีหลังแล้วกัน" ฉันตอบพลางวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนเตียง "แกยังทำขนมขายเหมือนเดิมมั้ย?"

    "อื้อ ยังทำอยู่นะ"

    "ดีละ กูอยากกินข้าวเหนียวเปียกลำไยของป้าแสง ในเมืองแม่งแพงชิบหาย ไม่อร่อยอีกตะหาก"

    เราใช้เวลาเกือบตลอดทั้งบ่ายในการจัดของที่ย้ายเข้ามาใหม่ให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งหนังสือ ตุ๊กตา และของสะสมต่างๆของฉัน มันดูแปลกใหม่เมื่อมาอยู่ในบ้านหลังนี้ เหมือนกับเป็นแขกแปลกหน้าที่ยังไม่คุ้นเคย และฉันเองก็ยังไม่คุ้นเคยกับบ้านหลังนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นบ้านที่ฉันอยู่มาตั้งแต่เล็ก แต่เวลาสามปีที่
    ฉันจากไปก็ทำให้กลายเป็นคนแปลกหน้าของที่นี่ไปเสียแล้ว--ตำแหน่งของตู้ ตำแหน่งของก๊อกน้ำ ประตูหลังที่เปิดออกไปหาสวนหลังบ้าน--ฉันงุ่มง่ามและเงอะงะในการทำความรู้จักบ้านหลังนี้ใหม่อีกครั้ง

    มันเป็นงานที่กินแรงไม่น้อยเลยทีเดียว เล่นเอาฉันนอนกองบนโซฟาในห้องรับแขกอย่างหมดแรง พัดลมเพดานหมุนวนช้าๆอยู่เหนือหัว ไรฝุ่นเต้นริกๆในอากาศ ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ปลิดปลิวร่วงโรยลงจากต้นเป็นฝนสีชมพู--เธอชอบดอกไม้สีชมพูนั่น...รอยยิ้มของเธอไหววับขึ้นมาในความคิดทั้งๆที่ฉันไม่ต้องการ มันเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยห้ามมันได้เลย ก็เหมือนๆกับเวลาจามหรือกระพริบตานั่นแหละ

    "เออเจ๊"

    "หืม? ว่าไง"

    ฉันหันไปมองน้องชายที่นอนกองอยู่ข้างๆด้วยสภาพไม่ต่างกัน แก้วน้ำแดงเย็นฉ่ำวางอยู่บนโต๊ะเตี้ยตรงหน้า หยดน้ำข้างแก้วหล่นแหมะลงกับพื้น

    "แล้ววันนี้เจ๊จะไปงานศพพี่เดียร์ป่ะ"

    แสงแดดยามบ่ายที่อ่อนจางโรยราทอดทอเข้ามาในบ้านที่เก่าและอับชื้น...ทว่าในกลิ่นอับๆนั้นจมูกของฉันกลับได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคย...กลิ่นคล้าย...ลาเวนเดอร์...

    "ไปดิ...กูก็ต้องไปอยู่แล้วดิวะ"



    3. 

    ช่อดอกซ่อนกลิ่นสีขาวสลับกับใบไม้สีเขียวประดับประดาอยู่ใต้รูปสีขาวดำรูปหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโลงสีขาวลายทอง หญิงสาวในรูปดูคุ้นตาแต่ก็แปลกใหม่ ผมยาวกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอเล็กน้อยเครื่องสำอางขับใบหน้าให้ดูสวยหวานขึ้น ดวงตาเป็นประกายคล้ายจะยิ้ม หล่อนนอนสงบเงียบอยู่ในนั้น ในกล่องเล็กแคบที่ล้อมรอบด้วยดอกไม้โทนสีขาว กลิ่นดอกซ่อนกลิ่นคละเคล้ากับกลิ่นธูปทำให้ฉันฉุนจนเวียนหัว

    มีคนมากมายในงานศพของหล่อน บางคนฉันก็รู้จักและบางคนฉันก็ไม่รู้จัก พวกเขาเหล่านั้นก้มลงกราบหน้าโลงสีขาวนั่นแล้วก็ร้องไห้ หยดหยาดน้ำตาเปรอะเปื้อนปนกับเสียงสะอื้น--เดียร์เป็นที่รักของเพื่อนมาตลอด หล่อนมักจะอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนเสมอ...แม้กระทั่งตอนนี้

    "อ้าวน้ำ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะมึงอ่ะ"

    เสียงหนึ่งดึงฉันวูบขึ้นจากห้วงภวังค์ เจ้าของเสียงคือสาวสวยหุ่นเพรียวผิวสีแทนคนหนึ่ง ฉันต้องใช้เวลานึกอยู่เกือบนาทีถึงจะจำได้ว่านั่นคืออีเบลล์--กะเทยตัวอ้วนกลมเมื่อตอนม.ปลาย

    ช่วงเวลาเกือบห้าปีที่ไม่ได้เจอกันเหมือนเป็นช่องว่างใหญ่มหึมา ทั้งๆที่เมื่อตอนม.ปลายเราเล่นหัวกันอย่างคุ้นเคยแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่ต่างจากคนแปลกหน้า

    "เออ กูมาสักพักละ มีไรให้กูช่วยมั้ย"

    "ตอนนี้ยังไม่มี มึงนั่งเถอะ แหม...ถ้าอีเดียร์ไม่ตายนี่สงสัยชาตินี้คงไม่ได้เจอมึง"

    เรียวปากแดงเข้มแสยะยิ้มเยาะพ่นพูดถ้อยคำประชดประชัน 

    "อีเบลล์!" 

    คราวนี้เป็นฟ้าที่เดินเข้ามาหาฉัน--เธอดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะในชุดสูทสีดำสนิท ผมยาวรวบตึงไว้กลางหลัง--ฉันเจอเธอครั้งล่าสุดเมื่อไรนะ? เมื่อตอนจบม.ปลาย? ปีสอง? หรือว่าปีสามกันแน่นะ? 

    "เออ กูไปช่่วยเค้าเสิร์ฟน้ำต่อละ มึงคุยกะมันไปเหอะ"

    ก่อนจะไปอีเบลล์ยังไม่วายจะหันมาค้อนใส่ฉันอีกหนึ่งที...

    "มึงเป็นไงบ้างวะ"

    "ก็เรื่อยๆอ่ะ" ความรู้สึกเหนื่อยถาโถมเข้ามาในใจจนต้องระบายออกมาทางลมหายใจ อึดอัดกับความ
    แปลกแยกของที่นี่ ถึงแม้ว่าเพื่อนหลายคนจะเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันเมื่อตอนม.ปลายก็เถอะ 

    "เออ จริงๆกูก็แอบงอนมึงเหมือนกันนะเนี่ย แชทกลุ่มเพื่อนม.ปลายมึงก็กดออก ชวนไปไหนก็ไม่เคยไป อะไรจะเทพวกกูแรงเบอร์นี้อ่ะ"

    "เทอะไร คิดมากมึงอ่ะ" ฉันแค่นยิ้ม เลือกที่จะไม่บอกความจริงออกไป "กูแค่ยุ่งๆ เลยไม่มีเวลาต่างหากล่ะ" ฉันยิ้ม--เสแสร้งยิ้มเหมือนทุกครั้งที่ทำ

    "อ๋อเหรอคะ" 

    ฟ้าทำเสียงสูงประชดอย่างไม่จริงจัง เธอพยายามจะหัวเราะแต่ก็ทำได้ไม่นานนัก รอยยิ้มของเธอค่อยๆจางหายไปช้าๆ ดวงตาดูอิดโรยเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืน 

    "มึงไหวป่ะเนี่ย" 

    สภาพของคนข้างๆดูเหมือนจะวูบไปได้ทุกเมื่อจริงๆ--ดวงตาบวมแดงช้ำรื้นฉ่ำไปด้วยน้ำตา เธอกำลังกัดริมฝีปากเก็บกลั้นเสียงสะอื้น

    "เออ สงสารเดียร์มัน จะได้ไปอยู่ 'เมกากับแม่อยู่ละ"

    ป้าพริ้ม--แม่ของเพลงนั่งน้ำตาคลออยู่หน้าโลงสีขาวนั่น เธอไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้มองหน้าเดียร์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยซ้ำ--การชนอย่างแรงกับรถกระบะทำให้ร่างบอบบางนั่นแหลกเหลวจนเปิดให้รดน้ำศพไม่ได้--ชายต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่นั่งเคียงข้าง บีบมือเบาๆให้กำลังใจ ฉันเดาว่านั่นคงเป็นสามีใหม่ของเธอ

    "แล้วเดียร์มันขับรถไปทำไรนอกบ้านตอนนั้นวะ"

    ฉันอดไม่ได้ที่จะถามคำถามนั้น ในเมื่อหล่อนไม่ใช่คนเที่ยวกลางคืนจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะขับรถออกจากบ้านไปในเวลาเที่ยงคืนกว่าจนเกิดอุบัติเหตุอย่างนั้น

    ฟ้ากัดริมฝีปากแน่นกว่าเดิม ดวงตาจ้องตรงไปที่รูปถ่ายคล้ายว่ากำลังชั่งใจอะไรบางอย่างอยู่ แต่แล้วก็ตัดสินใจพูดมันออกมา

    "มันจะไปหามึงไงน้ำ..." 

    เสียงนั้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน 

    "มันบอกว่าก่อนจะไปเรียนต่อที่เมกา มันอยากจะคุยกับมึงเป็นครั้งสุดท้าย" 

    หลังจากนั้นคำพูดของฟ้า...รวมถึงสรรพเสียงทุกอย่าง ก็กลายเป็นเสียงหึ่งๆต่ำๆที่ผ่านหูไปแต่ไม่ได้แทรกซึมเข้ามาในห้วงความคิดของฉันได้เลย กระทั่งภาพที่เห็นตรงหน้าก็ค่อยๆพร่าเลือนหายไปด้วย 

    มันถูกแทนที่ด้วยภาพของเด็กสาวสองคนที่คุ้นตา

    เด็กสาวสองคนนั้นกำลังสาดเทถ้อยคำใส่กันในห้องเล็กแคบแห่งหนึ่ง--คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นหอพัก--หอพักราคาแพงใกล้กับมหา'ลัยที่ขนาดห้องไม่สมกับราคาเอาซะเลย ใครคนหนึ่งกำลังร้องไห้อ้อนวอนขอร้องให้เปลี่ยนใจ แต่อีกคนกลับเม้มปากแน่น เก็บงำความรู้สึกไว้ภายใต้สีหน้าเฉยเมย
    ตอนนั้นเราทะเลาะกันเรื่องอะไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว--ฉันในวัยสิบเก้าใจร้อนเกินกว่าจะยอมอดทนกับความกดดันใดๆ และเธอในตอนนั้นก็เปราะบางจนกลายเป็นใครสักคนที่ฉันไม่รู้จัก--สุดท้ายแล้วฉันจึงเลือกที่จะตัดปัญหาทุกอย่างทิ้งไป

    ตอนบ่ายวันอาทิตย์ในห้องเล็กๆที่ไม่มีหน้าต่างนั้นดูซึมเซากว่าเดิม ตู้เสื้อผ้าก็ดูโหรงเหรงเพราะเธอเอาเสื้อผ้าเก็บใส่กระเป๋าไว้แล้วเรียบร้อย ร่องรอยการมีอยู่ของเธอทุกอย่างหายไปเหมือนไม่เคยมี ก่อนที่เธอจะเดินจากไป เราสบตากันอยู่เนิ่นนาน--ฉันรู้ว่าเธอกำลังรอ...รอให้ฉันรั้งเธอไว้

    และฉันเสียเธอไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว...นับตั้งแต่วันที่ฉันปล่อยให้เธอเดินไปจากชีวิตฉัน...



    4.

    "คิดถึงจัง...น้ำ"

    เสียงของหล่อนแผ่วเบาและเลือนลางไม่ต่างจากรูปกายที่ปรากฏให้เห็น...ความห่วงหาอาลัยเต็มแน่นในน้ำเสียง...

    หล่อนลุกจากเก้าอี้ตัวเล็กหน้าเปียโนแล้วเดินมาหาฉัน--ไม่สิ ต้องบอกว่า ลอย มากกว่า--ฉันก้าวถอยตามสัญชาตญาณ กระพริบตาถี่ๆเผื่อว่าจะยังไม่ตื่นดี หรือบางทีฉันอาจจะกำลังไม่ตื่นจากห้วงความฝัน--เดียร์ตายไปแล้ว ตายไปแล้วจริงๆ ฉันยังไปงานศพเธออยู่เลยเมื่อตอนเย็น และผีคือสิ่งที่ไม่มีจริง

    ทว่าแม้จะกระพริบตาถี่เพียงใด หรือหยิกตัวเองแรงแค่ไหน ภาพตรงหน้าก็ยังไม่จางหายไปอย่างที่ฉันต้องการ เด็กสาวในชุดนักเรียนคนนั้นยังคงยืนอยู่ตรงหน้าฉัน--ให้ตายเถอะ แล้วทำไมถึงได้เป็นเดียร์เมื่อตอนม.ปลายกันนะ ถ้าเป็นวิญญาณก็ควรจะปรากฏให้เห็นเป็นร่างตอนที่ตายหรือตอนก่อนจะตายไม่นานสิ

    "หืม? อย่าบอกนะว่าแกเห็นเค้า?"

    เรียวปากโปร่งใสขยับเอื้อนเอ่ยถ้อยคำ สีหน้าแสดงความประหลาดใจ หล่อนลอยเข้ามาใกล้อีก ยื่นหน้ามาจนเกือบชิด ฉันเผลอเบิกตากว้างกว่าเดิม--เธอเผยยิ้มออกมาอย่างคนมีชัย

    "แกเห็นเค้าจริงๆด้วย"

    ฉันจำเป็นต้องหาเก้าอี้ที่ใกล้ที่สุดเพื่อทรุดตัวลงนั่น--เรื่องมันกะทันหันเกินไปจนฉันตั้งรับไม่ทันระบบประมวลผลหมุนติ้วเพราะความคิดและคำถามนับร้อยๆที่ทะลักทลายเข้ามา--ฉันกุมขมับและนวดมันเบาๆเผื่อมันจะช่วยบรรเทาอาการปวดตุบๆที่กำเริบขึ้นมาได้บ้าง

    "เพิ่งรู้ว่าแกมีเซ้นส์เห็นผีด้วย"

    "ไม่เคยมี...จนกระทั่งวันนี้นี่แหละ"

    ระหว่างที่พูดก็เหมือนอาการปวดหัวจะหนักกว่าเดิม...ให้ตายเถอะ การนวดไม่ช่วยอะไรเลย

    รอยยิ้มบางเบากับดวงตาคู่นั้นที่ทอดมองมาดูแปลกตาไปจากเดิม--หล่อนดูนิ่งขึ้น สุขุมขึ้น วันวัยที่ล่วงเลยผ่านบ่มเพาะให้เด็กสาวคนนั้นเติบโตขึ้นมาแล้ว มันดูพิลึกดีที่เห็นบุคลิกแบบนั้นในร่างของเด็กม.ปลาย

    หล่อนกลายเป็นคนที่ฉันไม่รู้จักไปเสียแล้ว...แม้ว่ารูปลักษณ์ที่ฉันเห็นตอนนี้จะเป็นคนเดิมที่ฉันรู้จักดีแต่หล่อนก็ไม่ใช่เด็กสาวม.ปลายคนนั้นที่ฉันเคยรู้จักอีกต่อไป

    "แกเป็นยังไงบ้างน้ำ"

    ร่างโปร่งแสงปรากฏตรงหน้าฉันโดยฉับพลัน บ้าเอ๊ย...ไม่ชินเอาซะเลย นี่มันบ้าอะไรกันวะเนี่ย แล้วทำไมอยู่ดีๆฉันถึงเกิดจะเห็นผีขึ้นมาซะอย่างนั้น ไม่รู้ด้วยแล้วโว้ยยย

    อยู่ดีๆฉันก็เกิดจะรู้ซึ้งคำว่า 'สติแตก' ขึ้นมากะทันหัน

    ใช่...ฉันกำลังสติแตก...ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะไม่ได้กรีดร้องหรือโวยวายอะไรก็เถอะ แต่ว่าฉันกำลังสติแตกอยู่จริงๆ น่าจะมีบทความแนะนำ 'วิธีรับมือเมื่อเจอผีแฟนเก่า' บ้างนะ เพราะตอนนี้ฉันทำอะไรไม่ถูกเลยจริงๆ บ้าเอ้ย!

    "ก็ดี"

    ป๊อก...

    เสียงเปิดขวดดังจางๆท่ามกลางเสียงฝน สายน้ำสีอำพันไหลช้าๆลงสู่แก้วใสราคาถูก กลิ่นเหล้าฉุนๆจากแก้วลอยปะทะจมูกเมื่อฉันยกขึ้นจิบช้าๆเผื่อว่าบางทีฤทธิ์เหล้าอาจจะทำให้ประสาทที่ตึงเครียดตอนนี้ดีขึ้นมาบ้าง

    "ตอบคำถามได้ห่วยเหมือนเคยนะ แกให้คำจำกัดความช่วงเวลาที่เราไม่เจอกันห้าปีได้แค่คำว่า ก็ดี เนี่ยนะ"

    เธอแค่นหัวเราะเบาๆ เอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้โยกตัวนั้นแล้วตวัดขาไขว่ห้าง ชายกระโปรงสีน้ำเงินเข้มสะบัดพลิ้วเผยให้เห็นขาอ่อนวับแวม (ว่าแต่ผีมีขาอ่อนด้วยเหรอวะ...ฉันเกิดสงสัยตอนที่เห็น...แต่ก็ช่างแม่งเหอะ) --รู้สึกพิลึกชิบหาย พิลึกจนต้องกระดกแก้วเหล้าเข้าปากอีกหนึ่งครั้ง

    ฉันไม่ได้เจอกับเดียร์มาตั้งแต่เมื่อไรนะ?

    ครั้งสุดท้ายที่ฉันเจอเดียร์ก็ตอนปาร์ตี้วันเกิดปีที่ยี่สิบสองของเธอล่ะมั้ง?--ร่างบางในชุดเดรสสั้นสีเหลืองอ่อนที่เธอชอบ ควงคู่กับชายหนุ่มร่างสูงสง่า เธอแย้มยิ้มกว้าง และดวงตาเป็นประกาย

    คืนนั้นฉันกลับบ้านก่อนงานปาร์ตี้เลิก--ดื่มหนักกว่าเคยในคอนโดเล็กแคบ เสียงเพลงเศร้าแว่วหวานก้องสะท้อนในห้องนั้น

    "ก็เรียนจบ ทำงานอยู่บริษัทประมาณสองปี แล้วก็เพิ่งออกมาทำฟรีแลนซ์เมื่อเร็วๆนี้ ชีวิตก็เรื่อยๆ ไม่ได้มีเรื่องหวือหวาอะไร"

    ฉันตอบเนือยๆ--เหล้าที่ไหลผ่านคอลวกร้อนวูบวาบ ร่างโปร่งใสตรงหน้าจ้องตรงมาที่ฉัน ชั่ววูบหนึ่งที่ฉันค้นพบบางอย่างในดวงตาคู่นั้น...ร่องรอยเพียงเล็กน้อยทว่าชัดเจนมากพอจะทำให้ฉันสัมผัสได้ เธอไม่ได้พยายามปิดบังมันเลยสักนิด--ฉันเบือนหน้าหลบสายตา เสแสร้งสนใจกับแก้วเหล้าในมือมากกว่าดวงตาตรงหน้า

    "แล้วยังคบกับจีอยู่รึเปล่า"

    ภาพหญิงสาวอีกคนวูบเข้ามาในความคิด--หญิงสาวที่มีดวงตาสีน้ำตาลเหมือนกัน ฉันคบกับหล่อนหลังจากเลิกกับเดียร์ไปไม่นาน

    "ไม่ เลิกกันไปนานแล้ว"

    น้ำเสียงปนสะอื้นกับใบหน้าที่ชุ่มโชกด้วยหยาดน้ำตาของจีในวันนั้นบีบรัดหัวใจฉัน...ทั้งที่เธอเป็นคนบอกลาฉันเองแต่กลับมองฉันด้วยสายตาแบบนั้น...สายตาที่เหมือนว่าฉันกำลังทรยศ...ทรยศต่อเธอ ทรยศต่อคำว่ารักของเธอ

    "อ้อ งั้นเหรอ" เดียร์พึมพำในขณะที่ปลายนิ้วก็ไล้เบาๆที่คีย์เปียโน "แล้วตอนนี้กำลังคบใครอยู่ล่ะ"

    "ไม่มี" เสียงฝนข้างนอกดังขึ้นเรื่อยๆจนแทบจะกลบเสียงพูดที่เบาหวิวของฉัน "ไม่ได้คบใครมานานแล้ว" ทันทีที่พูดจบประโยค ฉันเห็นวี่แววความประหลาดใจอยู่บนใบหน้าของเธอ

    "จะอยากรู้ไปทำไม"

    พอพูดไปแบบนั้นก็เริ่มนึกเสียใจทีหลังเมื่อเห็นดวงตาคู่นั้นดูหม่นแสงลง เอาอีกแล้ว...ปากหมาๆนี่เริ่มจะออกฤทธิ์อีกแล้ว เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า...จริงๆแล้วมันก็แค่ระบบป้องกันตัวเองแบบห่วยๆนั่นแหละ ฉันไม่ต้องการให้เธอได้เห็นความอ่อนแอใดๆที่ฉันเป็น

    "แกล่ะ เป็นยังไงบ้าง"

    ดูเหมือนการเปลี่ยนเรื่องคุยจะเป็นทางแก้ที่ดีที่สุดที่ฉันคิดออกในตอนนี้ หล่อนเผยรอยยิ้มเสแสร้งเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกแย่ๆที่ฉันเพิ่งทำไปเมื่อครู่

    "ชีวิตก็วุ่นวายพอตัวน่ะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ จิ้มนิ้วบนโหลปลากัดที่วางเรียงรายอยู่บนตู้ไม้อย่างใจลอย ทว่านิ้วนั้นทะลุกระจกไปเหมือนกับภาพโฮโลแกรม "เรียนจบก็หางาน ก็ลองทำอยู่หลายอัน ขายของบ้าง เขียนบทความขายบ้าง ทำงานเซเว่นบ้าง ลงท้ายก็ได้ไปเป็นครูพิเศษอยู่ช่วงนึง" หล่อนยิ้ม...คราวนี้เป็นยิ้มจริงๆ ไม่ใช่รอยยิ้มเสแสร้งเหมือนเมื่อครู่ "เด็กซนอย่างกับลิง ปวดหัวได้ทุกวัน"

    "ครูสอนภาษาอังกฤษเหรอ?"

    ฉันถามแบบนั้นเพราะจำได้ว่าเธอเรียนเอกภาษาอังกฤษมา

    "เปล่า สอนภาษาไทยนี่แหละ แต่สอนให้คนต่างชาติ" ตอนนี้เธอเปลี่ยนจากจิ้มนิ้วบนโหลปลากัดมาเล่นกับไอ้ยิ้มที่กรง "ก็มีหลายชาติปนๆกันไป ฝรั่งบ้าง แขกบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง แต่ส่วนมากจะเป็นญี่ปุ่นนะ " หนูแฮมเตอร์วิ่งพล่านเมื่อเธอเอามือแหย่เข้าไปในนั้น มันยืนสองขาและทำจมูกฟุดฟิดอย่างระวังภัย "และอย่าให้พูดเลย ภาษาอังกฤษของคนญี่ปุ่นนี่ สุดๆเลยล่ะ เวลาเค้าพูดคำว่า 'sentense' นะ ต้องพูดว่า 'เซนเทนสึ' ไม่งั้นไม่เข้าใจกันเลย"

    "หึ ก็แน่ล่ะ อย่าไปค่อนแคะชาติอื่นเค้านักเลย คนไทยก็พอกันล่ะน่า"

    "ฮะๆ นั่นสิ ถือว่าเป็นโชคดีนะ ที่ความรู้ภาษาญี่ปุ่นตอนม.ปลายยังใช้ได้อยู่ ก็เลยหากินได้สักพัก"

    เธอหัวเราะเบาๆ ล้มตัวนอนบนโซฟาตัวยาว พาดขาไปที่พนักพิง--ชั่ววินาทีนั้นฉันรู้สึกเหมือนเข็มนาฬิกาได้เดินกลับหลัง...และเธอที่อยู่ตรงนี้คือเธอเมื่อวันวาน

    "จริงๆตอนนั้นเค้าคิดถึงแกเป็นบ้าเลย" เธอปิดเปลือกตา ขยับปากพูดเนิบช้า "คิดว่าถ้าแกยังคบกับเค้าเราคงได้มาทำงานด้วยกัน หรือไม่เค้าก็คงถามแกได้เรื่องภาษาญี่ปุ่น อะไรแบบนั้น"

    เหล้ารสร้อนแรงไหลลงคอไปอีกหนึ่งแก้ว ถ้อยคำเหล่านั้นจากปากของเธอซึมลึกลงไปในหัวใจ กัดกร่อนทุกกำแพงที่ฉันปิดกั้นความรู้สึกเหล่านั้นไว้จนหมดสิ้น...

    "คิดไม่ถึงเลยนะว่าคนอย่างแกจะไปเป็นครู"

    ฉันเปลี่ยนเรื่องพูด กลืนรสขมปร่าลงคอไป แค่คำพูดง่ายๆก็ดูเหมือนจะพูดให้เป็นปกติไม่ได้ ฉันสูญเสียความเยือกเย็นไปแล้ว และมันยากเหลือเกินที่ต้องทำเหมือนว่าฉันไม่รู้สึกอะไรเลย

    "ทำไมคะ? คนอย่างดิฉันมันทำไมคะ?"

    ถ้อยคำดูขัดใจเต็มที ทว่าดวงตาคู่นั้นที่มองมากลับฉายแววขบขัน

    "เปล่า แค่แปลกใจเฉยๆ"

    "เค้าเองก็ไม่คิดเหมือนกันนั่นแหละ ฮะๆ แต่ก็ไม่ได้กะว่าจะทำไปตลอดหรอกนะ ก็ยังอยากเป็นนักเขียนอยู่ แต่ในระหว่างที่งานเขียนยังขายไม่ได้ก็ต้องหาอะไรทำประทังชีวิตไปก่อนจริงมั้ยล่ะ"

    "แกนี่ชอบอาชีพนี้จริงๆเนอะ"

    ฉันนึกถึงนิยายเรื่องนั้นที่เธอเคยแต่งมันให้ฉัน นิยายรักแสนหวานที่จบลงด้วยความสุข เราภาวนาขอให้ความรักของเราเป็นอย่างนั้น--ความเยาว์วัยนั้นช่างเปี่ยมล้นไปด้วยความฝันอันแสนหวาน

    "อื้ม เสียดายอยู่เหมือนกันนะ ไม่น่ารีบตายตอนนี้เลย ยังเหลืออะไรที่ยังไม่ได้ทำอีกตั้งหลายอย่าง"

    เดียร์ในตอนนี้ช่างดูขัดแย้งกันเหลือเกิน เธอยิ้ม...ทว่าดวงตากลับโศกสลด ทั้งๆที่ไม่ได้ร้องไห้แต่ความเศร้านั้นกลับท่วมท้นออกมาจนฉันรู้สึกได้--ฉันอยากคว้าตัวเธอมากอด อยากลูบหัวเพื่อปลอบใจ แต่ก็นั่นแหละ...เธอเป็นอากาศไปแล้ว...ฉันทำอะไรไม่ได้เลย

    "ยังชอบเหมือนเดิมเลยเนอะ"

    หล่อนบุ้ยใบ้ไปที่ขวดเหล้ายี่ห้อเดิมที่ฉันชอบกินมาตั้งแต่ไหนแต่ไร--รอยยิ้มเสแสร้งแบบนั้นปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว เดี๋ยวนี้เดียร์แกล้งยิ้มเก่งเสียจนอดคิดไม่ได้ว่าเธอทำแบบนี้มาบ่อยแค่ไหนแล้ว ความเป็นผู้ใหญ่คงบังคับให้เธอต้องใช้หน้ากากรอยยิ้มนั่น

    "อ่า ก็เคยลองเปลี่ยนไปกินอันใหม่ๆแล้วก็ไม่ถูกใจเท่าอันนี้ซะที" ของเหลวสีอำพันจากขวดถูกรินลงแก้วเป็นรอบที่สาม "กินมั้ย? อ้อ ลืมไป ผีกินเหล้าไม่ได้นี่"

    "ฮะๆ แหม ถึงกินได้ก็ไม่กินหรอกค่ะ"

    เธอประชดพลางค้อนขวับเข้าให้

    "ใครจะรู้ ไม่เจอกันตั้งห้าปีก็นึกว่าอาจจะหันมาติดใจบ้าง"

    "เรื่องบางเรื่องก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนได้ซะหน่อย"

    อยู่ดีๆฉันก็เกิดนึกถึงภาพใบหน้าแดงก่ำกับเสียงอ้อแอ้ในคืนนั้นขึ้นมาได้--คืนวันสิ้นปีที่เธอมาค้างบ้านฉัน กลิ่นไอฤดูหนาวยังโชยชื่น แสงดาวยิบๆแข่งกับไฟประดับพวงเล็กที่ติดไว้ในดาดฟ้า รวมถึงจูบที่มีรสฝาดของเหล้า...

    "แล้วผีเล่นเปียโนได้ด้วยเหรอ"

    "ไม่รู้สิ บางอย่างก็ทำได้ บางอย่างก็ทำไม่ได้ เค้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาอะไรเป็นเกณฑ์"

    "งี้ใบ้หวยได้มั้ย"

    "คิดว่าทำไม่ได้นะ...เพราะตั้งแต่เป็นผีมาเค้ายังไม่เคยเห็นเลขท้ายสามตัวอะไรใดๆ"

    "แย่ๆ เป็นผีไร้ประโยชน์จัง"

    "ฮะๆ นี่ แล้วคาดหวังประโยชน์แบบไหนจากผีกันคะคุณ?" เธอตวัดหางเสียงประชดทั้งที่ยังยิ้มอยู่ "แต่จริงๆเป็นผีก็ไม่ได้แย่นะ อยากไปไหนก็ไปได้ตามใจ อยากแอบดูใครก็ได้ ไม่หิว แล้วก็ไม่ง่วงด้วย"

    "อี๋ แล้วนี่แกแอบดูเค้ามากี่วันแล้วเนี่ย"

    ฉันแกล้งทำท่าหวาดผวาให้ดูน่าหมั่นไส้มากกว่าที่เป็น--และก็ได้ผล เดียร์ค้อนฉันเข้าให้วงเบ้อเริ่มก่อนจะตอบ

    "ไม่รู้สิ ก็ตั้งแต่วันที่แกร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังนั่นแหละมั้ง"

    เธอตอบพลางไหวไหล่ราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน--คืนนั้นฉันร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังจริงๆนั่นแหละ น้ำตาเปียกชุ่มโชกหมอน ขดตัวนอนบนเตียงกว้าง รู้สึกราวกับค่ำคืนนั้นจะไม่มีวันผ่านไปตลอดกาล

    "แปลกดีนะน้ำ เค้าไม่คิดว่าแกจะเสียน้ำตาให้คนอย่างเค้า"

    "แกไม่เคยรู้อะไรเลย...ไม่เคยรู้อะไรเลยเดียร์"

    ถ้อยคำนั้นสะกิดโดนบาดแผลที่ยังไม่หายดี ฉันควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นไม่ได้อีกต่อไป ความรู้สึกหลั่งรินพรั่งพรูเหมือนหยดเลือดจากบาดแผล 

    "แกเองก็ไม่เคยรู้อะไรเลยเหมือนกันแหละน้ำ"

    เธอยังคงยิ้ม...ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น มันกลายเป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้า ดวงตาคู่นั้นเอื้อนเอ่ยถ้อยคำรักอย่างที่มันเคยทำเมื่อหลายปีก่อน

    ฉันเอื้อมมือไปคว้าเธอ...แต่สัมผัสได้เพียงอากาศว่างเปล่า--ย้ำเตือนให้ฉันจำได้ว่าเธอตายไปแล้ว...เธอไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว

    ฉันสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาอุ่นร้อนที่แก้มตัวเอง ไอเย็นเยียบจากมือของเธอไล้ผ่านใบหน้า--ผ่านไปเหมือนสายลมเย็นเฉียบวูบหนึ่ง

    "ขอโทษนะ...เค้าไม่น่าตายเลยเนอะ"

    เธอพยายามทำให้มันเป็นมุกตลกแต่ก็ห่วยเหมือนเดิม 

    "เราน่าจะได้คุยกันให้เร็วกว่านี้เนอะ เค้าไม่น่ามัวทำตัวขี้ขลาดอยู่เลย"

    เธอว่าอย่างนั้นพลาดหัวเราะเบาๆ ดูเข้มแข็งกว่าที่เคยเป็นมา

    สายฝนเบื้องนอกตกหนักกว่าเดิม ไม่รับรู้ความเป็นไปใดๆของมนุษย์โลก หยดน้ำตาของฉันเป็นเพียงหยดน้ำเล็กๆของมหาสมุทรเท่านั้นเอง

    "แกยังร้องเพลงอยู่ไหมทุกวันนี้...เพลงโคฟเวอร์ที่แกชอบร้องน่ะ"

    "ไม่ได้ร้องแล้วล่ะ งานยุ่ง ไม่มีเวลาหรอก"

    ฉันตอบเสียงอู้อี้ ปาดน้ำตาออกลวกๆ นึกอับอายที่ต้องให้เธอได้มาเห็นว่าฉันอ่อนแอแค่ไหน--รู้สึกพ่ายแพ้ที่ทำให้เธอรู้แล้วว่าเธอมีอิทธิพลต่อใจฉันมากพอที่จะทำให้ฉันร้องไห้

    "อืม น่าเสียดายนะ เสียงแกออกจะเพราะ" เธอหลับตา--หวนย้อนกลับไปเมื่อวันวาน "ตอนนั้นมันสนุกมากเลยนะ ตอนที่เราร้องเพลงด้วยกันในห้องแคบๆห้องนั้น"

    ห้องข้างบนเหมือนจะดังก้องด้วยเสียงร้องของเด็กสาวสองคนอีกครั้ง--เคล้าคลอด้วยเสียงเปียโนเพี้ยนๆทว่าเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา

    "อยากไปหาดพลาเนอะ ตอนนั้นแกบอกว่าไว้เดี๋ยวไปกัน แต่ก็ไม่ได้ไปเลยสักครั้ง"

    หาดทรายสีขาวสะอาดตัดกับท้องทะเลสีครามกว้างที่ฉันเคยไปกับครอบครัวแล้วบอกว่าอยากให้เธอไปด้วยเมื่อคราวนั้นฉายชัดขึ้นในความคิด

    "นั่นสินะ"

    ฉันพยายามยิ้ม...แต่น้ำตากลับไม่ยอมหยุดไหล--ที่หาดแห่งนั้น ไปทีไรก็อดคิดถึงเธอไม่ได้เลยสักครั้ง

    "รู้อะไรมั้ยน้ำ...ความทรงจำช่วงที่มีแกอยู่ มันเป็นช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของเค้าเลยนะ แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้รู้สึกเศร้าด้วย เพราะเค้ารู้ว่ามันจะไม่มีทางย้อนกลับมาได้อีกแล้ว" ปลายนิ้วโปร่งแสงเกลี่ยไล้ที่ใบหน้าของฉัน--ไล่เรื่อยจากแก้ม...ไปถึงปากและหยุดมันไว้อย่างนั้น

    "ไม่เคยมีใครทำให้เค้ารู้สึกได้เหมือนแกเลย...ไม่เคยมีเลย"

    "เดียร์"

    "หืม?"

    "ตลอดเวลาที่ผ่านมา...เค้าคิดถึงแกมากเลยนะ" ฉันกระซิบเสียงแหบพร่า ทว่าถ้อยคำนั้นกลับชัดเจนและหนักแน่น "เค้ารักแก...ไม่เคยไม่รักเลย"

    "นั่นเป็นคำที่เค้าอยากได้ยินมาตลอดเลยล่ะ"

    แล้วเธอก็เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง...เป็นรอยยิ้มที่สวยงามเหมือนเมื่อวันวาน

    เราจูบกัน...แต่ฉันสัมผัสได้เพียงอากาศ มันว่างเปล่าและไร้ตัวตนจนดูเหมือนเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ทว่าความรู้สึกอุ่นร้อนและเจ็บปวดในอกกลับกำลังตอกย้ำว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง 



    5.

    หากฉันขอพรวอนขอฟ้าได้สักข้อหนึ่ง 
    จะขอให้รักเราซึ้งชั่วนิจนิรันด์ 
    ให้ห้วงกาลมีเพียงเธอและฉัน 
    ให้ความฝันอันสวยสดยืนยาวตลอดกาล  

    เสียงร้องใสกังวานแว่นหวานคลอเคล้ากับเสียงเปียโนจากลำโพงของโน๊ตบุค ไฟล์เสียงที่อัดไว้เมื่อหลายปีที่แล้วเล่นวนซ้ำไปมาอย่างนั้น--บทเพลงที่มีเพียงบทเดียวในโลก เพลงที่ฉันแต่งมันขึ้นมาเพื่อเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น

    แสงแดดยามเช้าสาดทอเข้ามาในห้องนอนที่คุ้นเคย ของที่ระลึกจากงานศพเดียร์ยังตั้งวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือข้างเตียง--ฉันเพิ่งไปร่วมงานฌาปนกิจมาเมื่อเย็นวันนี้เอง--จากโลงใหญ่โต หลงเหลือเพียงเถ้าถ่านสีขาว โปรยปรายลงในทะเลกว้างสีครามใสอย่างที่เธอชอบ...ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำสงบเย็น

    เดียร์ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว หายไปจากโลกใบนี้โดยสมบูรณ์

    ทว่าตัวตนของหล่อนกลับไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำของฉันเลย ทั้งแววตา รอยยิ้ม น้ำเสียง ยามเมื่อฉันหลับตา--เธอผู้นั้นจะหันกลับมามองพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ รอยยิ้มที่เหมือนจะทำให้โลกทั้งใบสว่างไสว

    เด็กสาววัยสิบเก้าปีคนนั้น--เป็นนิรันดร์ในใจฉันตลอดกาล  



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in