เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
A day in AmericaAnn Saengsuri
04: แอบทำงานนอกโรงเรียน
  • อยู่อเมริกามา 4 เดือนเต็ม ฉันตั้งใจกับการเรียนมากจนลืมคิดเรื่องเที่ยวไปเลย โรงเรียนปิดเทอมหน้าร้อนแล้ว มีเวลาว่างประมาณ 3 เดือนก่อนที่จะเริ่มเรียนโทเฟล ฉันคิดอยากจะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งแต่ยังไม่มีโอกาสสักที ฉันคิดไม่ตกว่าจะใช้เงินที่เหลืออยู่น้อยนิดไปเที่ยวหรือหาเงินเก็บเพิ่มช่วงปิดเทอมดี

    ฉันได้ใช้ชีวิตแบบที่นักเรียนควรจะทำ มาเรียนภาษาอย่างจริงจังในเทอมแรก ไม่มีการทำงานไปเรียนไป ใช้ชีวิตแบบสนุกสนานและเต็มที่กับทุกเรื่องๆที่ฉันอยากรู้และอยากลองทำที่นี่ 

    ตอนนี้เงินทองที่มีติดตัวเริ่มหร่อยหรอลงตามค่าใช้จ่ายที่มีอยู่ทุกวัน ฉันตัดสินใจมองหางานทำก่อนที่จะห่วงเรื่องเที่ยว Chantal เป็นเพื่อนสนิทชาวฝรั่งเศสของฉัน ชวนไปสมัครงานในโรงเรียน สมัครไปหลายแผนกแต่ไม่ได้งานเลย พวกเราถามคนรับสมัครว่าทำไมไม่ได้เรียกไปสัมภาษณ์เลย ทุกคนให้เหตุผลว่า..

    " พวกเธอเป็นแค่นักเรียนมาเรียนภาษาและไม่ได้ลงทะเบียนเป็นนักเรียนอนุปริญญาของที่นี่ ทางโรงเรียนต้องให้สิทธิ์เด็กเหล่านั้นมาสัมภาษณ์ก่อน " งานเลยไม่เคยตกมาถึงพวกเรา Chantal ลงสมัครเรียนต่อกับ SMC ทันที

    Chantal เห็นใบประกาศจากอพาร์ทเม้นที่เธอพัก เป็นงานรับจ้างจูงหมาเดินเล่นตอนเย็นๆ เธอชอบงานนี้มากและชวนฉันไปทำด้วยกัน แต่การเดินทางไปย่านที่เธออยู่นั้นไม่สะดวก ฉันเลยไม่ได้ตอบตกลงไป เธอซื้อรถขับและได้ทำงานทำความสะอาดบ้านคนด้วย

    " ทำยังไงดีละ เทอมหน้าจะย้ายไปเรียนที่โรงเรียนติวโทเฟล ฉันต้องหาเงินซื้อรถขับไปเรียนเพราะมันไกลจากบ้านมาก " ฉันบ่นให้ Chantal ฟัง เธอพยายามชวนฉันไปทำงานด้วย แต่ฉันเกรงใจที่จะต้องให้เธอมารับส่งตลอดเวลา

  • ฉันเลยตัดสินใจจะไปสมัครทำงานที่ร้านอาหารไทย ขอย้ำกับทุกคนที่คิดจะมาเรียนไปทำงานไปนะ 

    " การทำงานนอกโรงเรียนเป็นการทำงานที่ผิดกฏหมาย เพราะว่าวีซ่านักเรียนที่อเมริกาอนุญาตให้นักเรียนต่างชาติทำงานได้แค่ในโรงเรียนเท่านั้น และกำหนดไว้เพียงสัปดาห์ละ 20 ชั่วโมง "

    ฉันไม่ได้เกรงกลัวกับกฏหมายใดๆ ยอมเสี่ยงดีกว่ายอมอด เพราะเห็นนักเรียนไทยที่นี่ส่วนใหญ่ก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น ฉันปรึกษาหลายๆคน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

    " โอกาสโดนจับได้และส่งกลับประเทศมีน้อยมาก " ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้ฉันอยากเสี่ยงมากขึ้น

    ฉันเริ่มเปิดหางานตามหน้าหนังสือพิมพ์ไทยในแอลเอ มีหลายสำนักพิมพ์ที่ลงประกาศรับสมัครงานตลอด ฉันมองหาเฉพาะร้านที่อยู่ใกล้ๆอพาร์ทเม้น ได้เบอร์โทรศัพท์แล้วก็โทรไปสมัครดูสองสามร้าน

    ถ้าพูดภาษาอังกฤษได้ ทางร้านจะให้เสิร์ฟอาหาร พูดได้ไม่เก่งก็ทำงานในครัว บางคนมีรถก็ไปส่งอาหารให้ลูกค้าตามบ้าน นี่เป็นอาชีพหลักของนักเรียนไทยในแอลเอ 

    " อย่าตกใจว่าทำไมทุกคนมีงานทำ เพราะว่าแอลเอมีร้านอาหารไทยพันกว่าร้าน เลือกไปเลยอยากทำร้านไหน เปลี่ยนงานบ่อยๆยังได้เลย " เพื่อนนักเรียนไทยที่อยู่มาก่อนบอกให้ฉันฟัง

    ฉันได้รับเข้าทำงานที่ร้านอาหารไทยแถวเวนิสบีช (Venice Beach) นั่งรถเมล์ไปประมาณ 15 นาทีจากปากซอยหน้าบ้าน เจ้าของร้านบอกว่าภาษาอังกฤษฉันไม่เก่ง ให้ทำงานในครัวไปก่อน ฉันไม่คิดว่างานในครัวจะเป็นงานที่หนักมาก ที่ไหนได้ ฉันทำทุกอย่างตั้งแต่หั่นผัก หั่นเนื้อ แกะกระเทียม ทอดอาหาร จัดจาน ล้างจาน ถูพื้น ทำวันละ 12 ชั่วโมง ยืนตลอดเวลา ได้พักเฉพาะเวลากินข้าวเท่านั้น

  • หลังจากเลิกงานในแต่ละวัน ขาฉันปวดมาก ปวดเมื่อยไปทั้งตัว มันเหนื่อยสุดๆทั้งกายและใจ ฉันรู้สึกว่ากำลังเดินผิดจากเป้าหมายเดิมที่ฉันตั้งใว้ ฉันไม่จำเป็นต้องมาทนทำงานหนักๆขนาดนี้เพื่อเงินเพียงชั่วโมงละไม่กี่เหรียญ 

    " สงสัยคงจะทนได้ไม่กี่น้ำนะน้ากลาง งานครัวทำไมมันโหดอย่างนี้ " ฉันโทรไปบ่นให้น้ากลางฟังตั้งแต่วันแรกที่เจองานหนักขนาดนั้น

    " ทนๆไปก่อน งานร้านอาหารหนักนะ จะทำในครัวหรือเสิร์ฟ ก็เหนื่อยทั้งนั้นแหละ" น้ากลางบอกฉันให้อดทน

    ฉันทนทำไปจนครบหนึ่งสัปดาห์ เลยลาออกจากงานครัว และพยายามหางานเสิร์ฟแทน

    หลังจากนั้นไม่นานฉันได้งานใหม่ เป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านไทยเล็กๆบนถนนลินคอล์น (Lincoln Blvd.) ย่านมาริน่า เดล เรย์  (Marina Del Rey) ฉันนั่งรถเมล์ไป 15 นาทีเดินต่ออีก 10 นาที หลังเลิกงานจะลำบากหน่อยเพราะต้องรอรถเมล์ดึก เพื่อนร่วมงานบางคนเวทนาฉัน กลัวจะไม่ปลอดภัยเวลาเดินกลับไปรอรถเมล์ เลยอาสามาส่งที่อพาร์ทเม้นหลังเลิกงานบ่อยๆ 

    เจ้าของร้านนี้ใจดีมาก เป็นร้านเล็กๆที่สองสามีภรรยาทำกันเอง เขาไม่ได้ให้ฉันยืนตลอดเวลา ช่วงที่ไม่มีลูกค้า เขาให้ฉันนั่งอ่านหนังสือท่องศัพท์ได้ แถมได้ทานอาหารไทยทุกวัน ฉันไม่ได้รู้สึกอึดอัดและเครียดเหมือนตอนทำงานในครัวเลย 

    ฉันทำงานที่นั่นประมาณ 2 เดือน จนใกล้จบซัมเมอร์​ เก็บเล็กผสมน้อยจนได้เงินประมาณ 3000 เหรียญ ในที่สุดฉันก็มีเงินซื้อรถแล้ว ฉันลาออกจากงานร้านไทยเพื่อไปเตรียมตัวลงเรียนติวโทเฟล

  • หลังจากสอบได้ใบอนุญาตหัดขับ (Learning Permit) ตั้งแต่สามวันแรกที่มาแอลเอ ผ่านไป 7 เดือน ฉันแทบไม่ได้หัดขับรถเลย นานๆจะได้ฝึกกับน้ากลางบ้าง บางวัน Chantal ก็เอารถเธอมาให้ฉันซ้อมมือ ฉันนัดวันสอบกับ DMV (Department of Motor Vehicles) ก่อนโรงเรียนใหม่จะเปิดเทอม 

    น้ากลางพาฉันไปสอบ ฉันทำได้ดีไม่ผิดพลาดจนกระทั่งเหลือแค่ 5 นาทีสุดท้ายก่อนเลี้ยวกลับเข้า DMV

    " หยุด หยุด คุณต้องรอให้คนข้ามถนนไปก่อน ถึงจะเลี้ยวได้ " ฉันโดนบอกให้หยุดรถทันที

    ฉันสอบตกโดยไม่ต้องสงสัย แถมเรียนรู้กฏจราจรเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งข้อ การเลี้ยวในขณะที่ไฟเขียวอนุญาตให้เราเลี้ยวได้ แต่ถ้าคนยังเดินข้ามถนนอยู่ รถก็ต้องหยุดรอจนกว่าคนจะข้ามไปบนฟุตบาท

    ผ่านไปอีกสองอาทิตย์ ฉันนัดไปสอบขับอีกครั้งนึง รอบนี้ฉันทำผิดกฏเล็กๆน้อยๆจนเกิน 15 จุด

    " สอบตกอีกแล้วน้ากลาง " ฉันทำหน้าเซ็งและบอกน้ากลางหลังจากเลี้ยวรถเข้ามาจอด 

    " คงต้องหาครูสอนขับรถและเรียนเป็นเรื่องเป็นราวแล้วละ " น้ากลางแนะนำ

    ฉันหาครูสอนขับรถคนไทยตามหน้าหนังสือพิมพ์ไทย ฉันเรียนขับรถไปได้ 3 ครั้งแล้วครูพาไปสอบที่ DMV ที่ห่างจากแอลเอออกไปกับนักเรียนอีกสองคน ครูบอกฉันว่า...

    " ต่อให้ขับรถเป็นมาจากเมืองไทย แต่ไปลงสอบที่ DMV ย่าน Culver City กับ Santa Monica ไม่มีใครสอบผ่านครั้งแรกหรอก " ฉันไม่อยากเชื่อที่ครูบอก แต่ก็ฉันก้อสอบตกไปแล้วสองครั้งจากที่นั่น

    สอบขับครั้งที่ 3 มันง่ายมาก ไม่ว่าเจ้าหน้าที่สั่งอะไร ฉันมั่นใจและทำได้หมดทุกอย่าง ในที่สุดฉันก็ได้ใบขับขี่ของรัฐแคลิฟอร์เนียมาครอบครอง

    " สอบสามครั้งกว่าจะผ่านอะไรมันจะยากเย็นขนาดนี้ ต้องเสียเงินถึงจะผ่านว่างั้นเหอะ " ฉันโทรไปเล่าให้น้ากลางฟัง

  • ฉันเริ่มมองหารถจากเวบไชน์ต่างๆ ส่วนใหญ่ก็ craigslist.org กับ ebay.com น้ากลางพาฉันไปดูรถหลายคันมาก แต่งบประมาณที่ฉันมี ทำให้หารถคุณภาพดีๆยากเหลือเกิน

    ในที่สุดโรงเรียนติวโทเฟลก็เปิดเทอม ฉันยังหารถไม่ได้ เลยต้องนั่งรถเมล์สาย 333 จากอพาร์ทเม้นไปเรียนในดาวน์ทาวน์แอลเอ นั่งไปเที่ยวละ 1 ชั่วโมง ฉันเสียเวลาไปกันการเดินทางประมาณ 2 ถึง 3 ชั่วโมงทุกวัน แต่ก็ไปเรียนทุกวันและยังไม่ลดละความพยายามในการหารถขับไปด้วย

    สายวันนึงฉันเดินออกไปธนาคารที่ปากซอยหน้าบ้าน มีรถเก๋งสีขาวสี่ประตู ของ Toyota รุ่น Avalon ประกาศขายราคา $3000 ฉันเห็นแล้วถูกใจมาก รีบโทรไปหาเบอร์ที่ทิ้งไว้ที่รถ เจ้าของรถรีบมาทันที ฉันขอทดลองขับไปรอบๆถนนแถวนั้น เขาต้องนั่งไปด้วยและได้มีโอกาสพูดคุยกัน

    " ทำไมคุณถึงขายรถคันนี้ละ สภาพยังดีอยู่เลย " ฉันรีบถามออกไปด้วยความอยากรู้

    " ผมมีรถสองคัน งานผมทำให้แทบไม่ได้ขับรถตัวเองด้วยซ้ำ " เขาตอบมาเหมือนอยากให้ฉันถามต่อ

    " คุณทำงานอะไรเหรอ " ฉันถามกลับไปทันที

    " ผมเป็นตำรวจทำงานให้ LAPD (Los Angeles Police Department) ผมได้ขับรถตัวเองเฉพาะวันหยุดเท่านั้น รถคันนี้ไม่มีที่จอด ผมเลยอยากขายมันไปซะ " เขาตอบอย่างชัดเจน

    ฉันถูกโฉลกกับรถคันนี้มาก มั่นใจว่ามันคงเป็นยานพาหนะคู่ใจไปฉันไปตลอด Avalon เป็นรถรุ่นใหญ่เหมือน Camry รถคันนี้สภาพดีและเป็นระบบไฟฟ้าทั้งคัน ฉันคิดว่ามันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าแน่นอน

    " ฉันตกลงซื้อรถคุณ " ฉันตัดสินใจโดยไม่ได้ปรึกษาใคร เดินเข้าธนาคารไปถอนเงินมาจ่ายทันที เซ็นเอกสารการโอนรถ แล้วขับรถกลับบ้านไปอวดเพื่อนทันที ในที่สุดฉันก็มีรถขับแล้ว 

  • รถคันแรก Toyota Avalon
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in