เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
A day in AmericaAnn Saengsuri
03: English as a second language
  • เด็กต่างจังหวัดยุคมานีมานะอย่างฉันเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอนอยู่ชั้นป 5 จำได้ว่าท่องคำศัพท์ bat rat cat เป็นสามคำแรก เรียนจบประถม มัธยม จนกระทั่งมหาลัย ฉันไม่เคยได้รู้จักคำว่าเกรด 4 ภาษาอังกฤษ ฉันทำงานที่เมืองไทยกับบริษัทอเมริกัน ยังไม่กล้าพูดกับฝรั่งที่บริษัทเลยสักประโยคนึง

    การที่เราไม่เคยมีความกล้าในการพูดภาษาอังกฤษ ทำให้ฉันตั้งใจว่าสักวันต้องพูดกับฝรั่งให้รู้เรื่องให้ได้ มันเลยเป็นแรงผลักดันให้ฉันอยากไปลองใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศสักปีสองปี โดยส่วนตัวแล้วฉันเชื่อว่าถ้าได้ใช้ภาษาใดๆในชีิวิตประจำวัน จะทำให้เราสามารถฟังพูดอ่านเขียนและสื่อสารได้เหมือนเจ้าของภาษาแน่นอน

    ก่อนที่นักเรียนทุกคนจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษหลักสูตร ESL (English as a second language) ที่ SMC (Santa Monica College) นั้น ทางโรงเรียนจะมีการสอบวัดระดับความรู้ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีแค่การอ่านและเขียน ฉันมีความรู้ด้านไวยกรณ์และศัพท์อยู่บ้าง เลยสอบได้ Level 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในหลักสูตร Intensive ESL ของโรงเรียนนี้ เอาเป็นว่าเรียนกันแบบเข้มข้นกว่าระดับ 1 2 และ 3 มาก 

    ESL ที่นี่เน้นให้อ่านหนังสือนอกเวลาที่อาจารย์แนะนำให้ แล้วมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในห้องเรียน ว่าเราได้อะไรจากการอ่านแต่ละเรื่องบ้าง หลังจากอ่านจบต้องเขียนรายงานสรุปสั้นๆ อาจารย์จะไม่สอนหลักไวยกรณ์ แต่จะแทรกให้เวลาที่สนทนากันในห้องเรียน เวลาเขียนงานส่ง อาจารย์จะแก้ให้ด้วยเช่นกัน ฉันได้รอยปากกาสีแดงแก้ข้อผิดพลาดจากรายงานทุกเรื่องที่ส่งอาจารย์ไป 

    กลายเป็นว่าฉันมาเรียน ฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษา แต่ฝึกปรือกับนักเรียนต่างชาติแทน มันไม่ได้เหมือนในหนังฝรั่งที่ฉันเคยดูมาเลย ที่เห็นฉากในห้องเรียนแล้วมีแต่เพื่อนอเมริกันมาทักทายพูดคุยด้วย

    ตอนแรกๆฉันก็บ่นในใจตลอดว่า " ชั้นจะพัฒนามั้ยเนี่ย แค่พยายามฟังสำเนียงเพื่อนแต่ละคนให้ออกก็ยากแล้ว " 

  • ฉันเรียน ESL ทั้งหมด 16 สัปดาห์ อ่านหนังสือไปทั้งหมด 12 เล่ม อาจารย์ให้อ่านหนังสือวันละ 50 -100 หน้าทุกวัน ถ้าไม่อ่านก็ตอบคำถามไม่ได้ ฉันเลยต้องเขียนสรุปสั้นๆทุกวัน การอ่านผ่านไปอย่างดุเดือด การเขียนดีขึ้นเพราะอ่านมาก รู้คำศัพท์และรูปแบบประโยคโครงสร้างมากขึ้น การพูดดีขึ้นตามลำดับ เพราะต้องพูดในห้องเรียนกับเพื่อนร่วมชั้นและอาจารย์ทุกวัน

    ความโชคดีของการเป็นนักเรียนไทยแค่คนเดียวในคลาส ทำให้ไม่มีโอกาสได้พูดไทยในห้องเรียนเลย ส่วนการฟังฉันเริ่มฟังข่าวและดูหนังเพิ่มมากขึ้น แถมจดศัพท์ไปด้วย คำไหนที่ไม่รู้ความหมาย ก็เปิดหาความหมายและออกเสียงจาก Talking dict อาจารย์แนะนำให้ใช้ dictionary.com ฉันยังใช้เวบนี้มาจนทุกวันนี้

    นักเรียนต่างชาติในห้องฉันมาจากหลายประเทศทั้งจากทวีปยุโรป แอฟริกา อเมริกาใต้ และเอเชีย เยอะสุดคงเป็นนักเรียนจากญี่ปุ่นกับเกาหลี ฉันสนิทกับเพื่อนชาวฝรั่งเศส อิสราเอล ญี่ปุ่น และเกาหลี พวกเราไม่ได้แค่เรียนร่วมห้อง ที่เรียนเสร็จแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกลับหอ

    หลังเลิกเรียนบางวันก็ชวนกันนั่งรถเมล์ไปที่ทะเล ไปนั่งคุยกันบ้าง อ่านหนังสือด้วยกัน บางวันไปกินข้าวเย็นกัน เสาร์อาทิตย์ก็นัดดูหนังกันบ่อยๆ มันเป็นการฝึกภาษาที่ได้ผลที่สุดในชีวิตของฉันเลยทีเดียว

    ผ่านไปสองเดือน ฉันสามารถพูดและเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดีมากกว่าที่เรียนมาทั้งชีวิตรวมกัน แต่ยังไม่เก่งนะ ฉันแค่เปรียบเทียบกับตัวเองเมื่อสองเดือนก่อนที่ฟังอะไรไม่ทันเลยแม้แต่นิดเดียว 

    " ทำไมยังไม่ฝันเป็นภาษาอังกฤษซะทีนะ " ฉันโทรไปเล่าให้เพื่อนที่เมืองไทยฟัง โม้ว่าฉันพัฒนาไปได้เยอะแล้ว แต่สมองซีกซ้ายยังไม่สั่งงานตอนฉันหลับสักที

  • อาจารย์ที่สอนห้องนี้ มีสามท่านเป็นผู้หญิงทั้งหมด แต่ละคนมีบุคลิกแตกต่างกันออกไป คนที่ฉันโปรดปรานมากที่สุด คือ Tracy เธอสอนที่นี่มาสองสามปีและกำลังจะเรียนจบด๊อกเตอร์ 

    เทรซี่ชอบจัดกิจกรรมให้นักเรียน เช่น การไปเรียนนอกห้องเรียน บางวันไป museum ที่เกี่ยวกับหนังสือเล่มที่เราอ่าน บางครั้งเธอจองโต๊ะกลุ่มใหญ่และพานักเรียนไปลองชิมอาหารเม็กซิกันและเมดิเตอร์เรเนียนกัน 

    เทรซี่รู้มาจากเพื่อนๆในห้องว่าเป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 25 ปีของฉัน และเป็นการฉลองวันเกิดครั้งแรกที่อเมริกา เธอซื้อเค๊กช็อกโกแลตก้อนโตพร้อมกับมีของขวัญเล็กๆน้อยๆมาเซอร์ไพรส์ฉันในคาบเรียนที่เธอสอนด้วย 

    ฉันแอบกลัวว่าต้องฉลองวันเกิดแบบเหงาๆ ไม่มีเพื่อนฝูงอยู่รอบกายเหมือนที่ผ่านๆมา แต่มันกลับเป็นวันเกิดที่สนุกมากที่สุดวันนึงเลย ฉันยังประทับใจมาจนทุกวันนี้ 

    ใกล้จะจบเทอมแล้ว ทางโรงเรียนมีสอบ placement test ของนักเรียนที่มาเรียนภาษา ถ้าใครสอบผ่านทั้งภาษาอังกฤษและเลข จะได้เข้าเรียนระดับอนุปริญญาต่อที่โรงเรียน แต่เป้าหมายของฉันไม่ได้จะมาเรียนต่ออนุปริญญาที่ SMC ฉันเลยไม่ได้สนใจกับการสอบรอบนี้สักเท่าไหร่

    4 เดือนผ่านไปเร็วมาก ฉันเรียนจบหลักสูตร Intensive ESL และได้ประกาศนียบัตรมาครอบครอง มันไม่ใช่แค่นั้นสิ ฉันยังได้ของแถมเป็นมิตรภาพจากเพื่อนใหม่และอาจารย์ทั้งสามท่านด้วย ทุกคนมีส่วนช่วยให้พัฒนาการด้านภาษาของฉันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

  • เพื่อนๆหลายคนยังคงเรียนต่อที่ SMC บางคนเดินทางกลับประเทศไป บางคนย้ายไปเรียนภาษาต่อที่มหาลัยอื่น เพื่อจะได้สอบ placement test แล้วเข้าเรียนต่อปริญญาโท โดยไม่ต้องสอบ TOEFL มันเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว ถ้าเงินในกระเป๋าเอื้ออำนวย ฉันไม่มีเงินเก็บมากพอที่จะจ่ายค่าเรียนภาษาเทอมละ $4000 ได้ทุกเทอม ดังนั้นตัวเลือกของฉันก็ต้องดิ้นรนสอบโทเฟลให้ผ่าน

    ในแอลเอมีโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษมากมาย หลายโรงเรียนยินดีที่จะออก I-20 ให้เราภายในอาทิตย์เดียว ถ้าเราตกลงเป็นนักเรียนแล้วจ่ายค่าเทอมทันที ฉันพยายามเลือกดูหลายโรงเรียน แต่ยังไม่ได้ตกลงใจว่าจะไปเรียนกับใคร 

    ก้าวต่อไปไม่ได้สวยงามและสนุกเหมือนตอนเรียนภาษาที่ SMC เพราะว่าการสอบ TOEFL ไม่ได้ง่ายเหมือนที่ฉันคิดไว้เลย

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in