การมีรถขับในแอลเอก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หลังจากฉันพยายามเก็บเงินและซื้อรถได้แล้ว แต่ดันลืมคิดไปว่าการมีรถมันมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นตามมาอีกมากมาย เลยไม่ได้เผื่อเงินส่วนนั้นไว้เลย ตอนนี้ต้องมานั่งคิดเรื่องค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ตามมาเป็นหางว่าว
ค่าใช้จ่ายหลักๆทุกเดือนที่เกี่ยวกับรถมีดังนี้ ค่าประกันรายเดือน (ประกันชั้นสาม) $50, ค่าน้ำมัน $150, ค่าที่จอดรถที่มหาลัยเทอมละ $200 (สามเดือน) รายจ่ายเพิ่มขึ้นมาอีกประมาณเดือนละ $250
ส่วนค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน เช่น ค่าซ่อมบำรุง ตั้งแต่ซื้อรถเก่ามาก็มีคนแนะนำให้เปลี่ยนสายพานเครื่องยนต์ (Timing belt) จ่ายไป $700, เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง (Oil Change) จ่าย $35 ทุก 3000 ไมล์, ค่าตั๋วทำผิดกฏจราจร (Traffic Ticket) ซึ่งไม่ประสงค์เลยแต่มักจะโดนบ่อยๆ เอามารวมกันมันก็เป็นรายจ่ายที่เยอะพอสมควร
ฉันจ่ายหนักที่สุดคงเป็นจากตั๋วจราจร ตั้งแต่มีรถไม่ถึง 6 เดือนโดนตั๋วไปหลายใบมาก เช่น ขับรถฝ่าไฟแดงแล้วกล้องถ่ายภาพไว้ (Photo Enforced) $480, ขับรถเร็วกว่าความเร็วที่กำหนด $220, จอดรถในเขตห้ามจอดหรือจอดนานเกินกำหนดเวลา รวมๆกันประมาณสามครั้ง $150
ส่วนค่าใช้จ่ายรายปี ก็ยังมีค่าต่อทะเบียนรถและจ่ายภาษีตกประมาณ $100 ฉันปวดใจทุกครั้งที่เห็นใบเรียกเก็บเงินจากรายการเหล่านี้ จึงขอย้ำให้ทุกคนปฏิบัติตามกฏจราจรให้เคร่งครัดเวลาขับรถที่นี่ จะได้ไม่เสียเงินโดยช่ายเหตุอย่างฉัน
เล่าถึงค่าใช้จ่ายไปแล้ว ขอมาพูดถึงข้อดีของการมีรถบ้าง แอลเอเป็นเมืองใหญ่ที่มีระบบขนส่งไม่สะดวกเหมือนเมืองอื่นๆ การมีรถขับเลยช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางให้เราได้มาก เช่น เดินทางไปเรียนไปทำงานสะดวกขึ้น ไม่ต้องมากังวลเรื่องไม่มีรถเมล์กลับบ้าน สามารถไปซุเปอร์มาเก็ต ช็อปจนหมดตลาดก็ขนกลับมาได้ ตอนไม่มีรถเวลาไปซื้อของ ฉันต้องเอาเป้สะพายหลังไปใส่ของหลังจากซื้อเสร็จ แถมหิ้วถุงพะรุงพะรังขึ้นรถเมล์สองต่อกลับมาบ้าน ทำให้ต้องไปตลาดบ่อยๆ เพราะไม่สามารถขนมาได้เยอะ มันไม่สะดวกเลยนะแต่ก็พอทำได้อยู่ อย่ากลัวว่าไม่มีรถแล้วจะอยู่เมืองนี้ไม่ได้
ข้อดีที่ฉันชอบที่สุด คือ เวลาที่ไม่มีเรียนหรือไม่ต้องทำงาน ฉันสามารถขับรถไปสำรวจย่านต่างๆใน LA ได้อย่างสนุก เมืองแอลเอค่อนข้างกระจายตัวออกไปในทุกทิศ ทำให้แต่ละเขตมีอะไรที่น่าสนใจต่างกัน ฉันชอบตระเวณไปทั่วในวันว่างๆ การที่ไม่รู้ว่าถนนตรงไหนมีกล้อง รถวิ่งทางเดียวหรือสวนทาง ห้ามจอดวันคู่วันคี่ และไม่ได้สนใจรายละเอียด เลยทำให้ฉันได้ตั๋วจราจรมาบ่อยๆ ส่วนใหญ่ก็มาจากการขับรถไปในที่ใหม่ๆแทบทั้งนั้น
อีกอย่างที่ฉันชอบคือการไปเที่ยวเมืองใกล้ๆ เช่น เมือง Solvang, Santa Babrara, San Diego, และ Anaheim จะมาเล่าต่อช่วงหลังว่าเมืองเหล่านี้มีอะไรให้ทำบ้าง
และสุดท้ายที่ฉันทำประจำทุกสัปดาห์คือการขับรถไปที่ซานต้าโมนิก้าบีช ฉันชอบไปวิ่งและเดินเล่นริมทะเล อพาร์ทเม้นที่ฉันพักอยู่ไม่ไกลจากที่นั่นเท่าไหร่ ขับไปแค่ 10 นาทีก็หาที่จอดรถและวิ่งได้ทันที มันเลยเป็นที่โปรดของฉันคงเพราะความสะดวกและประหยัดไม่ต้องเสียค่าที่จอดรถ
ถือว่าได้อย่างเสียอย่างว่าจะเลือกมีรถหรือไม่ อยู่ที่ตัวเราแลัวละ ว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาได้หรือไม่ ความสะดวกสบายย่อมมากับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเสมอ
หลังจากมีรถคันแรกเป็นของตัวเอง ผ่านไป 7 เดือน ฉันประสบอุบัติเหตุระหว่างขับรถกลับบ้าน จำได้ว่ารีบมากหลังจากเลิกเรียนตอนสามทุ่ม แวะซื้อข้าวที่ร้านไทยแล้วบึ่งรถกลับบ้านเพื่ออ่านหนังสือเตรียมตัวสอบในวันรุ่งขึ้น
ถนนเส้นที่ขับเป็นแนวลาดลงเนิน ฉันเห็นไฟเขียวอยู่ไกลๆ เลยเร่งความเร็วเพื่อให้ผ่านไฟเขียว ทันทีทันใดไฟเขียวก็เปลี่ยนเป็นไฟเหลือง รถคันหน้าเลยหยุด แต่ฉันหยุดไม่ทันเนื่องจากความเร็วที่เร่งขึ้นไป สุดท้ายก็ชนท้ายรถคันข้างหน้าเป็นรถ BMW Hatchback เต็มที่เลย ปรากฏว่ารถทั้งสองคันพัง ตำรวจก็มาสอบปากคำ โทรบอกประกันและเรียกรถลากให้ลากรถคู่กรณีไปที่อู่ซ่อมรถ ส่วนรถฉันลากไปที่อพาร์ทเม้นเพราะไม่รู้ว่าจะไปซ่อมที่อู่ไหน แถมไม่มีประกันที่จะซ่อมรถตัวเองด้วย
ฉันซื้อประกันชั้น 3 เพราะเป็นรถเก่า จะซ่อมให้เฉพาะรถของคู่กรณีเท่านั้น หลังซ่อมรถคู่กรณีเสร็จ ทางประกันส่งบิลค่าซ่อมรถ BMW มาให้ดู ลมแทบจับ ค่าซ่อมรถคันนั้นตกเป็นเงิน $10,000 พอดี ประกันของฉันจ่ายเต็มที่ได้พอดีเลยไม่ต้องออกเงินเพิ่ม
ส่วนรถ Avalon ของฉันไม่ต้องพูดถึงพังยับตั้งแต่กันชนหน้ามาถึงกระโปรงรถ เครื่องยนต์ไม่ได้เสียหายมากจากการประเมินด้วยสายตาของฉัน แต่ต้องดูว่าค่าซ่อมเท่าไหร่ ถ้าไม่เยอะฉันก็อยากจะซ่อมและขับรถคันนี้ต่อ
Alexa เอาบัตร AAA มาให้และโทรเรียกรถลากให้ฉัน พวกเราให้ลากรถไปที่อู่คนไทย ช่างไทยตีราคาค่าซ่อมรถประมาณ $6000 ฉันน้ำตาตกในเพราะไม่มีปัญญาหาเงินมาซ่อมรถตัวเอง เลยตัดสินใจขายซากรถไป ได้เงินมา $600 จบแล้วกับรถคันแรกหลังจาก 7 เดือนที่ร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน
สุดท้ายฉันก็กลับมานั่งรถเมล์ไปมหาลัยและไปทำงานเช่นเคย ฉันเศร้านิดหน่อยแต่ไม่ได้ท้อแท้อะไร ฉันโชคดีที่ไม่เจ็บตัวมาก ฉันคิดในแง่ดีก็ถือว่าฟาดเคราะห์กันไป
ผ่านไปสองเดือน ฉันคิดว่าเรื่องคงจบแล้ว แต่ยังไม่จบแค่นั้น ทางฝ่ายคู่กรณีให้คนส่งหนังสือมาขอค่าทำขวัญอีก $10,000 !!
ด้วยเหตุผลที่ว่า รถ BMW ของเขาเสียมูลค่าไปกลายเป็นรถซ่อมแล้วมาขับใหม่ ขายต่อก็ไม่ได้ราคา เค้าส่งบริษัททวงหนี้มาทวงเงิน ทั้งส่งหนังสือมาทวง ทั้งโทรมาทวง มาขอให้ผ่อนจ่ายเป็นรายเดือนก็ได้ถ้าไม่มีเงินก้อน
ฉันสงสัยว่าพวกบริษัททวงหนี้สามารถเข้าไปดูยอดในบัญชีธนาคารของเราได้หรือ เพราะตอนคุยกันเค้ารู้ว่าฉันมีเงินเก็บอยู่เท่าไหร่ เลยมาเสนอให้ฉันจ่ายเงินเป็นงวดๆแทน ฉันเริ่มลนลานไม่รู้จะทำยังไงต่อ ฉันเริ่มปรึกษาเพื่ิอนๆหลายคนว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง แต่ไม่มีใครเคยเจอประสบการณ์แบบนี้
ฉันเลยโทรไปคุยกับบริษัทประกันเพื่อปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น เค้าบอกว่าไม่น่าจะทำได้ในทางกฏหมาย ประกันได้จ่ายค่าซ่อมรถให้จนสภาพเป็นปกติแลัว เจ้าของรถเอาออกจากอู่ไปและขับได้ตามปกติ ก็ถือว่าจบ เขาแนะนำให้ฉันบอกบริษัททวงหนี้ให้ส่งคำสั่งจากศาลมาแทน
ฉันเลยบอกบริษัทที่โทรมาทวงหนี้ว่า เดี๋ยวไปคุยกันในศาล ถ้าศาลบอกว่าฉันต้องจ่ายเพิ่มและทำผิดกฏหมายจริง ฉันจะยินดีจ่ายให้ ฉันยังได้รับหน้งสือทวงหนี้ส่งมาที่อีกสองสามฉบับ แต่ไม่เคยเห็นหนังสือจากศาล ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป ไม่มีใครโทรมารังควาญอีก
ฉันมานั่งคิดดูว่าทำไม คู่กรณีถึงจะเอาผลประโยชน์จากความไม่รู้อิโหน่อิเหน่จากฉัน เค้าคงเห็นว่าฉันเป็นนักเรียนต่างชาติ ไม่รู้เรื่องอะไร โทรมาขู่ก็คงกลัวและยอมจ่ายเงินให้ เพื่อเรื่องจะได้จบๆมั้ง
ฉันอยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่า ขับรถต้องระมัดระวัง อย่าประมาท ปฏิบัติตามกฏจราจรให้เคร่งครัดให้จำไว้ว่าเจ็บใจไม่กลัว แต่เจ็บตัวนี่ลำบาก เวลาอยู่ต่างแดนค่าประกันค่าหมอแพงมาก
ฝากอีกอย่างคือ อย่าเชื่อหรือกลัวเวลามีคนมาขู่ทวงเงินในลักษณะนี้ ให้ปรึกษาคนที่เชี่ยวชาญด้านกฏหมาย ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา หน่วย Paralegal ในมหาลัย หรือทนายความ คนเหล่านี้สามารถให้คำปรึกษาและช่วยเราได้เช่นกัน
ปล. ผ่านไป 2 เดือน ฉันต้องรบกวนเงินที่บ้านมาซื้อรถคันที่สอง เพราะว่าเลิกเรียนสามทุ่มครึ่ง บางวันเลิกงานห้าทุ่มกว่า ไม่มีรถเมล์นั่งกลับบ้าน การเป็นคนไม่ชอบรบกวนคนอื่นทำให้ฉันเลือกเสียเงินอีกครั้งเพื่อแลกกับความสะดวก ไม่อดทนเลยเนอะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in