เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Before the 14th CupTippuri~ii*
chapter 6
  • I’m waiting on the light

    Waiting on the light to change

    I’m chasing out the lies

    Chasing out the lies

    That keep you caged

    I’m waiting, waiting on the light to change

    *****

    Chapter 6

    ทั้งๆ ที่นี่เป็นงานปาร์ตี้และเข็มสั้นของนาฬิกายังไม่ทันเฉียดเลขสิบเอ็ดด้วยซ้ำ…แต่มินโฮก็รู้ชัดเจนแล้วว่าตนจะไม่รู้สึกสนุกได้เต็มที่แน่ๆ

    เหตุผลก็คือ…เพราะบ้านหลังนี้เป็นสถานที่พำนักของโทมัสกับชัค นั่นจึงหมายความว่าทุกครั้งที่มีการจัดปาร์ตี้ที่นี่ จะต้องมีใครสักคนเสียสละเป็นผู้โชคร้ายในการคอยจับตาดูหนูน้อยของบ้านไม่ให้แอบมาซดแอลกอฮอล์ในงาน…หน้าที่ที่ทุกคนเรียกกันขำๆ ว่าคือตำแหน่งพี่เลี้ยง มุกตลกที่คนรับหน้าที่ขำด้วยไม่ออกเท่าไหร่…เพราะเจ้าตัวก็จะดื่มเยอะเองไม่ได้ หนำซ้ำบางทียังจะต้องปลีกตัวจากปาร์ตี้มานั่งดูชัคอย่างเต็มเวลาเสียด้วย

    ซึ่งในแธงส์กิฟวิงของปีนี้…บุคคลผู้ได้รับตำแหน่งพี่เลี้ยงก็คือมินโฮนี่เอง

    ถึงจะแอบเซ็ง…แต่คุณบาริสต้าก็ไม่คิดจะทำตัวงี่เง่าด้วยการไม่ยอมรับหน้าที่ แล้วอย่างไรเสีย…เขาก็สนิทกับชัคพอที่จะติดสินบนหนูน้อยให้รีบๆ เข้านอนด้วย และหลังจากตกลงกันได้ที่แผ่น Guardians of the Galaxy บลูเรย์ใหม่เอี่ยม…ชัคก็ยอมสัญญาว่าจะเข้านอนหลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้จบ แถมให้สิทธิพิเศษกับมินโฮในการจะแว่บออกมาเดินเล่นในปาร์ตี้ระหว่างที่หนังฉายด้วย

    ถึงจะแค่สี่ทุ่มกว่าๆ…แต่ปาร์ตี้ก็ดูจะเลยช่วงอุ่นเครื่องมาแล้ว ผู้คนมากหน้าหลายตายืนอยู่ทุกมุมพร้อมถ้วยหรือขวดเครื่องดื่มในมือ เสียงดนตรีและไฟสลัวทำให้มินโฮมองทันบ้างไม่ทันบ้างว่าใครเป็นใคร…แต่เนื่องด้วยนี่ก็ล้วนเป็นกลุ่มเพื่อนของโทมัสที่เขาเองก็คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ ทำให้ชายหนุ่มได้แวะทักทายคนเป็นระยะๆ ตลอดทางไปถึงห้องครัวของตัวบ้าน

    คงเพราะดีกรีความเมาของปาร์ตี้ยังไม่เข้าขั้น…ครัวจึงยังคงสะอาดปราศจากหยดแอลกอฮอล์ มินโฮหยิบถ้วยกระเบื้องออกมาจากตู้เก็บของเหนือศีรษะสองใบ…แอบถอนหายใจกับชะตากรรมของตัวเอง เขาอยู่ในบ้านที่มีเครื่องดื่มมึนเมาหลากชนิดเรียงหน้ามาให้เลือก…แต่สิ่งที่กำลังผสมอยู่ในมือดันมาเป็นช็อกโกแล็ตร้อนกรุ่นกลิ่นมิ้นต์ไปเสียได้

    ช็อกโกแล็ตร้อนที่เขาชงให้ชัคและตัวเองเป็นสูตรเดียวกับที่ขายในเดอะเมซ…กลิ่นหอมหวานเข้มข้นทำให้คุณบาริสต้าแอบยิ้มอย่างภาคภูมิใจกับตัวเอง ก่อนที่จะถือถ้วยร้อนกรุ่นสองใบนั้นเดินออกไปจากครัว เตรียมจะกลับไปสู่ห้องนั่งเล่นที่ชัคเปลี่ยนเป็นโรงภาพยนตร์ส่วนตัวไปแล้วเรียบร้อย

    “มินโฮ!”

    เสียงเรียกระหว่างทางทำให้เจ้าของชื่อหยุด ทักทายตอบกลับ “หวัดดีฮอร์เก้ แวะมากินเบียร์ฟรีหรือไง?”

    “พูดอีกก็ถูกอีก” คนทักยกขวดในมือด้วยท่าแบบเดียวกับคนจะชนแก้วกัน ก่อนจะมองเห็นถ้วยในมือมินโฮ…จึงพยักเพยิดถาม “โอ้ นายเป็นพี่เลี้ยงเหรอคืนนี้?”

    “ดื่มให้ชีวิตดีๆ ของฉันในแธงส์กิฟวิงนี้สิ” มินโฮพูดหน้าตายเสียงเรียบสนิท ยกถ้วยช็อกโกแล็ตร้อนประกอบ ก่อนจะหันไปทางสาวน้อยผมน้ำตาลที่ยืนอยู่ข้างฮอร์เก้ “แล้วทำไมแฟนเธอเอาเธอมาทิ้งไว้ตรงนี้ล่ะหา?”

    เบรนด้าไม่ถือสาถ้อยคำของเขา ซ้ำยังยิ้มตามเสียด้วย…พยักเพยิดไปทางประตูหน้า “ปล่อยโทมัสยืนหน้าประตูไปเถอะ…ฉันไม่ขอเล่นบทภรรยาเจ้าของบ้านล่ะคืนนี้ มันหนาว”

    มินโฮหัวเราะออกมา…นิวยอร์กในเดือนพฤศจิกายนอาจจะยังไม่เย็นเข้าขั้นหิมะตก แต่ก็ไม่ได้อุ่นสบายจนยืนตากลมยามดึกได้นานๆ เลย เขามองไปทางโทมัสผู้ที่ต้องยืนรอทักเหล่าผู้มาปาร์ตี้อีกหน่อยแล้วก็หันกลับไปคุยกับเบรนด้าและฮอร์เก้ต่อ

    แต่แล้ว สติทั้งหมดของมินโฮก็โดนกระชากไปจากบทสนทนาด้วยประโยคนี้ของโทมัส

    “ว้าว! นิวท์! เยี่ยมเลย! ดีใจที่นายมาได้นะ!!”

    ไม่มีทางมีนิวท์หลายคนในนิวยอร์กที่โทมัสรู้จักพอจะชวนมาปาร์ตี้ที่บ้านได้ ทำให้มินโฮรู้ก่อนที่จะหันไปเห็นเสียอีกว่าตัวเองจะได้เห็นใคร…ร่างโปร่งบางของชายหนุ่มผมสีคาราเมลก้าวผ้านประตูเข้ามา เจ้าตัวสวมเชิ้ตสีขาวแล้วมีเบลเซอร์สูทสีดำเรียบๆ ทับ การแต่งกายง่ายๆ หากกลับดูหรูจางๆ ตามสไตล์บริตบอยผู้หลงมาอยู่ในนิวยอร์ก

    เรือนผมยุ่งเหยิงและแก้มก็แดงจัดจากสายลมยามดึก…หากนิวท์ก็ยังคงยิ้มแย้มได้เต็มริมฝีปากตอนที่เอ่ยทักคุณเจ้าบ้าน

    “หวัดดีโทมัส…สุขสันต์วันแธงส์กิฟวิงนะ” มือเรียวส่งห่อกระดาษทรงผอมๆ ให้ ยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ ในประโยคหลัง “…ต่อให้ของขวัญของฉันมันจะไม่ได้ส่งเสริมการทำความดีสักเท่าไหร่ก็เถอะ”

    ถุงที่ห่อมานั้นเป็นการนำซองพัสดุใช้แล้วมาใช้ใหม่…แต่โทมัสไม่ถือสาเลย หนุ่มน้อยสนใจแค่สิ่งของที่อยู่ข้างใน…วอดก้ายี่ห้อเกรย์กูส ฉลากบนขวดบอกให้รู้ว่ามันเป็นรสลูกแพร์ที่เพิ่งออกวางขายมาล่าสุด

    “ให้ตายสินิวท์…นายนี่มันโคตรร้าย” โทมัสหัวเราะร่วน ก่อนจะหันเข้ามาหาทุกคนที่ยืนอยู่รอบๆ ตรงนั้น ตบๆ บ่าคุณคอลัมนิสต์ประกอบตอนประกาศ “ทุกคน…นี่นิวท์นะ และเขาคือคนที่ทำให้แธงส์กิฟวิงปีนี้เราจะมีวอดก้าช็อทที่มีคลาสที่สุดในโลก…ไหน แก้วช็อทไปไหนหมดน่ะ…”

    บรรดาพรรคพวกของโทมัสร้องเฮแล้วเริ่มต้นหาแก้วช็อทกันคนละไม้คนละมือทันที…เปิดโอกาสให้นิวท์ได้กวาดตามองไปรอบตัว แล้วสายตาก็สะดุดลงที่ร่างอันคุ้นตาที่มุมหนึ่ง

    ซึ่งมินโฮก็คงสังเกตได้ถึงสายตาของเขา เพราะเจ้าตัวยกถ้วยในมือขึ้นนิดๆ เป็นเชิงทักทาย…แล้ววินาทีนั้น นิวท์ก็เพิ่งตระหนักได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ตนได้เห็นอีกฝ่ายในมาดอื่นนอกเหนือจากบาริสต้าเจ้าของคาเฟ่ และมินโฮที่สวมเสื้อยืดสีดำเรียบๆ ทับด้วยเชิ้ตยีนสีกรมท่าพับแขนแบบนี้ก็ดูหล่อสบายๆ จนน่าโมโหชะมัด

    น่าโมโหสิ…เพราะมันไม่ยุติธรรมเลยนี่นาที่เขาต้องเป็นคนเดียวที่ใจเต้นบ้าบออยู่แบบนี้… 

    ในอีกฝั่งของห้อง มินโฮเองก็อยากจะเดินเข้าไปพูดคุยกับนิวท์ยิ่งกว่าอะไร…แต่ตอนนี้ แก้วช็อทก็ได้ถูกแจกจ่ายให้กับทุกคนที่มือว่างแล้ว ย้ำเตือนถึงหน้าที่พี่เลี้ยงและถ้วยช็อกโกแล็ตร้อนที่เขาถืออยู่ นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจแค่มองนิวท์เป็นครั้งสุดท้าย…มองรอยยิ้มสดใสที่เจ้าตัวมอบให้เพื่อนใหม่ที่รายล้อม แล้วก็ปลีกตัวไปทางห้องนั่งเล่นเงียบๆ

    “โอ้…ขอบคุณนะมินโฮ”

    ชัคละสายตาจากจอทีวีมาเพื่อรับถ้วยตอนที่เขาเรียก เด็กชายดื่มช็อกโกแล็ตร้อนที่ตอนนี้อุ่นพอดีแล้วอึกๆ…ผิดกับมินโฮที่แค่จิบนิดๆ หน่อยๆ อย่างใจลอย

    “ทำไมไปนานจัง…นายพลาดฉากแหกคุกเลยอ่ะ” ชัคพูด “จะให้ฉันย้อนกลับไปมั้ยล่ะ…มินโฮ เฮ้…มินโฮ??”

    เด็กชายเอียงคอมองเขา ก่อนจะถามซื่อๆ “นายโอเคมั้ย? มีอะไรหรือเปล่าน่ะ?”

    อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ฉันคงกำลังชอบคนที่ไม่แม้แต่จะอยากเล่าเรื่องของตัวเองให้ฉันฟัง…คนที่แค่ยิ้มก็ทำให้ฉันรู้สึกดีได้จนน่าหงุดหงิด…และก็เป็นคนที่ฉันก็ไม่เหลือเหตุผลอะไรแล้วในการจะรั้งเขาไว้นอกจากเครื่องดื่มอีกแค่สามถ้วย… 

    ประโยคยาวเหยียดนี้ถูกกล่าวในหัว…แต่สิ่งที่มินโฮตอบชัคไปนั้นมีแค่การส่ายหน้าและบอกเด็กชายว่าไม่ต้องย้อนฉากกลับไปให้ตนดูก็ได้

    **

    มินโฮคิดว่าตนได้ยินเสียงกุกกักแผ่วๆ และเห็นเงาวูบวาบเหนือศีรษะ…และเป็นตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังลืมตาตื่น

    ภาพที่ได้เห็นคือเพดานห้อง…ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เขาเปลี่ยนจากนั่งพิงพนักโซฟามาเป็นนอนเหยียดยาวแล้วเอาหัวหนุนที่เท้าแขนแทน ซึ่งมินโฮเดาเอาว่าก็คงเป็นตอนที่เขาเผลอหลับไปกลางช่วงของหนังที่ดูกับชัคนั่นแหละ

    ชายหนุ่มหยัดตัวขึ้นนั่ง ส่งเสียงอืออาพร้อมขยี้ตา…รู้สึกสังเวชตัวเองนักที่หลับลงได้ทั้งๆ ที่ดูหนังแอ็คชั่นเสียงดังโครมครามแบบนั้น ก่อนจะยกมือขึ้นจับให้ผ้าห่มที่คลุมทับร่างตนอยู่ให้พ้นไปจากการพันแข้งพันขา

    และนั่นเองที่คงเป็นสาเหตุของเสียงอุทานแผ่วเบาจากข้างตัว

    “อ้าว? นายยังไม่หลับเหรอ?”

    มินโฮหันไป ก่อนจะพบว่าเสียงกุกกักและเงาวูบวาบที่ตัวเองเห็นตอนเคลิ้มๆ จะตื่นไม่ใช่ความฝันอย่างที่คิด…นิวท์กำลังก้มตัวอยู่เหนือโต๊ะเล็กข้างโซฟา ในมือมีทั้งรีโมททีวีและรีโมทเครื่องเล่นดีวีดี

    “ชัคง่วงน่ะ เลยขึ้นไปนอนแล้ว” เสียงสำเนียงบริติชนั่นอธิบายแผ่วค่อยและเชื่องช้า…บอกให้รู้ถึงระดับแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดเจ้าตัว “เขาฝากผ้าห่มไว้ให้นายด้วย”

    มินโฮส่งเสียงฮึมฮัมเป็นเชิงรับรู้…เขาจำผ้าห่มเนื้อนุ่มลายบัซไลท์เยียร์นี่ได้ดีอยู่แล้ว พึมพำถามพร้อมขยี้ตาอีกรอบ “กี่โมงแล้วน่ะ?”

    “ไม่รู้สิ…ตีหนึ่งแล้วมั้ง” นิวท์วางรีโมทไว้รวมกันข้างกล่องดีวีดี ขำเบาๆ ตอนเอ่ยเสริม “ปาร์ตี้ยังไม่เลิกนะ…ถ้านายยังอยากจะดื่มน่ะ”

    มินโฮหัวเราะบ้าง…เขามองเห็นนิวท์ไม่ค่อยชัดนักเพราะห้องนั่งเล่นนี้มืดสนิท มีเพียงแสงจากทางเดินด้านนอกสาดส่องเข้ามา…สีส้มแก่เรืองรองเหมือนอาทิตย์อัสดงผสมเปลวเทียน อาบย้อมให้เรือนผมของนิวท์ดูเข้มขึ้น…และทำให้ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตนั่นดูสุกใสแพรวพราย

    “ไม่ล่ะ…ฉันไม่มีมู้ดจะดื่มอะไรแล้วล่ะคืนนี้” มินโฮแอบซ่อนยิ้มเมื่อเห็นว่านิวท์ยืนตัวโอนเอนไปมานิดๆ “แล้วอีกอย่าง…ฉันว่านายดื่มมากพอที่จะรวมเอาส่วนของฉันไปด้วยแล้วล่ะ”

    “ให้มันน้อยๆ หน่อย…” นิวท์หัวเราะคิกออกมาแบบกรึ่มๆ “นี่ยังไม่เข้าขั้นเมาของฉันหรอกเถอะ ฉันอาจจะมึนๆ…แต่ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องนะ เพราะงั้นช่วยอย่ามาตัดสินผมผิดๆ ทีนะครับคุณบาริสต้า”

    มินโฮตัดสินใจว่าจะเชื่อว่านี่คือความจริงเมื่อนิวท์เดินมานั่งข้างเขาบนโซฟาได้แบบไม่มีปัญหาอะไร…เพราะอีกฝ่ายก็ดูเหมือนปกติทุกอย่าง นอกจากหัวเราะง่ายขึ้น สื่อสารรับรู้ได้ช้าลงนิดหน่อย และพูดจาตามใจคิดไร้การกรองลงไปบ้างเท่านั้นเอง

    “นั่นอะไรน่ะ?”

    นิวท์ถามเมื่อเห็นเขาหยิบถ้วยกระเบื้องขึ้นมาจิบ…ช็อกโกแล็ตในถ้วยตอนนี้เย็นสนิทแล้วเรียบร้อย แต่มินโฮก็ขี้เกียจเกินกว่าจะลุกขึ้นไปหาอะไรที่ดีกว่านี้ดื่มแล้ว

    “ช็อกโกแล็ตมิ้นต์” ชายหนุ่มผมดำตอบให้ “ที่นายสั่งเมื่อบ่ายวันนี้ไง…นี่ฉันชงดื่มกับชัคตอนดูหนังน่ะ”

    “อ๋อ…”

    นิวท์รับคำแค่นี้…ก่อนที่จะถอนหายใจทอดยาว พูดเบาๆ…ถ้อยกระซิบที่ฟังแล้วเหงาแสนเหงาอย่างประหลาดในความรู้สึกคนฟัง

    “…ถ้วยที่สิบเอ็ด”

    ความเหงาเจือจางที่ได้ฟังนี้ทำให้หัวใจโลดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล และมินโฮก็ไม่ได้ขัดอะไรเมื่อมือเรียวขาวนั้นถือวิสาสะมาหยิบถ้วยในมือเขาไปจิบบ้าง…ชายหนุ่มแค่พูดย้ำด้วยเสียงเบาเท่ากัน

    “…สิบเอ็ดจากสิบสี่ถ้วยแล้ว”

    ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าน้ำเสียงของตัวเองนั้นก็แผ่วเหงาและเว้าวอนไม่ต่างกัน

    นิวท์รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ…มันไม่ใช่แค่อาการหายใจไม่ออกจากน้ำหนักของสิ่งที่อยากพูดอันมากมายเท่านั้นอีกแล้ว แต่ผสมจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวเข้ามาด้วย…หวาดหวั่นหากก็คาดหวัง ความอึดอัดใจที่เอ่อล้น…และเขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะให้รสชาติอ่อนหวานแบบนี้

    “ฉัน…” ประโยคนี้เชื่องช้า…แผ่วเบาจนเหมือนเป็นแค่ลมหายใจมากกว่าคำพูด “…ฉันไม่อยากให้มันมีแค่สิบสี่ถ้วยเลย”

    มินโฮหันมามองเขา…นิ่งนาน…ดวงตาสีเข้มที่ได้สบประสานดูระริกในแสงเงาสลัว

    “มันก็เป็นแค่ตัวเลข…นิวท์” น่าโมโหนักที่เสียงทุ้มนั่นยังคงนิ่งสงบได้สมบูรณ์แบบเช่นนี้ “…ตัวเลขไม่ได้สำคัญพอจะกำหนดอะไรได้ทั้งนั้น”

    สมองของเขากรีดร้อง…เว้าวอนให้ทำอะไรสักอย่าง…อะไรก็ได้ที่มากกว่าแค่คำพูดไร้น้ำหนัก…อะไรก็ได้ที่เป็นสัมผัส…คำขอร้องที่นิวท์เองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีให้ตัวเขาเองหรือมินโฮ แต่มันก็ไม่สำคัญอีกแล้วในวินาทีถัดมา…วินาทีที่นิวท์พบว่าตัวเองขยับเข้าไปจนคร่อมอยู่บนตักของอีกฝ่าย ท่อนแขนแข็งแรงข้างหนึ่งของมินโฮนั้นโอบรอบเอวเขาไว้…อีกข้างเอื้อมมือมาเชยที่ข้างแก้ม ริมฝีปากประทับเข้าหา…ไม่เปิดโอกาสให้เปล่งเสียงใดนอกจากลมหายใจที่สั่นพร่า

    เสียงหอบหายใจดูจะรุนแรงตามจังหวะหัวใจ…นิวท์เพิ่งรู้ตัวว่าสองมือของตนนั้นประคองกรอบหน้าของมินโฮเอาไว้อยู่ตอนที่ผละริมฝีปากจากกัน

    “นาย…” ระยะห่างระหว่างกันยังคงน้อยนิด…ทำให้ถ้อยคำน่าหัวเราะของเขายังคงเป็นที่ได้ยินอยู่ดีต่อให้มันจะแผ่วเบาและสั่นระริกเพียงใดก็ตาม “นาย…รสเหมือนช็อกโกแล็ตเลย”

    มินโฮหัวเราะออกมาสั้นๆ…ก่อนจะพูดโต้

    “ไม่” น้ำเสียงที่เจือความขบขัน หากอะไรบางอย่างที่แฝงในนั้นกลับทำให้นิวท์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหลอมละลาย “…นายต่างหากที่รสเหมือนช็อกโกแล็ต”

    ชายหนุ่มผมสีคาราเมลอุทานนิดๆ ตอนที่โดนรุนจนแผ่นหลังหงายลงไปแนบสนิทกับโซฟา ส่งเสียงอึกอักเล็กๆ เมื่อเรียวปากโดนครอบครองอีกครั้ง…เสียงที่แปรเปลี่ยนมาเป็นเสียงหัวเราะเมื่อมินโฮผละจากแล้วงับแก้มตนเบาๆ

    “เฮ้…เล่นบ้าอะไรของนายน่ะ…” มือเอื้อมไปยีผมสีดำให้ยุ่งเป็นการเอาคืน “ลุกได้แล้ว…คิดว่าตัวเองตัวเบามากใช่มั้ย—”

    เสียงหัวเราะสะดุดทันที…เพราะลมหายใจติดขัดจากการที่ฝ่ามือของมินโฮกดทับลงมาบนแผ่นอก รั้งให้คอเสื้อเชิ้ตร่นลงมา…มากพอที่จะให้ผิวเนื้อขาวสะอาดตรงต้นคอไม่เหลือการปิดบังใด

    “มินโฮ!” นิวท์พูดเสียงลั่น ทุบบ่าหนาๆ นั่นอย่างไม่ออมแรง “หยุด! ลุกขึ้นไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”

    คุณบาริสต้ายอมหยุดมือ…แต่ยังคงไม่ลุกขึ้น โน้มตัวลงมามองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจเท่าที่คนหน้านิ่งคนหนึ่งจะทำได้…และนั่นก็ทำให้นิวท์อยากหลุดขำออกมานัก ได้แต่กลั้นยิ้มอย่างยากลำบากแล้วประกาศเสียงเข้ม

    “ครั้งแรกของพวกเราจะไม่เกิดขึ้นบนโซฟาที่มีผ้าห่มลายบัซไลท์เยียร์โอเคมั้ย” มือตีแปะๆ บนไหล่อีกฝ่าย “เพราะงั้นก็ช่วยลุกด้วย…ขอบคุณสำหรับความร่วมมือครับมิสเตอร์”

    มินโฮหัวเราะออกมากับเหตุผลนี้ ยอมลุกขึ้นยืนแล้วดึงเขาตามขึ้นมาด้วย…ความช่วยเหลือที่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพราะเจตนาบริสุทธิ์ เพราะแรงดึงนั้นมากพอที่จะรั้งให้นิวท์ต้องเซเข้ามาจนอยู่ในอ้อมแขนของเจ้าตัว

    ส่งเสียงฮึมฮัมนิดหน่อย…ก่อนที่คุณบาริสต้าจะเอ่ยคำ “เผื่อนายอยากจะรู้…เตียงที่อพาร์ตเมนต์ฉันไม่มีลายอะไรเลยนะ”

    นิวท์หัวเราะออกมาอย่างอ่อนใจปนเอ็นดู หยัดตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อประทับริมฝีปากเข้ากับอีกฝ่าย…จูบอ้อยอิ่งที่ยาวนานเท่าช่วงลมหายใจ แล้วค่อยกระซิบแผ่วเบา

    “…ฟังดูชวนให้ฝากความหวังได้ดีจัง”

    มินโฮกลอกตาแล้วดึงมือเขาให้เดินออกจากห้องนั่งเล่น…ทำให้นิวท์รู้สึกตัวเบาๆ ไปตลอดทางด้วยข้อเท็จจริงที่ว่ามือใหญ่ๆ สีคร้ามแดดนั่นไม่ได้ปล่อยมือเขาแม้จะเดินออกมาสู่ตัวปาร์ตี้แล้ว

    ผู้คนในบ้านยังคงดื่มด่ำกับคืนนี้อยู่โดยไม่สนใจเข็มนาฬิกาที่ชี้บอกเวลาของวันใหม่…มิหนำซ้ำ เสียงเพลงและเสียงพูดคุยยังดูจะดังกว่าเดิมเสียด้วย มินโฮใช้มือข้างที่ยังว่างในการเบียดกลุ่มคนเพื่อไปยังประตูหน้า แอบนิ่วหน้าเล็กๆ กับความวุ่นวายตรงนี้…คิดในใจว่าอยากจะบอกโทมัสก่อนไปชะมัดว่าให้เบาๆ เสียงปาร์ตี้ลงหน่อยก่อนที่เพื่อนบ้านจะโทรเรียกตำรวจ

    ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่วลี ‘จงพึงระวังในสิ่งที่ต้องการ’ พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นความจริง…เพราะตอนที่มินโฮและนิวท์มาถึงประตูหน้าแล้วนั่นเองที่คุณเจ้าของบ้านโผล่พรวดมาขวางทางเสียก่อน

    “หวาดเด~” ไม่ต้องถามก็รู้ว่าโทมัสกำลังกรึ่มได้ที่เลยทีเดียว หนุ่มน้อยโบกไม้โบกมือพร้อมพูดเสียงอ้อแอ้กับมินโฮ “เฮ้ๆๆๆ…ห้ามชิ่งก่อนนะเพื่อน…นายต้องอยู่ช่วยฉันเก็บบ้านดิ…”

    “ไม่” มินโฮพูดทันควัน พยายามหาทางเบียดตัวผ่านเจ้าบาริสต้าหมายเลขสองไปเปิดประตู “ปาร์ตี้นาย นายก็เก็บเองสิวะ…”

    โทมัสยังพยายามขวางทางอยู่จนกระทั่งเจ้าตัวสังเกตเห็นว่ามืออีกข้างของมินโฮนั้นจับอยู่กับใคร…คำพึมพำสวดส่งแบบเมาๆ เลยแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มรู้ทันฮิฮิอันน่าหมั่นไส้แทน

    “อ๋อ~” หนุ่มน้อยคงคิดจะตบบ่าเขาเพื่อแสดงความยินดี แต่ประสาทรับรู้ตอนนี้ก็ทำให้โทมัสตบมือทั้งสองข้างสลับกันไปกันมาแปะๆ ลงตรงสองบ่าของมินโฮเหมือนแมวน้ำเมายา “โอเค รีบกลับเถอะถ้าอย่างงี้…รีบรีบรีบบบกลับเลย…”

    มินโฮสบถพึมพำเบาๆ อย่างอยากจะบ้า แต่นิวท์นั้นเลิกรักษาท่าทีแล้วหัวเราะออกมาชัดๆ แล้ว

    โทมัสเองก็หัวเราะบ้าง ก่อนจะพยักเพยิดกับมินโฮ “ฉันบอกแล้วใช่มั้ยล่ะ…นิวท์ไม่ว่าอะไรหรอกต่อให้นายจะรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาเป็นคอลัมนิสต์น่ะ ดีใช่มั้ยล่ะที่ไม่ต้องนั่งเก็บความลับแล้ว?”

    น่าขันนักที่ประโยคง่ายๆ นี้มีอานุภาพในการทำให้เสียงในโลกทั้งใบของมินโฮเงียบกริบลงไปทันควัน…ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงเสียงหัวเราะสดชื่นของนิวท์ที่เมื่อครู่นี้ยังเพิ่งดังอยู่ข้างหูเขาด้วย

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตามมาคือความเชื่องช้าในเสี้ยววินาที…สีหน้าชะงักงันของโทมัส ลมหายใจขาดห้วงของมินโฮ และการหายไปของสัมผัสอบอุ่นตอนที่นิวท์ปล่อยมือ

    “นิวท์!!”

    สายลมยามกลางดึกกรีดผิวเหมือนคมมีดเย็นเฉียบ…แต่วินาทีนี้ สิ่งเดียวที่มินโฮสนใจก็คือร่างสูงโปร่งที่ตอนนี้ก้าวยาวๆ ไปจนยืนอยู่บนพื้นฟุตบาธหน้าบ้านโทมัสแล้ว เสียงจากปาร์ตี้เงียบหายไปทันทีหลังจากที่เขาพรวดพราดตามออกมาจากบ้านแล้วประตูปิดดังปังตาม…ลมหายใจเป็นไอขาวในอากาศ หากมินโฮก็ยังคงไม่หยุด

    “นิวท์!!!”

    ครั้งที่สองนี่เองที่เจ้าของชื่อยั้งฝีเท้า…หากก็ยังคงรักษาระยะห่างเอาไว้ แสงไฟจากโคมริมทางในกลางดึกอันหนาวเย็นนี้เป็นสีส้มสลัว…หากก็ชัดเจนพอที่จะทำให้มินโฮมองเห็นสีหน้าของคนที่ยืนอยู่ห่างออกไป ตื่นตระหนก…โกรธเกรี้ยว…เสียใจ…ทุกอย่างฉายปนกันอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลคู่โตนั่น

    อาจเพราะรู้สึกได้ว่าเขามองอยู่…นิวท์จึงเสมองไปอีกทาง ร่างโปร่งเปลี่ยนมาหันข้างให้ ก้าวกลับไปกลับมาเล็กน้อย มือเรียวถูกยกขึ้นมา…กำเข้าหาและแบออกสลับกันไปสองสามครั้งระหว่างที่ชายหนุ่มผมสีคาราเมลคิดเรียบเรียงคำพูด ก่อนที่เจ้าตัวจะตวัดแขนกลับลงมา หันกลับมามองเขาอีกครั้งตอนเอ่ยทำลายความเงียบ

    “นาย…” ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นยังคงฉายความรู้สึกเดิม…ตื่นตระหนก…โกรธเกรี้ยว…และเสียใจ “…นายรู้มานานแค่ไหนแล้ว?”

    เป็นครั้งแรกที่มินโฮได้เห็นนิวท์แบบนี้ และก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เขาเป็นฝ่ายใจเย็นกว่าในการมีปากเสียงกับใครก็ตาม

    “วันที่สองที่นายแวะเข้ามา” มินโฮพูด…น้ำเสียงเรียบนิ่ง หากก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่กรุ่นด้วยความโมโหและเสียใจส่วนตัวที่มีเหมือนกัน “วันแรกโทมัสแค่คุ้นๆ หน้านายจากนิตยสาร…แต่หมอนั่นมานึกออกตอนวันที่สอง แล้วเขาก็บอกฉัน”

    “แล้ว…” นิวท์สูดลมหายใจ สายลมยาวดึกหนาวเย็นนัก…แต่มันก็เป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ความตระหนกในใจเขาตอนนี้บางเบาลงไปได้บ้าง หากหัวใจก็ยังคงเต้นกระหน่ำในอกอยู่ดี…คงเพราะคำพูดที่เขาต้องค่อยๆ เอ่ยช้าๆ ประโยคนี้ “แล้วนายก็แกล้งทำเป็นไม่รู้…ทำเป็นคุยกับฉันเหมือนนายไม่รู้อะไรเลยมาตลอดงั้นเหรอ…”

    “เฮ้ พูดแบบนี้มันไม่แฟร์นะ” มินโฮขมวดคิ้วทันที เขาเข้าใจว่านิวท์มีสิทธิ์ที่จะโกรธที่ตนทำเป็นไม่รู้…เพราะก็จริงอยู่ที่เขาอาจจะแกล้งทำเหมือนไม่รู้จักชื่อเสียงของนิวท์ แต่อย่างน้อยๆ…คำพูดและความสนิทสนมที่ก่อตัวนั้นก็เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจมอบให้อีกฝ่ายจากใจจริงเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เพื่อตัวเองใดๆ เลย

    และอีกเหตุผลที่เขาเริ่มรู้สึกกรุ่นๆ แล้วก็คือ…มินโฮไม่คิดว่าตนคือคนผิดเพียงฝ่ายเดียวในเรื่องการปกปิดความจริง

    “นายเองก็ไม่ได้พูดความจริงกับฉันทั้งหมดซะหน่อย นายไม่เคยตอบคำถามของฉันตรงๆ…นายบอกว่าสมุดเล่มนั้นเป็นแค่ไดอารี่…”

    หนุ่มเกาหลีเอ่ยไล่เรียง…เสียงกร้าวนิดๆ ตอนคิดถึงความรู้สึกเสียใจของตัวเองเวลาที่ฟังคำโกหกของอีกฝ่าย ก่อนจะพูดเรียบๆ หากโมโหบางเบาปิดท้าย

    “โทษทีนะ…ฉันอาจจะทำเป็นไม่รู้ว่านายเป็นใครก็จริง แต่นายเองก็พูดไม่ได้หรอกนะว่านายพูดความจริงกับฉันทั้งหมดน่ะ”

    นิวท์ฟังคำพูดแทงใจทั้งหมดนี้ด้วยดวงตาที่วาววาบไปด้วยความโมโหและน้อยใจไม่ต่างกัน…เขาโมโหมินโฮที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ โมโหตัวเองที่คิดตื้นๆ…และเหนือสิ่งอื่นใด ชายหนุ่มโมโหความเป็นจริงที่ได้รับรู้ที่สุด…ความเป็นจริงที่พลิกทุกความมั่นใจว่าการที่มินโฮทำดีกับตนนั้นเป็นเรื่องจริงใจ ความเป็นจริงที่ทำให้เขาไม่แน่ใจอีกแล้วว่าทุกสิ่งที่มีระหว่างตนกับคุณบาริสต้านั้นเป็นความรู้สึกแท้จริงจากทั้งสองฝ่ายหรือเปล่า

    “โอเค…ได้” ชายหนุ่มผมสีคาราเมลตวัดเสียง…เสียใจและกรุ่นโกรธ “งั้นตอนนี้ฉันก็รู้แล้วว่านายรู้ว่าฉันเป็นใคร…แล้วไงต่อล่ะ? นายก็แค่รออ่านนิตยสารฉบับต่อไปใช่มั้ย??”

    นิวท์ไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน…และประโยคที่เอ่ยออกไปก็ทำให้ตระหนกไปหมดเสียเอง เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการบีบบังคับโดยอ้อมๆ ให้มินโฮยอมรับเลยว่าการปฏิบัติตัวอย่างดีแสนดีทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นแค่เพียงการหวังให้คำวิจารณ์ของร้านเดอะเมซออกมาดูดีในหน้านิตยสาร ความจริงที่นิวท์ไม่คิดว่าตัวเองจะทำใจฟังได้

    เพราะเขาก็ยังคงอยากจะหลอกตัวเองต่อไปสักนิด…ว่ามินโฮทำดีกับเขาก็เพราะความรู้สึกในใจเจ้าตัว ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ใด…

    “อยากเขียนอะไรก็เขียนไปเถอะ”

    ประโยคนี้หยุดทุกกระแสความรู้สึกนึกคิดอันปั่นป่วนลงทันที…นิวท์รู้สึกเหมือนลมหายใจขาดห้วง ทำได้เพียงจับจ้อง…มินโฮที่ยืนนิ่ง มองตรงมาที่เขาพร้อมพูดอย่างชัดเจน สีหน้าเรียบสนิทราวผืนทะเลสาบ

    “ฉันไม่เคยแคร์อยู่แล้วว่านายจะเขียนถึงร้านฉันยังไง” ประโยคแรกนั้นดังชัดเจนผ่านระยะห่างระหว่างกัน…แต่ประโยคหลังนั้นแผ่วค่อยลง หากก็เนิบช้ามั่นคง “ฉันแคร์แค่ว่านายรู้สึกยังไง…”

    คนพูดสูดลมหายใจเล็กน้อย อีกสองคำที่ตามมานั้นแทบหลอมรวมไปกับสายลม

    “…กับฉัน”

    จำนวนนาทีที่ยืนอยู่ตรงนี้มีแต่จะนำพาสถานการณ์และบทสนทนาที่นิวท์ไม่เคยพบเจอเข้ามาอย่างติดต่อกันรัวๆ…ชายหนุ่มผมสีคาราเมลคุ้นชินกับแค่เพียงผู้คนที่สนใจเขาแค่เพราะชื่อเสียงและผลประโยชน์ที่เจ้าตัวจะพึงได้รับจากการเข้ามาทำดีด้วย ผู้คนที่จะหนีจากไปเมื่อมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่นิวท์เขียนนั้นจะมีแต่เรื่องชวนฟัง

    แล้ว…นี่มันอะไรกันล่ะ…??? 

    แต่มินโฮกลับยังยืนอยู่ตรงนี้ บอกนิวท์ว่าเจ้าตัวไม่เคยใส่ใจถึงบทความหรือคำวิจารณ์ใด

    บอกนิวท์ว่าสิ่งเดียวที่สำคัญคือพวกเขาทั้งสองคน

    ไม่เคยมีใครยืนรอฟัง…ไม่เคยมีใครไม่หนีไปแบบนี้มาก่อน… 

    ทุกสิ่งที่ได้รับรู้ทำให้สติโดนทำลายจนเหลือเพียงความตระหนก…ในหัวของนิวท์ตอนนี้เหลือเพียงสัญชาตญาณ เสียงกรีดร้องของความเคลือบแคลงใจว่าให้ไปจากตรงนี้ ไปจากความแปลกใหม่นี่เสีย…กลับไปสู่ความคุ้นชินเดิมอย่างทุกที ความคุ้นชินที่ถึงจะให้รสขมซ่าน…หากเขาก็รู้ว่าจะจัดการกับมันได้อย่างไร ไม่เหมือนกับถ้อยคำและสายตาของมินโฮที่รังแต่จะทำให้ใจเต้นแรงจนเสียการควบคุมไปหมดแบบนี้

    “นิวท์…”

    คุณบาริสต้าเรียกเบาๆ…ขยับจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย มือเผลอยื่นออกไปโดยไม่รู้ตัว…สัมผัสที่ร่างสูงโปร่งตรงหน้าเขาขยับหนี

    “โทษที…” ชายหนุ่มผมสีคาราเมลพูดเสียงเบา กระแสร้องขอปนอยู่ในถ้อยกระซิบ “ตอนนี้ฉันยังไม่โอเค…โทษทีนะ”

    มินโฮอยากจะพูดอะไรอีก อะไรก็ได้ที่จะลบเลือนความเสียใจปนตื่นตระหนกจางๆ แบบนี้ออกไปจากวงหน้าและดวงตาของอีกฝ่าย…แต่นิวท์ก็หันหลังให้ ร่างโปร่งก้าวยาวๆ จากไป…ความเร่งรีบราวกับไม่มีอะไรที่เจ้าตัวต้องการมากไปกว่าการได้หนีไปจากตรงนี้อีกแล้ว

    สายลมของยามดึกสีดำสนิทพัดพรู เย็นเยียบยิ่งนักบนฝ่ามือที่เคยเกี่ยวกุมกัน…และลบเลือนสัมผัสอบอุ่นบนริมฝีปากให้กลายเป็นแค่เพียงชิ้นส่วนของความทรงจำเท่านั้น

    tbc.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in