เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
A day in AmericaAnn Saengsuri
07: การเช่าห้องนั่งเล่น
  • หลายคนคงสงสัยว่าการนอนโซฟา (Couch surfing) ต่างกับการเช่าห้องนั่งเล่น (Living room) ยังไง ฉันมีประสบการณ์ทั้งสองอย่างที่อยากเล่าให้ฟัง การอาศัยนอนโซฟาเป็นการไปอาศัยนอนบ้านใครในช่วงสั้นๆ ส่วนใหญ่ฉันจะใช้ตอนไปเที่ยวสถานที่ต่างๆเพื่อประหยัดเงินค่าโรงแรม ส่วนการเช่าห้องนั่งเล่นคือการเช่าเพื่ออยู่อาศัยเป็นรายเดือน รายปี แล้วแต่สัญญาที่เราตกลงกับผู้ให้เช่า

    ตอนย้ายจากบ้านน้ามาอยู่กับเพื่อนคนไทยที่ไม่ไกลจากโรงเรียน ฉันก็เช่าห้องนั่งเล่นของเพื่อนและแฟนเค้า เพื่อนพาไปซื้อเตียงและตู้เสื้อผ้าเล็กๆจาก Ikea เป็นครั้งแรกฉันที่ได้ไปห้างขายของแต่งบ้านใหญ่ๆแบบนั้น สินค้าทุกอย่างน่าซื้อและราคาถูกทั้งนั้นเลย แต่ฉันเลือกซื้อเตียงเหล็กที่ประกอบอย่างง่ายขนาดเล็กสุด (Twin bed) กับตู้ไม้ที่มีแค่สามชั้นใบเล็กๆมาแทน ด้วยงบประมาณและพื้นที่ที่จำกัดทำให้ฉันต้องคิดคำนวณทุกอย่างก่อนจะตัดสินใจซื้อของแต่ละชิ้น

    ฉันมาสร้างอาณาจักรเล็กๆอยู่ใต้ชายคาบ้านเพื่อน ที่นี่เป็นแหล่งรวมตัวของกลุ่มเด็กไทยในแอลเอบ่อยๆ ใครตกยากลำบากเรื่องที่พักอาศัย เพื่อนฉันและแฟนก็รับมาดูแลกันตลอด ถือว่าช่วยเหลือกันเท่าที่ทำได้ ฉันก็เป็นหนึ่งในคนที่เพื่อนช่วยเหลือจนกว่าจะตั้งตัวได้

    เด็กไทยที่อยู่แอลเอมีหลายกลุ่ม บางคนทำงานไปเรียนไป บางคนมาเรียนจริงจัง บางคนลงทะเบียนจ่ายค่าเล่าเรียนเพื่อใช้สถานะนักเรียนในการอยู่ที่นี่แต่ทำงานเต็มเวลา บางคนมาเที่ยวเล่น ต่างคนต่างจุดประสงค์ ฉันไม่ตัดสินว่าใครทำผิดถูกดีเลว แต่ฉันเข้าใจว่าหลายคนพยายามเอาตัวรอดในการใช้ชีวิตที่เมืองใหญ่แห่งนี้ ทุกคนต่างมีเหตุผลส่วนตัว ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

  • จากที่เคยเช่า living room อยู่คนเดียว ตอนนั้นกลายเป็น 2-3 คนแชร์ห้องนั่งเล่น บางคนไม่ได้มาเรียนหนังสือก็ดูหนังดูละครกันสนุกสนาน ส่วนฉันเตรียมตัวสอบโทเฟลก็ไม่สามารถอ่านหนังสือและพักผ่อนได้เต็มที่  ฉันเป็นคนที่พูดอะไรตรงไปตรงมามาตั้งแต่เด็ก เลยคุยกับเพื่อนว่าฉันขอย้ายไปอยู่ที่อื่น เพื่อนก็เข้าใจนะ อย่างที่บอกว่าต่างคนต่างเป้าหมายของการมาที่นี่ เราเคารพการตัดสินใจซึ่งกันและกัน อึดอัดก็บอกกันตรงๆ ไม่ได้มีการโกรธเคืองกันแต่อย่างใด ฉันอาศัยห้องนั่งเล่นแห่งแรกได้ประมาณ 8 เดือน ก็ย้ายออกไป

    ฉันย้ายมาเช่าห้องนั่งเล่นแห่งที่สอง ซึ่งจริงๆแล้วฉันมาเช่ากะเพื่อนร่วมคลาสที่เคยเรียนที่ SMC ด้วยกันกับหนึ่งหนุ่มเกาหลี (โม) และสองสาวญึ่ปุ่น (มายูกะ กับ ริเอะ) โมเป็นคนเช่าบ้านหลังนั้นซึ่งแพงมาก เป็นบ้านสองชั้นสามห้องนอน โมอยู่ที่นั่นมาได้ครึ่งปี รูมเมทเก่ากลับเกาหลีไป โมเลยเริ่มชวนเพื่อนๆมาอยู่และช่วยกันจ่ายค่าบ้านก่อนหมดสัญญา ชั้นล่างเป็นห้องครัวและห้องนั่งเล่นโล่งกว้าง ฉันตอบตกลงทันทีที่จะขอเช่าชั้นล่าง

    บ้านหลังที่สอง สงบมาก ทุกคนตั้งใจเรียน ต่างคนต่างอยากสอบโทเฟลผ่านเพื่อจะได้เข้าเรียนมหาลัยเร็วๆ หลังเลิกเรียนในแต่ละวัน พวกเรามักจะมานั่งรวมตัวกันที่โต๊ะกินข้าว ทำการบ้าน อ่านหนังสือด้วยกัน วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ชวนทำอาหารของแต่ละชาติมาทานกัน ฉันทำอาหารไทยไม่เป็นเลยต้องไปซื้ออาหารที่ร้านไทยมาให้เพื่อนได้ลิ้มลองด้วยตลอด ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากช่วงนึงทีเดียว 

    แม่ของโม ชอบส่งกิมจิมาให้ลูกชายบ่อยๆ ขนาดบรรจุขวดโหลอย่างดี กลิ่นก็ยังรุนแรงมาก โมต้องไปซื้อตู้เย็นขนาดเล็กเพื่อมาแช่กิมจิโดยเฉพาะ ฉันเพิ่งรู้ว่าคนเกาหลีทานเผ็ด ฉันเริ่มชอบทานอาหารเกาหลีหลังจากได้ลองกินอาหารที่โมทำบ่อยๆ

  • ห้องนั่งเล่นหลังที่สอง เช่าชั้นล่างแชร์ห้องครัวกับเพื่อนชาวเกาหลีและญี่ปุ่น
  • อยู่มาได้ประมาณ 2 เดือน โมได้รับข่าวจากทางพ่อแม่ว่าจะมาเยี่ยมลูกชายที่นี่ พวกเราก็ตื่นเต้นคิดว่าจะได้เจอพ่อแม่เค้า แต่ที่ไหนได้ โมมาขอร้องให้สามสาวเพื่อนร่วมบ้านช่วยออกจากบ้านไปหน่อย... 

    " พวกยูต้องออกจากบ้านไปนอนที่ไหนก็ได้สามวัน เพราะพ่อแม่ชั้นจะมาจากเกาหลี เค้าหัวโบราณมาก ชั้นให้เค้ารู้ไม่ได้ว่ามีรูมเมทเป็นผู้หญิงถึงสามคน " โมพูดแกมบังคับ

    กลายเป็นว่าวุ่นวายกันทั้งบ้าน ต้องเอาของไปซ่อน เปลี่ยนมุมนอนของฉันเป็นห้องนั่งเล่น อีกสองห้องนอนก็เปลี่ยนผ้าคลุมเตียงเป็นแบบแมนๆแทน โมไปชวนเพื่อนผู้ชายอีกสองคนที่พักใน Korean town มาอยู่ด้วย พวกนั้นขนของเล็กๆน้อยๆเข้ามาจัดฉากที่บ้านให้ดูเนียนๆว่าเป็นบ้านชายโสด 

    ฉันหนีไปนอนโซฟาที่อพาร์เม้น Chantal อยู่หลายวัน เหตุการณ์หลอกพ่อแม่ของโมผ่านไปได้ด้วยดี พวกเรากลับมารวมตัวกันและอยู่ต่อจนบ้านนี้หมดสัญญา ทุกคนแยกย้ายกันไปเพราะไม่สามารถสู้ราคาค่าเช่าแสนโหดได้ ฉันอยู่ที่นี่ได้ประมาณ 4 เดือน ต้องเริ่มมองหาที่อยู่ใหม่ต่อ

    ฉันลองไปดูหอพัก co-op (Cooperative housing) ที่ UCLA เป็นหอที่เราต้องช่วยทำงานด้วย สัปดาห์ละประมาณ 4 ชั่วโมง แลัวแชร์ห้องกับรูมเมท คล้ายๆกับการอยู่หอที่เมืองไทย  แต่เพิ่มการทำงานส่วนรวมเข้ามา ส่วนใหญ่ทำความสะอาดพื้นที่ส่วนรวม ครัว ห้องน้ำ สวน ห้องคอมพิวเตอร์​ งานก็จะหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ค่าเช่าตกประมาณ 1500-1800 เหรียญต่อสามเดือน ฉันตัดสินใจไม่อยู่ที่หอนั้นเพราะหาที่จอดรถยากมาก เลยไม่อยากเสี่ยงได้ตั๋วที่จอดรถและไม่อยากตื่นมาเลื่อนรถทุกวัน

  • ฉันเริ่มมองหาที่พักในหนังสือพิมพ์ไทย ฉันพยายามหาเช่าห้องส่วนตัวตามบ้านคนไทยเพราะราคาไม่แพงมาก แต่ไม่สามารถหาเช่าใกล้ๆกับ  UCLA ได้เลย สุดท้ายเลยตัดสินใจเช่า Living Room อีกครั้งนึง

    ฉันเลือกเช่าห้องนั่งเล่นแห่งที่สาม เพราะไม่ไกลจากที่เรียนและร้านที่ทำงานอยู่ ราคาอยู่ในงบประมาณที่นักเรียนงบน้อยอย่างฉันพอจ่ายได้ อพาร์ทเม้นหลังใหม่ดีมาก อยู่ในย่านที่ปลอดภัย ไม่ไกลจากหลังแรกที่ฉันเคยอยู่ วันไหนที่ไม่อยากขับรถไปมหาลัยเพราะกลัวหาที่จอดรถไม่ได้ ฉันก็สามารถนั่งรถบลูบัสไปได้เช่นกัน

    รูมเมทใหม่ของฉันเป็นพี่ผู้หญิงคนไทย พี่เค้าทำงานเยอะ แทบทุกวันเลยก็ว่าได้ ฉันไม่ค่อยเห็นพี่เค้าอยู่บ้านสักเท่าไหร่ ฉันเลยครอบครองบ้านไปเต็มๆ บ้านใหม่เงียบสงบและมืดนิดหน่อย ฉันอ่านหนังสือ ฝึกเล่นดนตรี หรือหลับได้ตลอดเวลา 

    ห้องนั่งเล่นแห่งใหม่เป็นสัดส่วนมาก พี่เค้าจัดไว้ให้เป็นมุมของฉันโดยเฉพาะ มีประตูบานพับกั้นไว้ มีที่นอนและโต๊ะทำงานให้ ฉันเลยไม่ได้เอาเตียงเล็กมาใช้ ส่วนเรื่องกลิ่นอาหารแทบไม่มี เค้าไม่ทำอาหารหรือนั่งดูทีวีให้เสียงดังรบกวนฉันเลย  ฉันอยู่บ้านหลังนี้นานที่สุด ประมาณปีครึ่งก่อนที่จะย้ายไปเช่าที่พักของตัวเอง

    การเช่าห้องนั่งเล่นไม่ได้แย่อย่างที่ฉันคิด สองปีครึ่งที่อเมริกาฉันก็อาศัยนอนห้องนั่งเล่นแทบทุกคืน ฉันนอนหลับสบายไม่ได้ฝันร้ายอะไร ข้อดีที่ทำให้ฉันยอมเช่านั่งเล่นมาตลอด เพราะเสียเงินค่าเช่าน้อยกว่าห้องส่วนตัวอย่างน้อยเดือนละ 200-300 เหรียญ ฉันยอมแลกกับความไม่เป็นส่วนตัว เสียงดังบ้าง กลิ่นอาหารบ้าง แต่มันไม่ได้รบกวนอะไรฉันมาก ตั้งแต่เด็กมาฉันก็อยู่หอที่ต้องมีรูมเมท 2-3 คนในห้องเดียวกันมาตลอด ฉันยอมแลกความเป็นส่วนตัว เพื่อเก็บเงินส่วนนั้นไว้สำหรับเที่ยวและเรียนต่อแทน

  • มุมเล็กๆของฉันในห้องนั่งเล่นหลังที่สาม 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in