ใครเคยเห็นรูปนี้บ้าง น้ำตกสายเล็กๆที่ตกจากหน้าผาลงมาบนหาดทราย ฉันเห็นรูปนี้ในนิตยสารท่องเที่ยวมานานแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ส่วนไหนของอเมริกา รู้แค่ชื่อเรียกว่าน้ำตกแม็กเวย์ (Mcway Falls) ตั้งอยู่ที่ Big Sur ในรัฐ California เลยตั้งใจว่าทริปต่อไปคือการตามล่าหาน้ำตกแห่งนี้
ก่อนสอบปลายภาคเรียนของเทอมที่สอง ฉันมักจะแวะไปร้านหนังสือ Borders แทบทุกวันก่อนไปเรียน (ตอนนี้ไม่มีแล้วนะร้านหนังสือได้ล้มละลายไปตั้งแต่ปี 2011) เหตุผลหลักที่ชอบไปนั่งอ่านหนังสือที่นี่เพราะมีที่จอดรถฟรีสองชั่วโมง พอง่วงก็เดินไปมุมหนังสือท่องเที่ยวได้ ฉันเปิดหาหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับแคลิฟอร์เนีย เพื่อหาที่ตั้งของน้ำตก Mcway
หามาหลายวันก็ยังไม่เจอ จนวันนึงได้เจอคนที่ทำงานอยู่ที่ร้านหนังสือที่เป็นลูกค้าประจำร้านอาหารที่ฉันทำงานอยู่ ฉันเคยคุยกับเขาครั้งนึง หนุ่มฝรั่งลูกครึ่งไอริชอเมริกัน แต่ชื่อพระราม รามาบอกว่าพ่อแม่ของเขาชอบเรื่องรามเกียรติ์มาก เลยตั้งชื่อลูกชายว่า รามา แต่ไม่ได้ตั้งชื่อน้องสาวเขาว่าสีดา รามาเป็นหนอนหนังสือตัวยง เลยมาทำงานที่ร้านหนังสือเพื่อหารายได้เสริมระหว่างเรียนไปด้วย
ฉันรื้อหนังสือหลายเล่มมากองรอบตัว ตั้งใจว่าต้องหาให้เจอเพราะอีก 5 วันจะเดินทางแล้ว รามาเข้ามาถามว่าอยากให้ช่วยเหลืออะไรมั้ย
" What are you looking for? How can i help you? " รามาถามด้วยความสงสัยว่าฉันกำลังหาอะไรอยู่
" I am looking for Mcway Falls location. " ฉันบอกว่าหาที่ตั้งของน้ำตกแม็กเวย์ แถมชี้รูปให้ดู
พอเขารู้ว่าฉันตามหาที่ตั้งของน้ำตก Mcway รามาเดินไปหยิบแผนที่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย แล้วชี้ให้ดูว่าน้ำตกตั้งอยู่ที่ Big Sur ใน Julia Pfeiffer Burns State Park ขับรถไปทางถนนสายแฟซิฟิก (Pacific Coast Hwy) หนึ่งในเส้นทางขับรถที่สวยที่สุดในอเมริกา ฉันตื่นเต้นกับข้อมูลที่ได้มาก ไม่รอช้ารีบซื้อแผนที่กลับบ้านทันทีและไม่ลืมขอบคุณรามาที่ช่วยชี้ทางสว่างให้
ทางหลวงที่สวยติดอันดับ 1 ทอดยาวไปตามมหาสมุทรแปซิฟิก (Pacific Coast Highway, CA)
ฉันวางแผนว่าสอบปลายภาคเสร็จแล้วจะขับรถโรดทริปจากแอลเอไปซานฟรานซิสโกโดยใช้เส้นทางสายแปซิฟิก เป้าหมายหลักคือตามหาน้ำตก Mcway เพื่อนสาวจากโคโลราโดจะมาร่วมแจมด้วย แต่มีเหตุให้ต้องกลับเมืองไทยไปก่อนเลยไม่ได้ไปตะลุยทริปที่สองด้วยกัน
ฉันเหลือผู้ร่วมผจญภัยเพียงคนเดียวคืออเล็กซ่า เป็นไงเป็นกัน เหลือแค่สองคนก็ต้องไป ผู้ปกครองไม่อนุญาตก็แอบไป ฉันไม่อยากพลาดโอกาสไปสำรวจที่ใหม่ๆที่ยังไม่เคยไปเยือน เลยเงียบๆไม่ได้บอกน้ากลางว่า ไปกันแค่สองคนกับอเล็กซ่า
ในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง พวกเราไปเช่ารถที่ร้านเช่ารถแห่งนึงใกล้ๆที่พักฉัน เกิดเหตุขัดข้องที่ไม่คาดฝันว่าจะเกิดขึ้น พวกเราไม่มีบัตรเครดิต ทางบริษัทจะไม่ให้เช่า เพราะไม่เชื่อในเครดิตของเรา ในที่สุดฉันต้องไปถอนเงินสดมาเพื่อวางเงินมัดจำ ถึงจะได้รถเช่าเล็กๆมาหนึ่งคัน กว่าจะพร้อมออกเดินทางก็สิบโมงเช้าแล้ว
ออกจากแอลเอด้วยการขับขึ้นไปทางเหนือโดยใช้ทางหลวงสาย 101 ในช่วงแรก จนผ่านซานต้าบาร์บาร่า (Santa Barbara) ถึงจะแยกเข้าสาย 1 เพื่อเลียบมหาสมุทรแปซิฟิกไป พวกเราขับกันไปเรื่อยๆ ไม่เร่งร้อน เห็นวิวตรงไหนสวยก็แวะถ่ายรูปไปตลอดทาง ทางสายนี้วิวสวยอย่างที่ร่ำลือกันไว้จริงๆ ผ่านจุดชมวิวริมทะเลสวยๆมากมาย จนอดใจไม่หยุดชมไม่ได้จริงๆ
ดอกไม้หลากสีต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ บานให้เห็นเป็นสีพาสเทลตลอดเส้นทาง
พวกเราได้แวะเที่ยวที่คฤหาสห์เฮิร์สท (Hearst Castle) ที่เมืองซานไซเมียน (San Simeon) เจ้าของแมนชั่นแห่งนี้เป็นเศรษฐีหนังสือพิมพ์ตระกูล Heatst ในยุค 1900 ได้นำเงินมาสร้างคฤหาสห์ไว้ที่บนเขาแห่งนี้ สิ่งที่ฉันทึ่งมากคือ สถาปนิกที่ออกแบบสถานที่แห่งนี้เป็นผู้หญิง เธอชื่อจูเลีย มอร์แกน (Julia Morgan) เธอใช้เวลาทั้งหมด 17 ปีในการออกแบบทั้งในและนอกคฤหาสห์รวมถึงสระว่ายน้ำภายในและภายนอก และสวนสวยๆรอบตัวแมนชั่นด้วย เที่ยวชมที่นี่จนบ่ายแก่ๆ เลยเร่งเดินทางเพื่อตามหาน้ำตกกันต่อก่อนที่ฟ้าจะมืดลง
คฤหาสห์เฮิร์สท (Hearst Castle, San Simeon, CA)
ตอนนี้ไม่จอดพักที่ไหนต่อแล้ว เพราะกลัวจะไปหาน้ำตกเจอตอนมืด ขับไปจนจะหนึึ่งทุ่มแล้วยังไม่ถึงจุดที่กาไว้ในแผนที่สักที ผ่านไปไม่เกินสิบนาทีฉันก็มองเห็นป้ายบอกทางไปอุทยาน Julia Pfeiffer Burns State Park ที่ตั้งของน้ำตก Mcway ฉันกับอเล็กซ่าตื่นเต้นมาก ในที่สุดพวกก็ใกล้จะได้ถึงเป้าหมายแล้ว
จอดรถแล้วเดินเท้าลอดอุโมงค์มาจนริมหน้าผา ได้มาเห็นน้ำตกตอนพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าพอดี ฉันพยายามถ่ายแสงสุดท้ายของวันพร้อมกับชมความงามของน้ำตกสายเล็กๆที่ตกจากหน้าผาไปด้วย น้ำทะเลสีฟ้าใสกับคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งช่างดูลงตัวได้อย่างน่าประหลาดใจ พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน ท้องฟ้าก็มืดลง เลยต้องออกเดินทางกันต่อ เสียดายมากที่ขับรถผ่านบิ๊กเซอร์ (Big Sur) ตอนกลางคืนเลยอดเห็นวิวสวยๆกับสะพานบริ๊กบี้ (Bixby Bridge) โอกาสหน้าฉันจะต้องมาถ่ายรูปสะพานนี้ให้ได้
พจมานยืนชมน้ำตก Mcway Falls ก่อนพระอาทิตย์ตก
พวกเราหาที่พักถูกๆได้ที่เมืองซานต้าครูซ (Santa Cruz) ฉันจำไม่ได้ว่าพวกเรากินข้าวเย็นกันหรือป่าว รู้แค่ว่าหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย หลังจากขับรถคดเคี้ยวกันมาทั้งวัน พรุ่งนี้เช้าตั้งใจจะขับรถต่อไปบนสายแปซิฟิกจนเข้าเมืองซานฟราน
นอนหลับกันเต็มอิ่ม ตื่นเช้ามาอารมณ์สดใสทั้งคู่ แต่อากาศดันไม่เป็นใจด้วย หมอกลงหนามากทั่วทั้งเมือง ยิ่งขับรถเลียบริมทะเล แทบจะมองไม่เห็นระยะทางไกลๆเลย วิวทะเลแทบไม่ต้องพูดถึง เต็มไปด้วยหมอกหนา พวกเราขับกันไปช้าๆ เน้นความปลอดภัยไว้ก่อน
ขับไปได้ไม่ไกลก็ผ่านประภาคารพิเจ้น (Pigeon Lighthouse) หมอกเริ่มจางลง เลยตัดสินใจแวะกัน ไม่ผิดหวังเลยเพราะที่นี่เป็นหนึ่งในสิบของประภาคารที่สวยที่สุดของอเมริกา มีโฮสเทล (Hostel) ให้พักด้วย ตัวตึกตั้งอยู่ริมหน้าผาและสามารถเดินลงไปชมปะการังตอนน้ำลงได้ เสียดายไม่ได้ทำการบ้านมาก่อน ไม่งั้นคงจะพักกันที่นี่แทน
มีผู้หญิงสูงอายุคนนึง ยืนวาดภาพประภาคารกับวิวทะเลยามเช้า มันทำให้ฉันอยากกลับไปวาดรูปสีน้ำเหมือนตอนสมัยเด็กๆที่ฉันชอบบ้าง ฉันเคยชนะการประกวดวาดรูปในจินตนาการหัวข้อจักรวาลกับวิทยาศาสตร์ และเคยวาดการ์ตูนเรื่องบ้านขนมปังทั้งเรื่อง ฉันไม่รู้ว่าทำไมโตขึ้นแล้วถึงโยนภู่กันทิ้งหมด ทั้งๆที่ฉันเคยสนุกกับมันมาก
Pigeon Lighthouse, Pescadero, CA
ออกเดินทางกันต่อ พวกเราขับไปได้สักพักก็เจอทุ่งดอกไม้สีเหลืองตั้งอยู่บนเนิน แถมมองเห็นทะเลและหาดทรายขาวข้างล่าง ต้องรีบเลี้ยวรถกลับไปชมทุ่งดอกไม้กันทันที ฉันชวนอเล็กซ่าวิ่งลงเนินไปเล่นที่หาดทรายอยู่แป๊บนึงก่อนที่จะออกเดินทางต่อ
ขับกันไปต่อได้ไม่นานดันเจอถนนปิด ไม่ได้ปิดแค่ชั่วคราวนะ ปิดแบบถาวรเพื่อปรับปรุงถนนเส้นริมทะเล ฉันคงขับแล้วไม่ได้มองป้ายเตือน เลยต้องเลี้ยวรถกลับ แล้วย้อนกลับไปทางหลวงสาย 280 เพื่อเข้าเมืองซานฟรานแทน เลยอดชมวิวส่วนที่เหลือก่อนถึงเมืองซานฟราน
สมัยนั้นยังไม่มีสมาร์ทโฟน จะผิดจะหลงยังไงก็สามารถอาศัยสิ่งเหล่านี้เพื่อเอาตัวรอดได้เสมอ
1) เปิดแผนที่อเมริกาเพื่อหาทางหลวงสายหลัก วิธีอ่านแผนที่ไม่ยาก ควรทำความเข้าใจก่อนเดินทาง
2) ใช้ปากถามทาง เจอใครก็จอดถามอย่าได้อาย ดีกว่าหลงทางเสียเวลา
3) รู้ว่าทิศเหนือใต้ออกตกอยู่ทางไหน เรียกอีกอย่างว่ามีเซ้นในเรื่องทิศทาง (Sense of direction)
4) รู้ว่าทางหลวงเลขคู่วิ่งไปทางทิศตะวันออก-ตะวันตก ส่วนเลขคี่จะวิ่งทิศเหนือ-ใต้
ตัวช่วยง่ายๆแค่นี้ แต่ทำให้เราไปถึงจุดหมายปลายทางได้เช่นกันโดยไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยี
Wild flowers and overlooking the Pacific Ocean, CA
ในที่สุดก็มาถึงตัวเมืองซานฟรานและหาโรงแรมที่จองไว้จนเจอในช่วงบ่าย อาจจะใช้เวลาบ้างพอเข้าเขตถนนวกเวียนวันเวย์ในเมือง แต่ฉันพอจะคุ้นเคยและจำชื่อถนนเส้นหลักๆในเมืองได้จากการมาเที่ยวครั้งก่อน การท่องเที่ยวในเมืองซานฟรานเลยง่ายขึ้นหลายเท่าตัวนักเมื่อเทียบกับครั้งแรก
พวกเราจองที่พักแค่หนึ่งคืน หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้ว สองสาวก็ออกตะลุยเมืองกันทันที อากาศหน้าร้อนที่ซานฟราน แทบไม่ร้อนเลย ออกจะหนาวและลมแรงด้วยซ้ำ ต้องมีเสื้อแจ็คเก็ตติดตัวไว้เสมอ อาทิตย์ตกเมื่อไหร่ ความเย็นก็มาเยือนทันที
ทริปนี้เราเน้นเที่ยวชมจุดสำคัญๆในเมืองและจบท้ายด้วยการกินอาหารทะเลแถวๆท่าเรือ อเล็กซ่าเลี้ยงมื้อเย็นฉันเป็นกุ้งล๊อบสเตอร์ตัวโตกับซุปครีมปู อาหารอร่อยมาก นี่เป็นครั้งแรกที่กินอาหารทะเลที่ไม่มีน้ำจิ้มซีฟูดรสเด็ด ฉันอิ่มแปล้แถมเงินอยู่ครบด้วย พวกเราไปเดินเล่นที่โรงงานช๊อคโกแลต Ghirradelli กันต่อ เลยได้ของหวานติดมือกันมาเล็กน้อย
หลายคนคงเคยได้ยินว่าเมืองซานฟราน เป็นเมืองที่โรแมนติก ฉันไม่ขอเถียงในเรื่องนี้เลย ความมีเสน่ห์ของเมืองนี้ไม่เคยเปลี่ยน ไม่จะเป็นสะพานสีแดง (Golden Gate Bridge) ที่ทอดข้ามอ่าวซานฟรานซิสโก ถนนงู (Lombard street) กับดอกไม้และบ้านสวยๆ ความสนุกของการวิ่งขึ้นลงรถราง (Cable Car) เพื่อนั่งชมเมืองซานฟราน ท่าเทียบเรือที่เปลี่ยนมาเป็นร้านค้าเก๋ๆ และร้านอาหารทะเลมากมายเช่นที่ Pier 39 ความหลากหลายของผู้คนที่มารวมตัวกันที่นี่ และสุดท้ายคือตัวเมืองซานฟรานเองที่เป็นตัวดึงดูดใจให้ผู้คนกลับไปเยือนได้เสมอ
The Golden Gate Bridge, San Francisco, CA
พวกเราเดินเที่ยวกันจนดึกดื่น ขอตื่นสายๆนิดนึงวันนี้ หลังจากเหนื่อยกันมาทั้งวัน พวกเราเลือกทางหลวงสาย 5 เพื่อเดินทางกลับแอลเอ ถนนสายนี้ขับสบายและเร่งความเร็วได้ ใช้เวลาไม่น่าจะเกิน 6 ชั่วโมงก็ถึงบ้าน ขากลับพวกเราไม่ได้แวะเที่ยวที่ไหน เพราะต้องรีบกลับไปคืนรถก่อนจะมืด ไม่งั้นได้เสียเงินเพิ่ม พวกเราทำเวลาได้ดีทีเดียวและส่งรถทันเวลาก่อนที่ร้านจะปิด
กลับถึงบ้านไปโม้ให้น้ากลางและน้าทิพย์ฟังว่าถนนแปซิฟิกสวยขนาดไหน ซานฟรานก็มีเสน่ห์ ความแตกโดนน้าจับได้ว่าไปกันแค่สองคน กลายเป็นโดนบ่นเพราะว่าแอบหนีไปเที่ยวไกลๆโดยไม่บอกให้รู้ น้าๆก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ หลังจากเห็นพวกเราเดินทางกลับบ้านโดยปลอดภัย
ฉันบรรลุเป้าหมายในการตามล่าหาน้ำตก Mcway Falls ตามที่ตั้งใจไว้ ถึงแม้มันจะเป็นแค่ทริปสั้นๆ แต่กลับทำให้ฉันเข้าใจความหมายของการเดินทางมากขึ้น
" สิ่งสำคัญของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมายเสมอไป ความสวยงามของสิ่งเล็กๆระหว่างทางกลับมีความหมายไม่ด้อยไปกว่าปลายทางที่ฉันตามหาเช่นกัน " --- แอน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in