มาแล้วแลนด์แล้ว หลังจากเดินทางมา 23 ชั่วโมงกว่าๆ เครื่องบินลงจอดที่มหานครลอสแองเจิ้ลลิส (Los Angeles) ตอนสิบโมงเช้า น้ากลาง (ลูกพี่ลูกน้องของแม่ฉัน) เป็นคนมารับที่สนามบิน
น้ากลางอยู่ที่นี่มาเกือบยี่สิบปีแล้ว ฉันเลยได้ผู้ปกครองตั้งแต่ลงจากเครื่องเลย แอบกังวลใจเล็กน้อย เพราะเกรงว่าจะมีสายรายงานความประพฤติไปที่แม่ฉัน
น้ากลางขับรถพาไปเที่ยวชมฮอลลี่วู้ด (Hollywood) ก่อนจะกลับเข้าบ้าน
" ได้เห็นเมืองหนังระดับโลกตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เหยียบอเมริกาเลยหรือเนี่ย " ฉันเก็บความตื่นเต้นไว้แทบไม่ไหว
" นี่หรือโกดักเทียเตอร์ (Kodak Theater) ที่เค้าจัดงานออสก้ากันทุกปี ฮอลลี่วู้ดเฟมรูปดาว (Hollywood walk of fame) วางกลาดเกลื่อนทั่วทางเท้าเลยน้ากลาง " ฉันหันไปแสดงความตื่นเต้นเป็นระยะๆ
" โรงหนังไชนีสเทียเตอร์ (Chinese Theater) แสนเก่า แอนได้มาเห็นเป็นบุญตาแล้ว " ทุกอย่างมันช่างตื่นตาตื่นใจไปหมด ฉันอมยิ้มในใจ คิดว่าการมาอเมริกาเป็นการตัดสินใจที่ถูกแล้ว
ฉันเดินทางมาในช่วงหน้าหนาวพอดี อากาศเดือนกุมภาพันธ์ที่นี่หนาวจริงๆ เด็กที่เกิดและโตมาที่ระดับน้ำทะเลอย่างฉันไม่เคยชินกับอากาศแบบนี้ ฉันไม่ได้ซื้ิอเสื้อกันหนาวหนาๆมาเลย
" อากาศที่นี่อบอุ่นแบบแคลิฟอร์เนีย " น้ากลางบอกฉันก่อนมา
ที่ไหนได้ มันหนาวอย่างกับนอนดอยอินทนนท์ในเดือนมกราคมเลยทีเดียว ฉันเลยต้องไปหาซื้อเสื้อกันหนาวใหม่กันเลยทีเดียว
ปัญหาถัดมาที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อนคือ บ้านน้าและโรงเรียนอยู่คนละฝากของเมืองกันเลย ไม่มีใครสามารถไปรับไปส่งนักเรียนคนนี้ไปเรียนได้เลย เพราะทุกคนทำงานกันหมด รถโดยสารประจำทางที่นี่ก็ไม่ได้มีมากมายเหมือนในกรุงเทพ
น้ากลางเลยให้ฉันอ่านหนังสือเพื่อสอบใบขับขี่ตั้งแต่วันที่สามหลังจากมาถึงที่นี่ และพาฉันไปสอบข้อเขียนเพื่อทำใบขับขี่ทันที ฉันสอบผ่านได้ใบอนุญาตให้หัดขับรถ ได้ฝึกฝนนิดหน่อยก่อนโรงเรียนเปิดเทอม ถนนที่นี่ขับทางขวา มันสร้างความสับสนให้ฉันไม่น้อยเลยทีเดียว
ฉันไม่ได้ไปสอบขับหรอก เพราะตัดสินใจย้ายมาอยู่กะเพื่อนที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน ฉันเลือกที่จะนั่งรถเมล์ไปเรียนแทน ประหยัดดี แถมได้เพื่อนคุยบนรถด้วย
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์หลังจากเปิดเรียน ฉันเดินกลับจากป้ายรถเมล์เข้าบ้าน มีทางเท้าให้เดินทั้งสองข้างทาง มีหญ้าปลูกไว้ตลอดทาง ดูเขียวสบายตา ข้างทางก็สะอาดไม่มีขยะทั้งบนถนนและทางเท้า ถนนในชอยนานๆจะมีรถผ่านมาสักคัน
ฉันเดินฟังเพลงไปเรื่อยๆ จู่ๆก็มีรถยนต์คันนึง วิ่งมาหยุดที่ฉัน ชายหนุ่มนิรนามในรถหมุนกระจกลง และตะโกนถามทางมา ตอนแรกก็จะเดินหนี แต่เอ๊ะ หนุ่มอเมริกันหน้าตาดี คงไม่มีพิษภัยอะไร จะได้ฝึกสนทนาไปด้วยในตัว
“ มีอะไรให้ช่วยเหรอ ” ฉันถามไปด้วยความสงสัย
" ถนนวอชิงตันไปทางไหน ” หนุ่มไอกันสวนมา
“ ตรงไปอีกสองบล๊อกก็เจอนะ ” ฉันรีบตอบไปทันที เพราะว่าจำได้ว่ามันอยู่ไม่ไกลจากนี่
" แต้งกิ้ว คุณดูอะไรนี่สิ ”
หนุ่มไอกันชี้ไปที่เป้ากางเกงที่มีช้างน้อยของมันโชว์อยู่นอกซิบ พร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้ฉัน แล้วหนุ่มน้อยหน้าตาดีที่ฉันหวังว่าจะได้สนทนาด้วย ดันเล่นกะช้างน้อยโชว์ฉันแทนซะงั้น
ฉันตกใจมาก แต่ตั้งสติไว้ได้ เพราะเคยเจอพวกโรคจิตโชว์บนสะพานลอยตอนเรียน ม. ปลายบ่อยๆ ฉันจำได้ว่าต้องทำให้คนพวกนี้หมดความมั่นใจ
ฉันพูดขึ้นมาว่า : “ It is so small. ”
ไม่กล้าสบตาหนุ่มไอกัน พูดจบก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับอพาร์ทเม้นไป
ตามตำราหรือพันทิพย์ไม่ได้บอกไว้ว่า ให้ทำยังไงกะสถานการณ์แบบนี้ ฉันต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณส่วนตัว แต่แปลกใจจริงๆว่าเมืองนอกนี่มันก็มีพวกโรคจิตชอบโชว์เหมือนบ้านเราด้วยเหรอ แล้วชีวิตฉันจะเจออะไรอีกเนี่ย เริ่มต้นก็ท้าทายซะขนาดนี้แล้ว
ฉันนั่งเมล์สีฟ้า ชาวบ้านที่นี่เรียก Big Blue Bus เป็นประจำเมืองซานต้าโมนิก้า (Santa Monica) ราคาค่าโดยสารแค่ห้าสิบเซนต์ และสามารถต่อรถไปได้ทุกสายในเครือเดียวกันโดยไม่ต้องเพิ่มเงิน รถเมล์ที่นี่มาตรงเวลามาก แต่ละป้ายจะบอกไว้ว่าเที่ยวนี้มาถึงกี่โมง ถ้าพลาดคันนี้ไปคันต่อไปก็มาภายในสิบห้านาที
อพาร์ทเม้นที่ฉันอยู่กับเพื่อน ต้องนั่งรถเมล์สองต่อ ฉันต้องขึ้นสาย 12 แล้วต่อสาย 7 เวลาในการเดินทางไปโรงเรียนประมาณ 40 นาที ฉันเรียนสัปดาห์ละห้าวัน จันทร์ถึงศุกร์ เริ่มเรียนตอนบ่ายโมงไปถึงหกโมงเย็น
ส่วนวันเสาร์อาจารย์จะมีสอนคลาสพิเศษเพิ่มเติมให้ ถ้าใครอยากมาก็มาเรียนได้ ไม่บังคับ ไม่มีผลต่อการเข้าเรียน ช่วงวันเสาร์อาทิตย์ รถเมล์จะมีแค่ชั่วโมงละคัน หยุดวิ่งตอนสองทุ่ม วันเสาร์ไหนไม่ขี้เกียจฉันจะไปเรียนตลอด
ช่วงหน้าหนาวกลางวันจะสั้นและมืดเร็ว ฝนตกหน้าหนาวเป็นเรื่องปกติ ทั้งหนาวทั้งฝน ไม่อยากจะคิดเลยว่าร่างกายฉันจะทานทนได้แค่ไหน อาทิตย์ที่สองที่เริ่มเรียนฝนตกหนักตลอด ฉันไปเรียนก็เปียกไปทุกวันเพราะไม่มีร่ม เดินใส่เสื้อฮู้ดปิดหัวเอาแทน ตัวเปียกมอมแมมทุกวันกว่าจะถึงห้องเรียน
ตอนนั้นยังไม่ได้ซื้อโทรศัพท์มือถือ เพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น เพื่อนก็ยังมีไม่เยอะ ค่ารายเดือนก็แพง ไม่อยากจ่ายเดือนละสี่สิบเหรียญ โทรศัพท์บ้านก็มี ใครอยากคุยก็โทรมาได้ ฉันจะใช้โทรศัพท์เฉพาะเวลาที่จำเป็นเท่านั้น
หลังเลิกเรียนวันนึง ประมาณหกโมงเย็น ฝนตกตลอดทั้งวัน ฉันเดินมารอรถนานแล้ว เปียกปอนไปทั้งตัว ไม่รู้ว่ารถสาย 7 หายไปไหนหมด ฉันเลยตัดสินใจวิ่งขึ้นสาย 8 แทน เพราะคิดว่าน่าจะผ่านไปต่อสาย 12 ได้เหมือนกัน แต่ปรากฏว่านั่งไปซักระยะ สาย 8 วิ่งไปไหนไม่รู้ เข้าตรอกเข้าซอย ผ่านย่านที่เป็นบ้านคน ไม่ได้วิ่งบนถนนหลักเหมือนสาย 7
" งานเข้าแล้วชั้น หลงแล้วแน่ๆ ทำไงดีวะ โทรศัพท์มือถือก็ไม่มี จำบ้านเลขที่ตัวเองไม่ได้ด้วยสิ สมุดจดก็ลืมเอาติดตัวมา ซวยจริงๆ " ฉันพึมพำเป็นภาษาไทยออกมา
รีบตัดสินใจลงจากรถก่อนเลย ฝนตกหนักมาก
" อะไรมันจะซวยขนาดนี้วะนี่ แล้วจะถึงบ้านกี่โมง การบ้านก็เพียบ " ฉันเริ่มวิตกจริตอย่างหนัก
คิดได้ก็เริ่มเดินกลับไปทางเดิมที่ผ่านมาทันที เดินย้อนกลับมาสักพัก ตัดเข้าถนนเส้นโน้นเส้นนี้ รู้ตัวว่าหลงทางแล้ว ใจเสียมาก หนาวก็หนาว ไม่รู้จะติดต่อใครยังไงดี ฉันเดินหลงทางอยู่ประมาณชั่วโมงนึง
และแล้วก็มองเห็นถนนเส้นนึึงรถวิ่งกันเร็วๆพลุกพล่านอยู่ไกลๆ มันต้องเป็นถนนเส้นหลักแน่ๆ ฉันใส่เกียร์หมา รีบวิ่งไปยังถนนเส้นนั้นทันที ต้องไปดูให้รู้กะตาว่ามันใช่ถนนสายที่ฉันคิดไว้หรือไม่
" ใช่แล้วมันคือ ถนนพิโค้ (Pico Blvd.) จริงๆด้วย กลับบ้านถูกแล้วโว้ย " ฉันไม่รอช้ารีบข้ามถนนไปรอที่ป้ายรถเมล์ทันที
ตอนนั้นเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆยังมีรถเมล์วิ่ง ฉันใจชื้นขึ้นมา เลยนั่งรอรถอยู่กับชายแปลกหน้าสองคน
" ไม่อยากเสวนากับใครตอนนี้ อย่ามาคุยกะชั้นละกัน ชั้นหยิ่งใส่แน่ " คิดอุปทานไปเองในใจ ไม่มีใครถามฉันสักคำว่าจะไปไหน ทำไมเปียกปอนมาอย่างนี้
นั่งรอจนสามทุ่มนิดๆในที่สุดรถเมล์สาย 7 ก็ผ่านมาจนได้ ยังกะสวรรค์มาโปรด ความรู้สึกตอนนั้นคือโล่งมาก กลับถึงบ้านแน่ๆคืนนี้ กว่าจะถึงบ้านล่อไปประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ
วันรุ่งขึ้น ฉันตัดสินใจไปซื้อโทรศัพท์มือถือทันที ยอมจ่ายรายเดือนแพงๆ ดีกว่าหลงทางแล้วไม่ได้กลับบ้าน นอนข้างถนนทั้งคืน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in