เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Before the 14th CupTippuri~ii*
chapter 5
  • My whole heart

    Will be yours forever

    This is a beautiful start

    To a lifelong love letter

     

     

     

     

    *****

     

     

    Chapter 5

     

     

     

     

    ถึงจะแวะมาที่คาเฟ่เดอะเมซทุกวันอย่างสม่ำเสมอ…แต่นิวท์ก็ไม่เคยมีช่วงเวลาอันตายตัวว่าจะเข้ามาตอนกี่โมง ซึ่งตามปกติแล้ว คุณเจ้าของร้านก็ไม่เคยวิตกกังวลอะไรหรอก…แต่หลังจากเมื่อวาน – วันอันเต็มไปด้วยหลายความรู้สึกที่ค้างคาให้เลิกคิดถึงไม่ได้ – ความอดทนและความมีสติของมินโฮก็หมดลงตั้งแต่เข็มสั้นของนาฬิกายังไม่ทันชี้เลขสิบเอ็ดดีด้วยซ้ำ

                   

     

     

     

     

    “สรุปคือ…เขาไม่รู้ว่านายรู้ แล้วนายก็รู้ว่าเขาไม่รู้ว่านายรู้?”

                   

     

     

     

     

    นี่คือประโยคจากโทมัสหลังจากที่คุณบาริสต้าหมายเลขหนึ่งโดนบรรยากาศร้านที่ไม่มีนิวท์เข้ามาเสียทีเล่นงานจนต้องเล่าทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟังกล่าวออกมา…เพราะถึงจะได้ชื่อว่าเป็นลูกมือประจำร้าน แต่มินโฮก็สนิทกับหนุ่มน้อยมานานพอที่จะคุยเรื่องส่วนตัวแบบนี้กันได้แล้ว

                   

     

     

     

     

    “ราวๆ นั้น…” ประโยคอาจชวนงงในสายตาคนนอก แต่ไม่ใช่เลยในสายตาบุคคลในเรื่องราวอย่างเขา ลมหายใจถูกถอนดังเฮือกใหญ่ “และที่โคตรน่าปวดหัวเลยก็คือ…ฉันไม่รู้ว่าถ้าเขารู้ว่าฉันรู้ขึ้นมาจะเป็นไง”

                   

     

     

     

     

    แถมจากเมื่อวาน…ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านิวท์จะเดาได้จากท่าทางและคำพูดที่เขาเผลอตัวหลุดปากออกไปแล้วหรือเปล่า… 

                   

     

     

     

     

    “ใจเย็นนะพวก” โทมัสตบบ่ากำยำนั่นอย่างให้กำลังใจ “เรายังไม่รู้ซะหน่อยว่านิวท์จะรู้รึเปล่าว่านายรู้…แล้วอีกอย่าง เขาก็ดูไม่ใช่คนที่จะโมโหอะไรไร้สาระนะ นายก็แค่รู้อาชีพจริงๆ ของเขาอยู่แล้วเท่านั้นเอง…มันไม่ได้คอขาดบาดตายอะไรสักหน่อย”

                   

     

     

     

     

    มินโฮยังคงขมวดคิ้วยุ่ง อธิบายเสียงฮึดฮัด “นายฟังไม่เข้าใจเรอะ…ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร แต่ฉันก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ต่อหน้าเขา…ไม่โกหกก็ดูเหมือนโกหกล่ะวะ”

                   

     

     

     

     

    “แล้วไงล่ะ? เขาเองก็ไม่ได้ยอมเล่าตรงๆ ซะหน่อย แกล้งไม่บอกเพื่อจะเก็บข้อมูลจากนายอยู่ชัดๆ…เพราะงั้นก็เจ๊าๆ กันแล้วแหละ” โทมัสแสดงความเห็น “ฉันว่านะ…นายสู้บอกเขาไปเลยตรงๆ ดีกว่าว่านายรู้ เป็นไงเป็นกัน…อย่างน้อยก็ถือว่านายได้พูดความจริงแล้วไง จะได้เลิกติดในใจซะทีว่านายโกหกเขา ว่าไง?”

                   

     

     

     

     

    เหตุผลที่มินโฮไม่ได้สวนไปว่ามันไม่ได้ทำได้ง่ายๆ แบบนั้นก็คืออย่างน้อยเขาก็รู้ว่าโทมัสพยายามจะช่วย และก็ใช่ว่าคำแนะของอีกฝ่ายจะไม่ใช่เรื่องถูกต้อง…เพียงแต่ปัญหาเดียวก็คือ เขาไม่มีแม้แต่ไอเดียแรกเริ่มเลยว่าควรจะทำให้บทสนทนานี้เกิดขึ้นระหว่างตัวเองกับนิวท์ได้ยังไง

                   

     

     

     

     

    เพราะทุกอย่างตอนนี้ก็ดูจะอยู่ในจุดสมดุลอยู่แล้ว…การเปลี่ยนแปลงจึงได้ดูน่าหวาดหวั่นนัก… 

                   

     

     

     

     

    “ฉันก็ว่ามันก็แอบน่ากลัวแหละ…ไม่รู้นี่นาว่านิวท์จะโอเคมั้ยถ้ารู้ว่าเราเองก็ปิดเขามาตลอดว่าเรารู้ตัวจริงของเขา” ราวกับอ่านใจได้…โทมัสพูดต่อ ดวงตามีแววครุ่นคิดหากก็หนักแน่น “แต่ถ้านายคิดว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ…ฉันบอกเลยว่ามันแค่เหมือนจะโอเคเท่านั้นแหละ ไม่ได้โอเคจริงๆ หรอก เพราะไม่มีใครพูดความจริงต่อกันเลย”

                   

     

     

     

     

    มินโฮเลิกคิ้วสูง ประหลาดใจไม่น้อยเลย “โว้ว…วันนี้นายมีสมองนะเนี่ยโทมัส เบรนด้าเอาอะไรแปลกๆ ให้นายกินหรือเปล่าน่ะ?”

                   

     

     

     

     

    “เงียบไปเลย” หนุ่มรุ่นน้องกำหมัดชกบ่าเขาเบาๆ “แล้วอย่างน้อยฉันก็จีบเบรนด้าจนสำเร็จล่ะวะ…ไม่เหมือนไอ้งั่งแถวนี้บางคน”

                   

     

     

     

     

    มินโฮขยับจะโต้ตอบ…แต่ก็เงียบไว้เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าบาริสต้าหมายเลขสองที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เจ้าตัวเขี่ยๆ แขนมินโฮพร้อมพยักเพยิดนิดๆ…กิริยาอันไม่จำเป็นเลย เพราะคุณเจ้าของร้านเดาได้เองแล้วจากเสียงกระดิ่งหน้าประตูที่ดังกรุ๋งกริ๋งต้อนรับว่าโทมัสต้องการจะบอกว่าลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาคือใคร

                   

     

     

     

     

    แล้วในชั่วเวลาไม่กี่ก้าว…นิวท์ก็เดินมาถึงเคาเตอร์สั่งเครื่องดื่ม

                   

     

     

     

     

    “หวัดดี…” คำทักมีให้บาริสต้าทั้งสอง…ได้รับการตอบรับเป็นรอยยิ้มจากทั้งคู่ เพียงแต่ว่าเป็นรอยยิ้มของมินโฮเท่านั้นที่ทำให้จังหวะหัวใจของเขาก้าวกระโดดเล็กน้อย “ดับเบิ้ลช็อต…แบบร้อนนะ ทานที่นี่แหละ”

                   

     

     

     

     

    คุณเจ้าของร้านพยักหน้ารับรู้แล้วรับธนบัตรไป บอกนิวท์ว่าให้ไปหาโต๊ะนั่งรอได้เลย…การพูดคุยที่สบายๆ อย่างทุกๆ วันที่ผ่านมา เป็นปกติเสียจนชายหนุ่มผมสีคาราเมลแอบสงสัยเลยทีเดียวว่าความหวั่นไหวของเมื่อวานเป็นสิ่งที่เกิดจริงหรือไม่…แต่ก็อดโล่งใจไม่ได้ เพราะความราบรื่นนี้อย่างไรเสียก็ดีกว่าบรรยากาศชวนอึดอัดใจอยู่แล้ว

                   

     

     

     

     

    มินโฮเริ่มต้นผสมเอสเพรสโซเข้มข้นไร้น้ำตาลหรือครีมใดๆ ตามออเดอร์…กลิ่นขมเข้มอวลกรุ่น ดับเบิ้ลช็อตไม่ใช่เมนูที่คนสั่งบ่อยนัก และแม้แต่ตัวเขาเองที่ชอบกาแฟดำก็ยังไม่ค่อยสู้ความเข้มข้นแบบนี้ไหวเลย…ซึ่งนั่นก็ทำให้มินโฮแอบขำอย่างเอ็นดูกับความทุ่มเทของคุณคอลัมนิสต์ เพราะจากการรับเมนูกาแฟมาติดๆ กันหลายวัน…ชายหนุ่มพอจะจับทางได้แล้วว่านิวท์ชอบกาแฟรสเบาๆ หน่อยมากกว่า

     

     

     

     

     

    “พอเอาไปเสิร์ฟแล้วนายก็นั่งคุยกับเขาเลยไป” โทมัสแอบกระซิบ “บอกเขาตอนนี้เลยก็ได้ว่านายรู้…เดี๋ยวฉันจัดการตรงนี้ให้เอง”

     

     

     

     

     

    ตบบ่าเป็นกำลังใจแถมให้อีกที…แล้วก็เดินไปรับออเดอร์ของลูกค้าใหม่ตรงที่เคาเตอร์

     

     

     

     

     

    ทางด้านของคุณคอลัมนิสต์…นิวท์เลือกนั่งที่โต๊ะตัวที่มีเก้าอี้เดี่ยวๆ ล้อมรอบ เขาวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ว่างข้างๆ ตัวแล้วค้นเอาแล็ปท็อปออกมา…วันนี้เป็นวันของขั้นสุดท้ายของการทำงานของเขา ช่วงที่นิวท์ไม่ชอบที่สุดในกระบวนการก่อนส่งต้นฉบับ…ซึ่งก็คือการที่เขาต้องนั่งพิมพ์สิ่งที่ตัวเองเขียนมาทั้งหมดให้เป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์นั่นเอง

     

     

     

     

     

    เพราะต้องคอยมองหน้ากระดาษสลับกับจอแล็ปท็อป…การพิมพ์จึงดำเนินไปได้อย่างอืดอาด แถมยังพิมพ์ผิดบ่อยๆ ให้ต้องมาคอยแก้อีกด้วย ความเชื่องช้าและน่ารำคาญของกระบวนการขั้นนี้เป็นอะไรที่ทำให้นิวท์หัวเสียปนหงุดหงิดตัวเองเสมอ…และวันนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น

     

     

     

     

     

    “เป็นอะไรหรือเปล่าน่ะ?” มินโฮทักเมื่อเดินมาที่โต๊ะพร้อมกาแฟ…ชายหนุ่มผมสีคาราเมลกำลังขมวดคิ้วพร้อมพึมพำคำสบถรัวๆ อยู่เบื้องหน้าจอแล็ปท็อป เรือนผมสีอ่อนนั่นโดนเจ้าตัวยีเองจนยุ่ง…ภาพที่ทำให้มินโฮรู้สึกผิดจริงๆ ที่ตนรู้สึกว่ามันน่าเอ็นดูชะมัดทั้งๆ ที่อีกฝ่ายกำลังอารมณ์เสียแบบนี้

     

     

     

     

     

    “อะ อ๋อ…ไม่มีอะไรหรอก…” นิวท์รีบปัดสีหน้างุ่นง่านของตัวเองทิ้งไป พยายามยิ้มแก้เก้อ “แค่…มันน่าหงุดหงิดชะมัดเลยน่ะเวลาต้องอ่านไปพิมพ์ไปอย่างนี้”

     

     

     

     

     

    มินโฮส่งเสียงฮึมฮัม วางถ้วยร้อนกรุ่นลงบนโต๊ะให้ แล้วตัดสินใจถามออกไป “ให้ฉันช่วยมั้ยล่ะ?”

     

     

     

     

     

    ดวงตาโตสีน้ำตาลนั่นกระพริบมองเขาอย่างงงๆ…คุณเจ้าของร้านเลยแจกแจงเพิ่มเติม

     

     

     

     

     

    “ก็เดี๋ยวฉันอ่านให้…นายฟังแล้วก็พิมพ์ตาม” นี่เป็นทริคในการพิมพ์เปเปอร์ที่เขาได้ใช้ช่วยคนอื่นตอนสมัยเรียน เพราะเพื่อนหลายๆ คนของมินโฮก็เป็นเหมือนนิวท์เวลาทำงาน…รู้สึกว่าตัวเองรวบรวมความคิดได้ดีกว่าถ้าได้เขียนร่างด้วยลายมือ “จะได้ไม่ต้องเสียเวลามองไปมองมาไง…เอามั้ยล่ะ?”

     

     

     

     

     

     

    เพราะนิวท์จัดการต้นฉบับด้วยตัวเองคนเดียวมาตลอด ข้อเสนอนี้จึงเป็นการอำนวยความสะดวกที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก…เขาเลยถามอย่างไม่ค่อยจะเชื่อหูตัวเอง “จะดีเหรอ? อย่าให้ฉันต้องทำให้นายยุ่งยากเลย…”

     

     

     

     

     

    “ไม่ยุ่งยากหรอก” มินโฮพูดสั้นๆ…ยักไหล่ไปทางโทมัสที่หลังเคาเตอร์ “ฉันมีปลวกลูกกระจ๊อกคอยทำงานให้อยู่แล้ว”

     

     

     

     

     

    นิวท์ขำพรืดออกมาทันที แกล้งกระซิบ “พูดจาระวังๆ ไว้บ้างนะ…ไม่งั้นฉันจะฟ้องโทมัสแน่”

     

     

     

     

     

     

    “ไม่มีทาง” มินโฮยิ้มหึหึเจ้าเล่ห์พร้อมตวัดคำโต้สวนทันที…รวดเร็วจนเขาไม่ได้กรองคำให้ดีด้วยซ้ำ “…เพราะนายชอบฉันมากเกินจะทำตัวใจร้ายอย่างนั้นใส่ฉัน”

     

     

     

     

     

    นิวท์สำลักอากาศขึ้นมาทันที…และแม้แต่ตัวคนพูดเองก็ดูจะตกใจกับถ้อยคำของตัวเอง เสี้ยววินาทีอันเงียบงันที่ทิ้งตัวดูยาวนานมหาศาล…ก่อนที่นิวท์จะรีบไกล่เกลี่ยทุกอย่างด้วยการยื่นสมุดโน้ตสีแดงสดของตัวเองให้อีกฝ่าย

     

     

     

     

     

    “งั้นก็…นี่เลย…” โบกมันขึ้นๆ ลงๆ ไปมาอย่างไม่จำเป็น “เนี่ย…หน้านี้ที่คั่นไว้…”

     

     

     

     

     

    “โอเค…” มินโฮเอ่ยตอบพร้อมรับสมุดไป ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเยื้องๆ จากคุณคอลัมนิสต์…หวังเป็นอย่างยิ่งให้บรรยากาศเขินๆ ปนกระอักกระอ่วนนี้สลายตัวไปสักที ดวงตากวาดไล่บนหน้ากระดาษ…ลายมือของนิวท์บอกให้รู้ชัดเจนว่าเจ้าตัวเขียนทุกสิ่งในช่วงเวลาอันไม่ติดต่อ เพราะมีทั้งย่อหน้าที่ลายมือเรียบร้อย ช่วงที่ลายมือขยุกขยิกยึกยือ ไปจนถึงการโยงลูกศรมาหาบทความที่ต้องการจะเขียนแทรกเข้าไปในย่อหน้าก่อนๆ…ความประณีตที่ปะปนกับการจดหวัดๆ เช่นนี้เป็นอะไรที่ดูขัดกับมาดนิ่งๆ นุ่มนวลของตัวคนเขียนเองเสียจริง

     

     

     

     

     

     

    แต่เหนือสิ่งอื่นใด…เรื่องที่เหนือความคาดหมายที่สุดสำหรับมินโฮก็คือการที่นิวท์ยอมให้เขาได้จับสมุดเล่มนี้ต่างหาก

     

     

     

     

     

    คุณบาริสต้าได้คำตอบว่าอะไรคือเหตุผลตอนที่เริ่มต้นอ่านหน้าสมุดที่ถูกคั่นไว้…มันเป็นแค่รีวิวถึงร้านอาหารร้านหนึ่งในย่านเดียวกับมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ไม่ใช่คาเฟ่เดอะเมซของเขา แถมสำนวนภาษาก็ค่อนข้างเป็นกันเองจนเหมือนเขียนไดอารี่ส่วนตัว…มินโฮเลยไม่ค่อยแน่ใจเอาเสียเลยว่านี่คือคอลัมน์จริงหรือแค่เอนทรีบล็อกส่วนตัวของนิวท์กันแน่

     

     

     

     

     

    “ในนิวยอร์กนี้…คนอาจพูดว่าอาหารสไตล์อเมริกันเป็นทางเลือกที่จำเจ แต่นั่นคงหมายความว่าคนคนนั้นไม่เคยแวะไปที่ Trestle on Tenth ร้านอาหารสไตล์โมเดิร์นอเมริกันที่แฝงรสชาติแบบยุโรปไว้ด้วย…”

     

     

     

     

     

    มินโฮไม่ได้รู้ตัวว่าตนเองกำลังโดนแอบลอบมองอยู่…นิวท์รู้สึกขอบคุณหน้าจอแลปท็อปชะมัดที่ซ่อนสายตาของเขาเองไว้ งานเขียนชิ้นที่คุณเจ้าของร้านกำลังอ่านอยู่นี้เป็นสิ่งที่นิวท์เองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดีกับมัน…เพราะตามปกติแล้วชายหนุ่มจะเขียนรีวิวถึงร้านอาหารหรือคาเฟ่สองแห่งต่อเดือน หนึ่งร้านเพื่อลงนิตยสารและอีกร้านเพื่อลงบล็อกส่วนตัว…ซึ่งเพราะอย่างหลังนี้ไม่ได้มีกำหนดตายตัวว่าเขาต้องอัพเดท ทำให้ตอนนี้นิวท์กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเอายังไงดี

     

     

     

     

     

    เพราะตอนนี้เขายังไม่ได้ชิมกาแฟของเดอะเมซครบเลย…เลยยังไม่อยากเขียนรีวิว… 

     

     

     

     

     

    นั่นเป็นข้ออ้างที่ชายหนุ่มบอกตัวเอง…แต่ลึกๆ แล้วนิวท์ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงไม่อยากเริ่มต้นเขียนรีวิว

     

     

     

     

     

    …เพราะนั่นหมายความว่าเขาจะไม่มีเหตุผลในการมาที่นี่บ่อยๆ อีกแล้วน่ะสิ 

     

     

     

     

     

    “ฉันอ่านเร็วไปหรือเปล่าน่ะ?”

     

     

     

     

     

    คำถามนี้ดึงคุณคอลัมนิสต์ออกมาจากภวังค์ความคิด…เรียวปากขยับยิ้มอย่างเร่งด่วนพร้อมปฏิเสธ รอยยิ้มที่เจ้าตัวรู้สึกเองว่าช่างไม่แนบเนียนเอาเสียเลย…แต่ในสายตามินโฮแล้ว ความไม่เป็นธรรมชาตินั้นเล็กน้อยจนไม่มากพอที่จะทำให้ติดใจอะไร

     

     

     

     

     

    “อืม…” คุณบาริสต้าตัดสินใจเสี่ยงโชคดู…เกริ่นเปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงเปรยๆ อย่างเป็นปกติ “นี่คือไดอารี่นายเหรอ”

     

     

     

     

     

    “เอ่อ…ก็ราวๆ นั้น…” นิวท์ยืนยันกับตัวเองในใจว่าเขาไม่ได้โกหก…นี่ก็คือไดอารี่จริงๆ นั่นแหละ แค่เป็นไดอารี่ที่คนทั้งประเทศหรือทั่วโลกได้อ่านด้วยตอนพิมพ์เสร็จเท่านั้นเอง

     

     

     

     

     

    “นายเขียนละเอียดดีจัง” มินโฮพูดต่อ…พยายามรักษาความเป็นปกติเอาไว้ในระดับที่ลุ้นจนแทบลืมหายใจ “…ยังกับพวกแนะนำร้านอาหารเลย ภาษานายมืออาชีพมากๆ เลยนะรู้มั้ย”

     

     

     

     

     

    “ไม่หรอก” นิวท์พูดทันที “ฉันไม่ได้…เอ่อ…ไม่ล่ะ ฉันแค่เขียนเล่นๆ เอง…”

     

     

     

     

     

    มินโฮส่งเสียงฮึมฮัมตอบรับ…คำถามนี้เป็นดั่งฟางเส้นสุดท้ายของเขาในการจะหวังต่อไปว่านิวท์ต้องการที่จะบอกความจริงกับตน ซึ่งจากคำตอบของอีกฝ่าย…ก็เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดเป็นความหวังเลื่อนลอยของเขาแค่เพียงผู้เดียว

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมดำจึงเริ่มต้นอ่านต่อ…ไม่ได้รู้เลยว่าใจของนิวท์เองนั้นก็หน่วงไปหมดด้วยน้ำหนักของถ้อยคำที่ตนเองไม่กล้าพูดออกไป คุณคอลัมนิสต์ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงไม่อยากบอกมินโฮ…แต่ความลังเลนี้ก็ได้ทำให้เขาเอาแต่ประวิงเวลาไว้จนทุกอย่างดูจะสายเกินไปเสียแล้ว

     

     

     

     

     

    เพราะกลัวไงล่ะ… 

     

     

     

     

     

    จู่ๆ ทุกอย่างก็ชัดเจน…หากความชัดเจนนี้ก็ไม่ช่วยให้สบายใจขึ้นเลย

     

     

     

     

     

     

    เขากลัวว่ามินโฮจะคิดว่าทุกสิ่งที่ผ่านมาจะเป็นแค่เพื่อให้ตัวเขาเองได้งานอีกชิ้น…ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่อีกแล้ว… 

     

     

     

     

     

     

    นิวท์ซ่อนสีหน้าตัวเองด้วยการหยุดมือจากแป้นพิมพ์แล้วเสจิบกาแฟ ดับเบิ้ลช็อตขมซ่านบนปลายลิ้น…รสชาติที่เหมือนกับความรู้สึกในหัวใจตอนนี้ไม่มีผิด

     

     

     

     

     

    และมันก็ไม่มีวันจะใช่อีกแล้วด้วย… 

     

     

     

     

     

    ดวงตาคู่โตสีน้ำตาลทอดมองวงหน้าคร้ามแดดของอีกฝ่าย…แล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องตลกร้ายเหลือเกินที่ระยะห่างระหว่างกันอันน้อยนิดกลับมีถ้อยคำที่ไม่อาจพูดออกไปซ่อนอยู่ได้อย่างมากมายถึงเพียงนี้

     

     

     

     

     

     

    **

     

                   

     

     

    “คืนนี้นายติดธุระอะไรหรือเปล่าเหรอ?”

                   

     

     

     

     

    คำถามคำถามที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้ทำให้นิวท์เงยหน้าขึ้นมาจากการเก็บของ…ถ้าเทียบแล้ว เขาได้คุยกับมินโฮบ่อยกว่าบาริสต้าอีกคนของคาเฟ่เดอะเมซ แต่การแวะเวียนเข้ามาอย่างสม่ำเสมอก็ทำให้นิวท์คุ้นเคยกับโทมัสดีแล้ว…จึงไม่รู้สึกเลยว่าคำถามนี้เป็นอะไรที่ทำให้ลำบากใจที่จะตอบ

                   

     

     

     

     

    ชายหนุ่มเลยยิ้มให้ “ไม่หรอก…งานฉันเสร็จเกือบหมดแล้วล่ะ ทำไมเหรอ?”

                   

     

     

     

     

    ความช่วยเหลือของมินโฮจากเมื่อวานและวันนี้ทำให้การพิมพ์ต้นฉบับเสร็จสิ้นไปได้อย่างรวดเร็วกว่าตอนที่เขาต้องทำคนเดียวเยอะ…นั่นจึงทำให้ตอนนี้ นิวท์ก็มีบทวิจารณ์ร้าน Trestle on Tenth ตามที่เขียนไว้ในสมุดเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แล้วเรียบร้อย เหลือแค่แก้คำผิดหรือเพิ่มเติมนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นก็จะสมบูรณ์แล้ว…การเก็บรายละเอียดที่ไม่ได้กินเวลาอะไรเท่าไหร่เลย

                   

     

     

     

     

    “ถ้าคืนนี้นายว่าง จะมาปาร์ตี้บ้านฉันมั้ยล่ะ?” โทมัสชวนง่ายๆ “ไม่ได้หรูอะไรหรอก แต่เผื่อนายไม่อยากอยู่เหงาๆ ช่วงแธงส์กิฟวิงอะไรแบบนี้…”

                   

     

     

     

     

    นิวท์พยายามกลั้นขำ…เขารู้สึกเอ็นดูและถูกชะตาคนตรงหน้าไม่น้อย และการที่ได้รับรู้ว่าเจ้าตัวเป็นห่วงสภาพจิตใจของเขาในช่วงวันหยุดแบบนี้ก็เป็นอะไรที่เพิ่มความรู้สึกนั่นได้เป็นอย่างดี

                   

     

     

     

     

    “ปาร์ตี้อะไรล่ะ?” คุณคอลัมนิสต์ถามยิ้มๆ “ฉันต้องใส่สูทสามชิ้น แล้วเราก็จะล้อมวงกินไก่งวงฝีมือคุณย่าของนาย…ปาร์ตี้แบบนั้นรึเปล่า?”

                   

     

     

     

     

    โทมัสขมวดคิ้วใส่คำล้อ ก่อนจะยิ้มพร้อมหรี่ตานิดๆ “ไม่เชิง…มันจะเป็นปาร์ตี้แบบที่ทุกคนเอาเหล้ามาแจมกันคนละขวด เปิดเพลงเหมือนทารุณกรรมลำโพง แล้วตอนหลังเที่ยงคืนก็ทุกคนก็จะเมาพอที่จะอยากทำการทดลองโปรเจคไทล์ลงมาจากชั้นสองของบ้าน…ปาร์ตี้แบบนั้นน่ะ”

                   

     

     

     

     

    นิวท์หัวเราะดังๆ ออกมา ก่อนจะติงถึงข้อเท็จจริงเดียวที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

                   

     

     

     

     

    “แต่ฉันไม่รู้จักใครเลยนะ…ในงานมันมีแต่เพื่อนนายนี่นา”

                   

     

     

     

     

    “นายก็รู้จักฉันนี่ แล้วนายจะได้เจอเบรนด้ากับชัคด้วย” โทมัสแย้งด้วยชื่อที่คุ้นหูนิวท์แล้ว “แล้วนายก็รู้จักมินโฮนี่นา…มาเหอะ ถือซะว่านายจะได้รู้จักกับคนฝั่งบรูคลินมั่งไง”

                   

     

     

     

     

    ชื่อที่สามถูกเอ่ยอย่างผิวเผินไม่คิดอะไร…แต่นิวท์กลับรู้สึกเหมือนหัวใจก้าวกระโดดไปวินาทีหนึ่ง ความไร้สาระที่เขาปัดทิ้งไปด้วยการบอกว่าแล้วตนจะลองไปคิดดู…ก่อนที่จะขอที่อยู่ของบ้านโทมัสเอาไว้

                   

     

     

     

     

    “สะดวกก็มานะ แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร” หนุ่มน้อยส่งกระดาษทิชชู่ที่เจ้าตัวจดที่อยู่ไว้ให้นิวท์ “แล้วเจอกันนะ”

                   

     

     

     

     

    คุณคอลัมนิสต์แค่พยักหน้าเงียบๆ…จิบช็อกโกแล็ตร้อนหอมหวานเข้มข้นเจือรสมิ้นต์อึกสุดท้ายแล้วก็ส่งถ้วยเปล่าให้โทมัสเก็บไป

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    tbc.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in