ย้อนไปสมัยเด็ก ฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่ซนและทอมบอยมาก เป็นคนชอบอ่านหนังสือและคิดเลข เด็กต่างจังหวัดอย่างฉันเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอน ป. 5 แต่ไม่กล้าพูดกับใคร ไม่ใช่กลัวดอกพิกุลจะร่วงหรอกนะ มันเป็นเพราะฉันรู้จักคำศัพท์และประโยคสำเร็จรูปน้อยเหลือเกิน
ตอนเรียนชั้น ม ต้น ฉันเคยเป็นตัวแทนจังหวัดไปแข่งขันวิทยาศาสตร์ระดับภาค ทีมฉันคว้าอันดับ 4 มาครอง ฉันเลยรู้ตัวเองว่าต้องมาเรียนสายวิทย์ ฉันสอบเข้าเรียน ม ปลาย ได้ที่โรงเรียนดังแห่งหนึ่งในภาคใต้ การออกจากบ้านครั้งแรกตั้งแต่อายุ 15 ทำให้ฉันเป็นคนที่ไม่ติดบ้านและมันมีผลทำให้ฉันชอบออกเดินทางไปที่ใหม่ๆตลอดเวลา
ฉันตัดสินใจแน่วแน่ตอนเรียนชั้น ม. 5 ว่าวิศวกรรมศาสตร์คือสาขาที่จะสอบเข้าเรียนต่อ ฉันชอบเรียนวิชาฟิสิกส์และเลขมากที่สุด แต่เกลียดวิชาท่องจำและภาษามาก ฉันไม่ถูกโรคกับโรงพยาบาล แถมกลัวเข็มฉีดยาและเลือดมาก ดังนั้นสาขาแพทย์ ทันตะและเภสัชเลยตัดออกไปจากตัวเลือกทันที
ฉันเห็นรุ่นพี่ผู้หญิงที่เรียนวิศวะไม่ต้องใส่กระโปรงไปเรียน ใส่เสื้อช็อปกับกางเกงยีนส์แทน มันดูเท่ดีนะ แถมวิชาที่เรียนไม่ต้องท่องจำมากมาย ไม่ต้องเขียนรายงานครั้งละหลายสิบหน้า ภาษาอังกฤษไม่ต้องเลิศ ขอแค่ตรรกะดี อินทิเกรตเป็นก็ใช้ได้ วิศวะเลยเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับฉันที่สุด
ฉันสอบเข้าเรียนวิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างที่หวัง เวลาในรั้วมหาลัยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันเรียนรู้การใช้ชีวิตและมีความรับผิดชอบมากขึ้น เกรดฉันไม่ได้ดีเลิศแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเที่ยวเล่น สังสรรค์กับพวกรุ่นพี่ และทำกิจกรรมในชมรมอาสาพัฒนา ในที่สุดฉันก็เรียนจบภายในสี่ปีเป็นวิศวกรหญิงตามที่ตั้งใจไว้
หลังเรียนจบ ฉันได้เข้าทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่งย่านเทพารักษ์ ภาษาอังกฤษอันอ่อนแอได้ตามหลอกหลอนกันทุกวี่ทุกวัน ฉันพยายามไปเรียนเพิ่มเติมและอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษบ้าง ผ่านไปสองปี ความสามารถด้านภาษาก็ไม่ได้กระเตี้ยงขึ้นสักเท่าไหร่
ฉันใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับการท่องเที่ยวในเมืองไทย ไปมันทุกเดือน ขึ้นเหนือล่องใต้ ทุกเกาะทุกแก่ง กี่ภูกี่ดอยเท่าที่กำลังขาและทรัพย์จะพาไปได้ จุดอิ่มตัวกับชีวิตการทำงานในเมืองกรุงและไทยเที่ยวไทยได้มาถึงแล้ว แรงจูงใจในการทำงานและการเที่ยวเล่นของฉันเริ่มมอดลง หลายๆคนคงจะมีอาการแบบนี้ หลังจากทำงานไปได้สักสองสามปี อยากออกไปท่องโลก อยากกลับไปเป็นนักเรียน และอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น
ต่อมอยากไปใช้ชีวิตในต่างแดนเริ่มทำงานหนักขึ้น การทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างฉัน แถมใช้เงินแบบเดือนชนเดือน ชักหน้าไม่ถึงหลัง เงินทองเหลือเก็บเลยแทบจะไม่มี ฉันนั่งฝันลมๆแล้งๆและเพ้ออยู่หลายเดือนก่อนที่จะตัดสินใจบอกพ่อแม่ว่า...
" แอนจะลาออกจากงานและไปอเมริกานะ " ฉันบอกไปแบบโยนหินถามทาง
" จะไปทำอะไรที่โน่น ไปเที่ยวอย่างเดียวคงไม่ไหวนะ มันเสียเวลาเสียอนาคต ทิ้งงานดีๆไปไล่ตามความฝันลมๆแล้งๆ " แม่สวนกลับมาทันที ในขณะที่พ่อนั่งยิ้มอยู่ข้างๆ
" ก็เรียนไปด้วยเที่ยวไปด้วย ไม่ได้ลาออกไปเที่ยวอย่างเดียวสักหน่อย เดี๋ยวเก็บเงินสักปีนึงก่อนก็คงพออยู่ได้สักครึ่งปีแหละ หลังจากนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที" สุดท้ายพ่อกับแม่ก็ไม่ขัดข้อง (หรือไม่รู้จะห้ามยังไง)
ฉันเริ่มเตรียมตัวทันที งดเรื่องเที่ยวทั้งหมด เริ่มค้นหาข้อมูลว่าเรียนที่ไหนดี เรียนอะไร และได้ค้นพบว่าวิธีที่จะไปอเมริกาอย่างถูกต้อง อยู่ง่ายที่สุด และอยู่นานที่สุดก็คือการเป็นนักเรียน แต่ข้อเสียคือมันต้องใช้เงินทองมากมายเหลือเกิน
" แล้วชั้นจะหาเงินจากไหนไปจ่ายค่าเทอมละเนี่ย หรือพ่อแม่ต้องขายนาส่งควายเรียน (เที่ยว) แค่คิดก็เครียดแล้ว คงต้องไปตายเอาดาบหน้าละกัน " ฉันบ่นกับตัวเอง แต่ไม่ได้ท้อแท้ในโชคชะตา
ฉันกลับไปเรียนภาษาอังก
หลังจากนั้นฉันก็ไปเรียนคอร์สโทเฟล (TOEFL)
ฉันเลยหันมาเตรียมตัวเรื่องวีซ่านักเรียนและตัดสินใจไปลงคลาสเรียนภาษาที่โน่นแทน ฉันสมัครเรียนภาษาที่ซานต้าโม
โรงเรียนตอบรับฉันเข้าเป็นนักเรียนและออก I-20 ให้เอามาขอวีซ่านักเรียน
ฉันเข้าไปอ่านพันทิพย์ ห้องไกลบ้านทุกวัน ศึกษาข้อมูลต่างๆ รวบรวมเอกสารด้วยตัวเองจนครบ แล้
“ยินดีด้วยครับ ผมออกวีซ่านักเรียนให้คุณห้าปี ตั้งใจเรียนนะครับ”
คุณฝรั่งใจดีช่อง 10 ช่างทำให้การสัมภาษณ์วีซ่าเป็นไ
v
v
v
พ่อแม่ เพื่อนๆ และญาติๆมาส่งฉันที่สนามบินดอนเมืองกันอย่างอบอุ่นในวันออกเดินทาง ฉันซื้อตั๋วขาไปอย่างเดียวเท่านั้น มัวแต่ตื่นเต้นกับการผจญภัยข้างหน้า และพยายามเหลือเงินเก็บในกระเป๋าไว้ให้มากที่สุด เรื่องกลับมาเมืองไทยไม่ได้อยู่ในหัวฉันเลย ณ ตอนนั้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in