เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Before the 14th CupTippuri~ii*
chapter 4
  • Tell the world

    that we finally got it all right

    I choose you

    I will become yours

    and you will become mine

    I choose you

     

     

     

    *****

    Chapter 4

     

     

     

     
    นิวท์มาถึงคาเฟ่เดอะเมซในวันรุ่งขึ้นตอนเวลาสิบเอ็ดโมงใกล้เที่ยง…แอบแปลกใจไม่น้อยตอนที่มองผ่านหน้าร้านเข้าไปแล้วพบว่าไม่มีลูกค้านั่งอยู่ในนั้นเลย

     

     

     

     

    คำเฉลยให้รู้ถึงสาเหตุคือป้ายหน้าร้านที่โดนพลิกให้คำว่า ‘ปิด’ เด่นหรา…นิวท์เลยได้แต่จดๆ จ้องๆ อยู่ตรงประตู ลังเลว่าจะทำอย่างไรดี…เพราะวันนี้เขานัดว่าจะเอาหนังสือไปให้อัลบี้ที่ห้องสมุดของเจ้าตัว หากหนังสือทั้งหมดก็ได้ถูกฝากไว้ที่ด้านในตัวร้านกาแฟแห่งนี้

     

     

     

     

    จะเอาไงดีล่ะเนี่ย…

     

     

     

     

    คุณคอลัมนิสต์คิดตรองอย่างเริ่มปวดหัวนิดๆ…เขาไม่รู้จะติดต่อมินโฮได้อย่างไร และครั้นจะให้ยืนแกร่วรอตรงนี้ก็ดูไม่มีประโยชน์…เพราะร้านปิดย่อมหมายความว่าคนเป็นเจ้าของร้านจะไม่แวะเข้ามาอยู่แล้ว

     

     

     

     

    หากตอนที่ชายหนุ่มกำลังชั่งใจว่าหรือจะโทรบอกอัลบี้ดีว่าวันนี้คงเข้าไปไม่ได้แล้วอยู่นั่นเองที่ทางแก้ปัญหาปรากฏขึ้น…ร่างคุ้นตาของคุณบาริสต้าหมายเลขหนึ่งหยัดตัวขึ้นมาจากการก้มหาอะไรสักอย่างที่พื้นด้านหลังเคาเตอร์ สบตาเข้ากับนิวท์อย่างจังเมื่อหันหน้ามาทางประตูร้าน

     

     

     

     

    ถึงจะยังประหลาดใจสุดขีดอยู่…ชายหนุ่มผมสีคาราเมลก็คลี่ยิ้มทันทีโดยอัตโนมัติ ยกมือขึ้นโบกทักทายนิดๆ ด้วยแก้เกี้ยว…เพราะไม่รู้จะทำอะไรอื่นได้มากกว่านั้นในเวลาที่ยืนห่างแสนห่างแล้วก็มีกำแพงกระจกกั้นอยู่แบบนี้

     

     

     

     

    มินโฮพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำทัก…ก่อนจะกวักมือเป็นเชิงบอกว่าถ้าอยากเข้าก็เข้ามาได้เลย ทำให้นิวท์ผลักประตูเข้าไป…กลิ่นหอมจางของกาแฟที่ยังคงอวลในตัวร้านแม้ว่าจะไม่มีลูกค้าเลยลอยมาทักทาย

     

     

     

     

    “หวัดดี” เขาเดินไปจนถึงหน้าเคาเตอร์แล้วค่อยเริ่มต้นบทสนทนา “ทำไมวันนี้ปิดร้านล่ะ?”

     

     

     

     

    เพราะวันอาทิตย์ที่แล้วที่เขามา เดอะเมซก็เปิดขาย จึงไม่น่าจะมีเหตุอะไรให้วันอาทิตย์เหมือนอย่างปัจจุบันนี้พลิกมาปิดทำการเสียเฉยๆ…แล้วอีกอย่างที่แปลกไปวันนี้ก็คือบาริสต้าหมายเลขสองของร้านไปอยู่ไหนเสียก็ไม่รู้

     

     

     

     

    มินโฮยักไหล่ตามนิสัยก่อนตอบ “ไม่ได้มีอะไรหรอก…วันนี้โรงเรียนของชัคมีแข่งกีฬาน่ะ โทมัสเลยขอลาไปเชียร์ แล้วฉันก็กะว่าจะเช็คๆ ตรงครัวของร้านอยู่แล้ว…เลยคิดว่าปิดร้านทั้งวันเลยดีกว่า”

     

     

     

     

    “อ๋อ…” นิวท์พยักหน้า…เขาเคยได้คุยกับโทมัสและรู้แล้วชัคคือน้องชายวัยประถมของเจ้าตัว ซึ่งถึงจะไม่ได้แสดงออกมากมาย…นิวท์ก็รู้ว่าโทมัสสนิทกับน้องชายมากเลยทีเดียว “แล้ว…ครัวโอเคใช่มั้ย? ไม่มีอะไรต้องซ่อมใช่มั้ย?”

     

     

     

     

    “เท่าที่ดูๆ ก็ยังโอเคอยู่นะ” มินโฮตอบสั้นๆ ตรงประเด็นอย่างทุกที…ก่อนจะทอดสายตามองเขา “ว่าแต่…นี่นายไม่รู้ใช่มั้ยเนี่ยว่าวันนี้ร้านปิดน่ะ?”

     

     

     

     

    นิวท์อยากพูดเย้ากลับไปเหลือเกินว่าในเมื่ออีกฝ่ายไม่เคยขอหรือให้เบอร์เลย ตนจะมีใครคอยติดต่อมาบอกข่าวได้ล่ะ…แต่นั่นเป็นอะไรที่ล้ำเส้นของการล้อเล่นอันปลอดภัยมากเกินไปนัก เพราะแค่คิดเฉยๆ เองในหัว…หัวใจของเขาก็เริ่มเต้นผิดจังหวะแบบตลกๆ เสียแล้ว

     

     

     

     

    “ไม่ ฉันไม่รู้เลย…” ชายหนุ่มผมสีคาราเมลแอบกระแอมกระไอ ก่อนจะเสริม “เพราะนี่ฉันนัดเพื่อนไว้ว่าจะเอาหนังสือเข้าไปให้ที่ห้องสมุดไง…เลยกะจะแวะเข้ามาซื้อกาแฟแล้วเอาหนังสือไปด้วยเลยเนี่ย”

     

     

     

     

    เพิ่งนึกได้ว่าร้านไม่เปิดขายเอาก็ตอนพูดออกไปแล้ว นิวท์เลยแก้ประโยคก่อนหน้าด้วยการเอ่ยเสริม “แต่นายปิดร้านนี่นะ งั้นก็ไม่เป็นไร…แล้วนี่หนังสือ—”

     

     

     

     

    มินโฮเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจประโยคเสริมนี้เท่าไหร่นัก…เพราะคุณบาริสต้าถามแทรกขึ้นมา การเสียมารยาทที่ไม่ได้ทำให้ขัดหูเท่าไหร่ด้วยน้ำเสียงทุ้มเรียบนิ่งแต่ไม่เย็นชานั่น

     

     

     

     

    “นายอยากกินกาแฟอะไรล่ะ?”

     

     

     

     

    นิวท์กระพริบตาปริบๆ นิดหน่อยกับคำถามปุบปับ แต่ก็ตอบโดยดีเพราะไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิด…เมนูที่เก้าของร้านเดอะเมซแห่งนี้ “แฟรปปูชิโน…ทำไมเหรอ?”

     

     

     

     

    “หนังสือนายอยู่ตรงโน้นน่ะ” มินโฮพยักเพยิดไปทางมุมร้าน…ถุงพลาสติกสองใบวางแอบอยู่ข้างกระถางต้นไม้ “นายพอจะมีถุงผ้ามาใส่มั้ยน่ะ…เพราะถ้าถือไปแบบนั้นมันเหมือนถุงขยะเลยล่ะ”

     

     

     

     

    นิวท์กลอกตาพร้อมพูดอย่างสุภาพเกินจำเป็นเพื่อเสียดสีว่าตนมีถุงผ้าไหมชั้นเลิศเตรียมมากับตัวอยู่แล้ว ประโยคที่ทำให้มินโฮขำหึหึออกมาสั้นๆ…ก่อนที่ชายหนุ่มผมสีคาราเมลจะเดินไปหยิบถุงหนังสือทั้งสองใบขึ้นวางบนโต๊ะ ง่วนกับการจัดเรียงหนังสือทั้งหมดมาใส่ในถุงผ้าดิบสองใบของตัวเองจนไม่ได้สังเกตเลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นรอบตัว

     

     

     

     

    นั่นจึงทำให้เมื่อตอนที่ถูกเรียกแล้วเงยหน้าขึ้น…นิวท์จึงประหลาดใจนักที่ได้พบแก้วพลาสติกใสที่โดนคุณบาริสต้ายื่นมาให้ สีน้ำตาลอ่อนของกาแฟมีเกล็ดน้ำแข็งละเอียดยิบผสมผสานอยู่…แยกชั้นให้เห็นริ้วขาวของนมสดที่ปะปนในตัวเครื่องดื่ม วิปครีมเป็นชั้นมีผงเครื่องเทศโรยอยู่ด้านบนเล็กน้อย…สีขาวสะอาดของเนื้อครีมตัดกับหลอดพลาสติกสีส้มสดใสนัก

     

     

     

     

    “เอ้า…จะนั่งมองให้มันละลายเล่นๆ หรือไง?” เหมือนจะดุ…แต่มินโฮกลับกำลังยิ้มขันๆ อยู่ แกล้งเลิกคิ้วอย่างกวนๆ ตบท้าย “…ฉันนึกว่านายพูดว่าจะกินแฟรปปูชิโนนะนิวท์”

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมสีคาราเมลยังคงมีสีหน้าประหลาดใจอยู่ แต่ก็ขมวดคิ้วใส่คำแซะของเขา…ครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งตอนที่แกล้งดึงกึ่งกระชากเอาถ้วยพลาสติกไป กิริยาที่ทำให้มือเรียวขาวนั่นจับซ้อนลงมาบนมือของเขา…ความไม่ได้ตั้งใจชั่ววินาที

     

     

     

     

    แล้วเมื่อมือว่าง เขาก็เสจิบแฟรปปูชิโนถ้วยของตัวเองบ้าง…แต่มินโฮไม่ค่อยแน่ใจว่ารสหวานๆ ที่กำลังรับรู้นั้นมาจากแค่กาแฟของตัวเอง

     

     

     

     

    นิวท์ไม่รีรอที่จะเริ่มชิมเครื่องดื่มในถ้วยของตัวเอง…ก่อนที่ดวงตาโตสีน้ำตาลคู่นั้นจะเบิกกว้างกว่าเดิม ถามออกมาทันที “เฮ้ๆ…นี่มันพัมป์กิ้นสไปซ์นี่??”

     

     

     

     

    มินโฮยักไหล่ ให้เหตุผลที่ไม่ได้เรื่องเลย “ก็นายไม่ได้พูดว่าอยากกินแฟรปปูชิโนอะไรเองนี่”

     

     

     

     

    แล้วในเมื่อไม่ได้พูด ก็ไม่ผิดอะไรนี่นะที่เขาจะทำเมนูพิเศษให้อีกฝ่ายน่ะ…

     

     

     

     

    นิวท์กลอกตา…แต่การที่เจ้าตัวดูดกาแฟปั่นจากหลอดอึกๆ ต่อก็ทำให้คุณเจ้าของร้านรู้ชัดเจนว่านี่การตัดสินใจของตนนั้นเป็นอะไรที่ถูกต้องที่สุด

     

     

     

     

    ถึงจะได้ทั้งแฟรปปูชิโนและหนังสือแล้ว…แต่ชายหนุ่มผมสีคาราเมลก็ยังไม่ได้รีบออกจากร้านไปอย่างที่ควร นิวท์รอจนมินโฮเช็คความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายแล้วล็อคประตูหน้า…ร่างโปร่งบางดูเก้งก้างน่าเอ็นดูชอบกลเวลาที่มีถุงใบใหญ่โตคล้องบ่าอยู่ข้างละใบอย่างนี้ ถุงผ้าที่โดนขยับให้เหวี่ยงไปมานิดหน่อยทุกเวลาที่เจ้าตัวยกถ้วยกาแฟปั่นในมือขึ้นมาจิบ

     

     

     

     

    “แล้ว…” มินโฮเกริ่นเมื่อเก็บกุญแจเข้ากระเป๋าแจ็คเก็ตแล้ว “…นายจะไปยังไงต่อล่ะ?”

     

     

     

     

    “ห้องสมุดเพื่อนฉันอยู่แถวซีวิกเซ็นเตอร์น่ะ” นิวท์พูด “ก็คงเรียกแท็กซี่ไปจากตรงนี้นี่แหละ”

     

     

     

     

    เป็นหนุ่มเกาหลีบ้างแล้วที่ได้แต่กระพริบตาปริบๆ…มองอีกฝ่ายด้วยความเหลือจะเชื่อ แล้วพูดถามหยั่งเชิง “เอ่อ…นี่นายรู้ใช่มั้ยว่าตอนนี้เราอยู่ที่บรูคลิน?”

     

     

     

     

    “รู้สิ” นิวท์เองก็มองเขาตอบอย่างงงๆ พอกัน “บ้านฉันก็อยู่ใกล้ๆ ห้องสมุดนั่นนะ…ถนนเมดิสันน่ะ ฉันก็นั่งแท็กซี่มาที่นี่ทุก—เอ่อ…ตลอดนะ…”

     

     

     

     

    คุณคอลัมนิสต์ยั้งตัวเองทันก่อนจะเผลอหลุดปากไปว่าตนตั้งใจมาที่เดอะเมซนี่ทุกวัน…และโล่งใจที่อีกฝ่ายดูจะไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้รู้เลยว่าที่มินโฮเงียบไปก็เพราะกำลังกลั้นความอยากถอนหายใจใส่เจ้ามนุษย์แดนอังกฤษที่ผลาญเงินไปกับค่าแท็กซี่แค่เพื่อกาแฟหนึ่งถ้วยต่อวันตรงหน้าตนอยู่

     

     

     

     

    “โอเค…นายอยู่แถวเมดิสัน แล้วก็นั่งแท็กซี่มาบรูคลินตลอด” หนุ่มเกาหลีถอนหายใจ เลิกคิ้ว “…นายอยู่นิวยอร์กมานานแค่ไหนแล้วน่ะนิวท์? เคยรู้บ้างมั้ยว่าพวกเราก็มีบัสกับรถใต้ดินนะ?”

     

     

     

     

    “ฉันอยู่ที่นี่มาจะสองปีแล้วเถอะ” นิวท์โต้ ก่อนจะเลี่ยงไปมองพื้น “ฉันแค่…ไม่ได้ออกไปไหนเท่าไหร่…”

     

     

     

     

    มินโฮมองผิวขาวเข้าขั้นซีดแบบคนไม่ค่อยออกแดดนั่นแล้วก็แอบถอนหายใจกับตัวเอง …ก็เห็นได้ชัดอยู่ล่ะนะ

     

     

     

     

    “โอเคๆ…” หนุ่มเกาหลีพยักหน้าในที่สุด “งั้นนี่นายจะไปเลยเหรอ? เพราะถ้ายัง…เอ่อ…”

     

     

     

     

    ประโยคหลังนี้หลุดตามมาอย่างเป็นธรรมชาติจนเกินไป…ทำให้คนพูดต้องรีบตะครุบมันไว้กลางอากาศเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาจไม่เหมาะสมนักที่จะเอ่ยออกไป

     

     

     

     

    แต่นิวท์ก็ได้ยินไปแล้วเรียบร้อย…ชายหนุ่มผมสีคาราเมลเลิกคิ้วนิดๆ เป็นเชิงบอกว่าพูดต่อให้จบสิ

     

     

     

     

    มินโฮเลยยักไหล่ในใจว่าเป็นไงเป็นกัน แล้วก็เอ่ยต่อ

     

     

     

     

    “ก็นี่มันจะเที่ยงแล้ว…ถ้านายยังไม่ได้จะรีบไปห้องสมุดเลย…” ประโยคถูกคั่นด้วยการยักไหล่จริงๆ บ้าง “…เราไปหาอะไรกินกันก่อนมั้ยล่ะ มื้อกลางวันน่ะ”

     

     

     

     

    นิวท์พยายามจะไม่ยิ้มดีใจออกมา เสทำเป็นพูดช้าๆ “ก็…ก็ได้นะ แต่เราจะไปที่ไหนได้ล่ะ…”

     

     

     

     

    มินโฮพยายามถอนหายใจหน่ายๆ ออกมาให้เบาที่สุด…กลอกตานิดๆ ตอนเอื้อมมือมาหยิบเอาถุงหนังสือไปถือให้ถุงหนึ่ง

     

     

     

     

    “ช้าไปสองปี…แต่ยินดีต้อนรับสู่บรูคลินนะนิวท์”

     

     

     

     

     

    **

     

     

    สวนเอ็มไพร์-ฟัลตันเฟอร์รีคือส่วนหนึ่งของสวนสาธารณะบรูคลินบริดจ์ จุดขายของมันคือทางเดินที่ทอดยาวเลียบริมน้ำ…ทำให้นอกจากบรรยากาศเขียวขจีของตัวสวนแล้ว ทางเดินนี้ยังได้มอบภาพทิวทัศน์ของแม่น้ำอีสต์ สะพานบรูคลิน สะพานแมนฮัตตัน และเมืองแมนฮัตตันส่วนล่างให้กับผู้มาเยือนอีกด้วย นั่นจึงทำให้การแวะมาพักผ่อนหย่อนใจที่นี่เป็นทางเลือกที่ไม่เคยผิดเสมอในวันแดดดีแบบนี้

     

     

     

     

    แต่ถึงจะเป็นเวลาเที่ยงตรงแล้ว…ทั้งนิวท์กับมินโฮต่างก็ไม่มีใครหิวเป็นจริงเป็นจังสักเท่าไหร่ พวกเขาเลยตกลงกันว่าจะเริ่มมองหารถขายอาหารสะดวกซื้อที่ตั้งอยู่เป็นระยะๆ ริมทางเดินตอนที่สองฝ่ายจัดการแฟรปปูชิโนของตัวเองจนหมดก่อน…แล้วก็ค่อยๆ เดินสบายๆ ไปตามทางเดินเลียบริมแม่น้ำ

     

     

     

     

    แดดอุ่น…แต่สายลมเย็นชื้นก็พัดโชยตลอดเวลา บอกให้รู้ถึงเวลาสิ้นปีที่กำลังจะมาถึงแล้ว แม่น้ำสีน้ำเงินเข้มสะท้อนวิววาวกับประกายแดดที่ตกกระทบ…ไอฉ่ำๆ กับเสียงคลื่นซัดทำให้รู้สึกเหมือนสถานที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ในมหานครอันวุ่นวายอย่างนิวยอร์กเลย ความรู้สึกที่ทำให้นิวท์ยิ่งอยากสูดลมหายใจลึกๆ…เก็บทุกรายละเอียดไว้ให้มากที่สุดในความทรงจำ

     

     

     

     

    “ทำอะไรน่ะ? สังเคราะห์แสงอยู่เหรอ?”

     

     

     

     

    ดวงตาสีน้ำตาลเปิดลืมขึ้นมามองคนหน้านิ่งที่ตอนนี้ตนได้ค้นพบแล้วว่ากวนประสาทได้ใจอยู่ไม่น้อยเลย ก่อนจะแกล้งขมวดคิ้ว “แค่เพราะฉันติดหนี้กาแฟนาย ไม่ได้หมายความว่าฉันจะยอมให้นายล้อฉันแบบนี้นะมินโฮ”

     

     

     

     

    “โอเค…ขอโทษครับคุณลูกค้า” หนุ่มเกาหลีหัวเราะหึหึ ก่อนจะถามต่อสบายๆ “นายบอกว่าอยู่ที่นี่มาจะสองปีแล้วเหรอ? ทำไมย้ายมาจากอังกฤษล่ะ?”

     

     

     

     

    “สำเนียงฉันชัดขนาดนั้นเลยเหรอ?” นิวท์ถาม ก่อนจะหัวเราะพร้อมส่ายหน้าแบบยอมแพ้ตอนโดนมินโฮเลิกคิ้วใส่ “โอเค…ฉันย้ายมาเพราะงานน่ะ แล้วก็เพราะอยากเปลี่ยนที่ด้วยล่ะ”

     

     

     

     

    คลื่นความตระหนกพัดผ่านนิวท์ไปเล็กน้อยตอนที่เพิ่งตระหนักได้ว่านี่เป็นหัวข้อสนทนาที่จะนำพาไปสู่การพูดถึงอาชีพของตัวเองได้ง่ายแค่ไหน…ความตระหนกที่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึก แต่นิวท์พบว่าเขาอยากจะให้ทุกสิ่งที่กำลังจะเกิด – หรืออาจเกิดขึ้นไปแล้ว – ตอนนี้ไม่มีการบอกถึงสาเหตุจริงที่ตนแวะเวียนไปที่คาเฟ่เดอะเมซทุกวันเข้ามาเกี่ยวข้อง

     

     

     

     

    และโชคก็ดูเข้าข้าง…เพราะมินโฮไม่ได้ถามอะไรต่อ ชายหนุ่มผมดำแค่พยักหน้ารับรู้ แล้วก็เปลี่ยนมาเล่าเรื่องของตัวเองบ้างเมื่อโดนถาม…ปัดให้ประเด็นเรื่องหน้าที่การงานโดนลืมไปอย่างน่าโล่งใจ

     

     

     

     

    “จริงๆ นะ” นิวท์ยังคงยืนยันในไอเดียของตัวเอง “นายน่าจะทำพวกบัตรสมาชิกนะ…ร้านนายคนมากินเยอะจะตาย”

     

     

     

     

    “บัตรสมาชิก?” มินโฮทวนคำขันๆ “ร้านฉันขายกาแฟขายขนมอยู่แค่นั้น…จะมีโปรโมชั่นอะไรให้ลูกค้าสมาชิกได้หา?”

     

     

     

     

    นิวท์ยักไหล่…พยายามที่จะดูดน้ำแข็งที่ยังไม่ละลายในถ้วยแฟรปปูชิโนของตัวเองพร้อมคิด ก่อนจะเสนอ

     

     

     

     

    “แจกถุงผ้าสิ” เขย่าถุงหนังสือบนไหล่ตัวเองประกอบเสียด้วย “ได้แถมของแล้วก็ยังโปรโมทร้านในตัว…นึกภาพว่านี่เป็นถุงร้านนายสิ อย่างน้อยๆ ตอนนี้คนที่เดินผ่านเราก็จะได้เห็นชื่อร้านนายแล้วนะ”

     

     

     

     

    มินโฮส่ายหน้าแต่ก็อดขำไม่ได้ ก่อนจะโยนถ้วยกาแฟที่หมดแล้วของตัวเองลงถังขยะเมื่อเดินผ่าน…เรียกคนข้างตัวไว้ด้วย

     

     

     

     

    “เฮ้ นิวท์” พยักเพยิดนิดๆ “ทิ้งถ้วยเลยสิ…หมดแล้วนี่”

     

     

     

     

    “ไม่เป็นไรหรอก…” อีกฝ่ายยกถ้วยขึ้น เขย่าให้น้ำแข็งก้อนที่ใหญ่เกินละลายทันส่งเสียงกลุกๆ “…ยังเหลืออยู่เลย”

     

     

     

     

    มินโฮกลอกตา ก่อนจะเอื้อมไป…อีกฝ่ายไม่ได้รั้งห้ามเอาไว้ตอนที่เขาหยิบถ้วยจากมือของเจ้าตัวไปทิ้งลงขยะให้

     

     

     

     

    “เหลืออยู่แค่นั้นน่ะเขาเรียกว่าหมดแล้ว” คุณบาริสต้าแก้ให้ ก่อนจะเผลอพูดออกไป “ถ้าอยากกินอีกเดี๋ยววันพรุ่งนี้ฉันทำให้ใหม่…โอเคมั้ย?”

     

     

     

     

    “ไม่ล่ะ—” นิวท์ปฏิเสธทันควันแล้วก็หยุดพูดกลางคัน พยายามหาประโยคต่อไปอย่างรีบด่วน “คือ…พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้สิ ค่อยว่ากันก็ได้…”

     

     

     

     

    มินโฮแอบรู้สึกหน่วงๆ ในใจชอบกลตั้งแต่ที่ได้ฟังคำปฏิเสธทันควันนั่นแล้ว…และการตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้นี้ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่เลย จากบทสนทนาที่มีกันมานั้น…เขาละเว้นที่จะจับโอกาสการถามถึงงานของนิวท์ทุกครั้ง เพราะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายดูจะไม่อยากเล่าชอบกล…แล้วถ้าตัดสินจากการที่เจ้าตัวก็ไม่ยอมพูดลงลึกเองด้วย มินโฮก็คิดว่าชายหนุ่มผมสีคาราเมลอาจจะต้องการให้เขาไม่รู้…เพราะอย่างไรเสีย นิวท์ก็กำลังให้คะแนนเครื่องดื่มและร้านของเขาอยู่…การบอกความจริงย่อมหมายถึงเปิดเผยถึงจุดประสงค์ ซึ่งจะตามมาด้วยเนื้องานที่อาจเสียไปของเจ้าตัว

               

     

     

     

    แต่ให้ตายเถอะ…เขาไม่ได้แคร์เรื่องคะแนนที่จะได้ด้วยซ้ำ…

     

     

     

     

    มินโฮอยากส่งเสียงฮื่อๆ อย่างงุ่นง่านออกมานัก…ชั่งน้ำหนักในใจว่าจะบอกๆ นิวท์ไปสักทีดีไหมว่าตนรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ความไม่แน่นอนของผลจากการกระทำก็รั้งเขาไว้…ลังเลจนสุดท้ายโอกาสเลยผ่านไป นิวท์เปลี่ยนประเด็นมาถามถึงมื้อกลางวันของพวกเขาแทนเสียแล้ว

     

     

     

     

    “เลือกเอาเลย” มินโฮชี้ไปทางร้านรถแวนมากมายที่เปิดขายของอยู่โดยรอบบริเวณ “อยากกินอะไรล่ะ?”

     

     

     

     

    อาหารที่ขายอยู่แถวนั้นล้วนแต่เป็นเมนูง่ายๆ อย่างเบอเกอร์หรือฮอตด็อก…แต่คงเป็นเพราะสัญชาติญาณตามอาชีพ นิวท์ก็ตาดีพอที่จะมองเห็นรถแวนสีเหลืองเพ้นท์ลายจุดหลากสีตรงมุมหนึ่งเข้าจนได้

     

     

     

     

    “พานินีไส้เบคอนชีสกับลูกพีชย่าง?” มินโฮอ่านป้าย เริ่มสงสัยขึ้นมาแล้วว่านิตยสารเดอะเกลดนี่เปิดให้แนะนำอาหารประเภทไหน “เอาจริงเหรอ?”

     

     

     

     

    นิวท์ยักไหล่ “ก็น่าสนใจที่สุดเท่าที่มีแล้วล่ะ…ว่าไงล่ะ?”

     

     

     

     

    เป็นไงก็เป็นกันล่ะวะ… หนุ่มเกาหลีขี้เกียจมาเรื่องมากเพราะก็หิวขึ้นมาแล้ว …เพราะถ้ามีเบคอน อะไรๆ ก็ไม่น่าเลวร้ายมากหรอก

     

     

     

     

    แต่ผลปรากฏคือสิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นอะไรที่อยู่คนละทางจากคำว่าเลวร้ายสักปีแสงหนึ่งได้…ขนมปังของแซนด์วิชสไตล์อิตาเลียนนี้กรอบนอกนุ่มในและหอมกรุ่นด้วยกลิ่นน้ำมันมะกอก เข้ากันเป็นอย่างดีกับชีสที่ถูกอบจนละลายและเบคอนเกรียมๆ…ฮันนี่มัสตาร์ดที่ถูกทาบนขนมปังทำให้ไม่เลี่ยนเกินไป และที่ไม่น่าเชื่อที่สุดก็คือเนื้อพีชสีเหลืองทอง…สิ่งที่ฟังดูผิดที่ผิดทางในเมนู หากกลับมอบรสหวานอมเปรี้ยวอันลงตัวกับส่วนผสมทุกอย่างได้เสียอย่างนั้น

     

     

     

     

    นั่นจึงทำให้มินโฮถึงกับต้องพยักหน้าหงึกๆ ซ้ำๆ เมื่อนิวท์เลิกคิ้วมาให้แทนการเอ่ยปากถามว่าเป็นไงบ้าง…กิริยาที่ส่งผลให้อีกฝ่ายเกือบหลุดหัวเราะออกมาทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวปานินีแก้มตุ่ยเองอยู่

     

     

     

     

    ทั้งสองย้ายจากม้านั่งบนสนามหญ้ากลับมาที่ทางเดินเลียบแม่น้ำดังเดิมเมื่อทิ้งถาดกระดาษใส่แซนด์วิชเรียบร้อยแล้ว…แดดยามบ่ายดูจะสาดจ้ากว่าตอนเที่ยง แต่ไอเย็นจากแม่น้ำและสายลมใบไม้ร่วงก็เจือจางให้มันกลายเป็นความอบอุ่นที่กำลังพอดีไปได้

     

     

     

     

    “แล้ว…” มินโฮพูดขึ้น “…จากตรงนี้นายจะไปซีวิกเซ็นเตอร์เลยใช่มั้ย? ต้องหาแท็กซี่สินะ?”

     

     

     

     

    “อืม…” นิวท์ส่งเสียงตอบเพื่อประวิงเวลาคิด…เพราะเขาแทบลืมไปแล้วว่าวันนี้ตนตั้งใจจะออกมาทำอะไร อาการหลงลืมอันเป็นผลข้างเคียงมาจากการอยากให้เวลาตรงนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ…และนิวท์ไม่ชอบเลยที่ตัวเองคิดหวังอะไรแบบนี้ “ก็…ก็คงงั้นแหละ…”

     

     

     

     

    มินโฮพยักหน้าพร้อมพูดว่าโอเค…ก่อนที่ทั้งคู่จะออกเดินต่อเพื่อไปยังจุดเชื่อมต่อไปตรงสะพานบรูคลิน บนทางเดินริมน้ำมีรถจักรยานขายของกินเล่นหลากหลายอย่างเรียงราย…และหนุ่มเกาหลีก็เรียกให้นิวท์หยุดเมื่อเดินผ่านรถไอศกรีม

     

     

     

     

    “นายอายุกี่ขวบแล้วนะมินโฮ?” ชายหนุ่มผมสีคาราเมลแกล้งถาม แต่ก็พังมาดตัวเองด้วยประโยคต่อมาที่เอ่ยกับคนขาย “เอารสมิ้นต์ช็อกโกแล็ตชิปอีกด้วยครับ”

     

     

     

     

    มินโฮแกล้งส่งเสียงเฮอะดังๆ…ก่อนจะควานหาธนบัตรในกระเป๋าเงิน การกระทำที่ทำให้ดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั่นเบิกกว้าง ร้องห้ามเสียงหลง

     

     

     

     

     

    “เฮ้ๆๆๆ! จะทำอะไรน่ะ?!” นิวท์เอามือดันกระเป๋าของเขาให้พ้นไป “หยุดเลยนะ…ไอติมนี่ฉันเลี้ยงเอง”

     

     

     

     

    “อะไรของนายหา??” มินโฮพยายามจะยกกระเป๋าขึ้นมาใหม่ แต่มือก็โดนดันอีก “ฉันโตพอจะมีเงินซื้อไอติมกินเองแล้วนะถ้านายไม่รู้…หยุดนะเฮ้ย”

     

     

     

     

    “นาย-แหละ-หยุด” ชายหนุ่มผมสีคาราเมลเอาปลายนิ้วดีดๆ ข้อนิ้วของเขาให้ขยับมาเปิดกระเป๋าเงินไม่ได้ “ถือว่า…แทนค่ากาแฟ…เมื่อเช้า…”

     

     

     

     

    รอยดีดนี่ไม่เจ็บอะไร แต่น่ารำคาญเอาเรื่องเลยทีเดียว “ฉันปิดร้านไม่ขายกาแฟวันนี้…เพราะงั้นนั่นถือว่าให้ฟรีแล้วเหอะ”

     

     

     

     

    “แต่ฉันโตพอจะมีเงินซื้อกาแฟกินเองแล้วนะถ้านายไม่รู้” นิวท์เอาประโยคของเขามาโต้สวน “เก็บกระเป๋าเงินนั่นไปซะ”

     

     

     

     

    มินโฮกลอกตาก่อนจะยอมทำตามโดยดี…ยืนมองอีกฝ่ายจ่ายเงินให้คนขาย แล้วทั้งสองก็ได้ยืนงงกันทั้งคู่เมื่อเห็นว่าไอศกรีมที่ได้มานั้นเป็นสองลูกบนโคนเดียวแทนที่จะเป็นลูกเดียวบนแต่ละโคนซะงั้น

     

     

     

     

    “เอ่อ…” นิวท์กระพริบตาปริบๆ “นี่สั่งสองโคนนะครับ ไม่ใช่สองลูก”

     

     

     

     

    “อ้าว…” สาวน้อยคนขายกระพริบตาบ้าง ก่อนจะพูดเสียงแหยๆ “ก็คุณลูกค้าบอกว่าขออีกลูก…”

     

     

     

     

    นิวท์คิดทวนคำพูดของตัวเอง แล้วก็พบว่ามันตีความได้แบบนี้จริงๆ เสียด้วย และขณะที่กำลังคิดอยู่นั่นเองว่าจะทำอย่างไรดี…มินโฮก็พูดแทรกขึ้นมา

     

     

     

     

    “ช่างมันเหอะ” หนุ่มเกาหลียักไหล่ตามนิสัย “แบ่งกันกินก็แล้วกัน…ไปกันเถอะ”

     

     

     

     

    นิวท์เลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลยแล้วเดินออกมา…และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อก็คือพวกเขาต้องคอยขยับถุงหนังสือที่ถืออยู่ไปๆ มาๆ เพื่อรับส่งไอศกรีมโคนให้กันและกัน

     

     

     

     

    “มิ้นต์กับช็อกโกแล็ตนี่ดีที่สุดเลยให้ตาย…” มินโฮพูดขึ้นหลังงับไอศกรีมคำใหญ่ไป ยื่นโคนกลับมาให้เขา “เอ้า…”

     

     

     

     

    นิวท์พยักหน้าเห็นด้วยพร้อมรับโคน “ใช่เลย…ขนาดช็อกโกแล็ตร้อนฉันยังชอบแบบใส่มิ้นต์เลยล่ะ”

     

     

     

     

    “งั้นเตรียมเสียเงินให้ร้านฉันอีกได้เลย” มินโฮยิ้มหึหึ “เพราะนั่นก็มีในเมนูด้วยล่ะ…ช็อกโกแล็ตร้อนรสมิ้นต์น่ะ”

     

     

     

     

    นิวท์แค่หัวเราะเออออไปด้วย…และก็ขอบคุณสวรรค์ที่ตอนนี้พวกเขามาถึงจุดสิ้นสุดของตัวสวนแล้ว นั่นหมายความว่าเวลาที่มีให้กันวันนี้จะจบลงได้โดยไม่มีการบอกเล่าถึงข้อมูลส่วนตัวหรือเหตุผลที่แวะเวียนไปที่คาเฟ่ใดๆ อีกแล้ว

     

     

     

     

    แต่น่าแปลกนัก…เพราะความโล่งใจกลับไม่ได้มีน้ำหนักเท่าความวูบโหวงของการตระหนักรู้ว่าตนจะต้องแยกจากมินโฮเลยสักนิด

     

     

     

     

    “โอเค…” ชายหนุ่มพยายามไล่ความคิดไร้สาระนี้ออกไป “งั้น…ก็เจอกันพรุ่งนี้นะ”

     

     

     

     

    มินโฮมองมือขาวๆ ที่ยื่นมารอรับถุงหนังสือจากบ่าตนไป…สมองทำงานได้อย่างมากมายจนไม่น่าเชื่อในเสี้ยววินาที มันไตร่ตรอง…ชั่งน้ำหนักของการพูดและการไม่พูดสิ่งที่ต้องการ…ตระหนักถึงเวลาที่กำลังทิ้งตัว ตัวแปรที่ช่วยให้การตัดสินใจบ้าบิ่นกลายเป็นเรื่องไม่ยากเย็นเลย

               

     

     

     

    เพราะยังไงวันนี้ทั้งวันก็เกิดจากการตัดสินใจบ้าบิ่นอยู่แล้วล้วนๆ นี่นา…

     

     

     

     

    “จากตรงนี้ไปซีวิกเซ็นเตอร์มันไม่ไกลหรอก” เขาเลยพูดออกไป “ถ้านายโอเค…ฉันเดินไปกับนายก็ได้นะ”

     

     

     

     

    นิวท์เงียบไป และนั่นก็เป็นสัญญาณให้มินโฮเดาว่าเขาได้เสนอสิ่งที่ไม่เป็นที่ต้องการออกไปเสียแล้ว…จึงยักไหล่แล้วพูดแก้เสริมอย่างที่รู้ตัวว่าต้องทำ

     

     

     

     

    “แต่ถ้านายจะเรียกแท็กซี่ก็ได้—”

     

     

     

     

    “เอาสิ”

     

     

     

     

    นี่เป็นการพูดแทรกที่เสียมารยาทชะมัด…แต่ในนาทีนี้ การเสียมารยาทนี้กลับเป็นอะไรที่เขาไม่เคยรู้สึกดีใจที่ได้ยินขนาดนี้มาก่อนเลย

     

     

     

     

    มินโฮพยายามจะกลั้นรอยยิ้มของตัวเองแล้ว…แต่เมื่อเห็นว่านิวท์มีสีแดงจางๆ ระบายบนผิวแก้ม เขาก็ยอมแพ้แล้วหัวเราะเบาๆ ออกมา

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

    ห้องสมุดของเพื่อนนิวท์ที่ชื่ออัลบี้คนนี้เป็นอาคารเดี่ยวๆ สีขาวที่ครอบครองพื้นที่ริมถนนไว้…และถึงแม้ว่าใบของต้นไม้ริมรายทางจะแปรเปลี่ยนเป็นเฉดสีเหลืองอมน้ำตาลทองหมดแล้ว มันก็ยังไม่ได้ปลิดปลิวไปจนหมด…มอบร่มเงาบังแดดยามบ่ายคล้อยให้กับเหล่าคนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

     

     

     

     

    มินโฮเองก็หยุดเดินเมื่อคนข้างตัวหยุดลงตรงฟุตบาธหน้าทางเข้าอาคาร…ยิ้มบางๆ ตอบให้ตอนที่อีกฝ่ายหันมา

     

     

     

     

    “ก็…ถึงแล้วล่ะ” นิวท์เสขยับหูถุงผ้านิดหน่อย “ขอบใจนะที่ช่วยมากับฉัน”

     

     

     

     

    “ไม่เป็นไรหรอก…ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย” ความเป็นทางการนี้ตัดกับบทสนทนาสนิทสนมของทั้งวันที่ผ่านมานัก และความน่ากระอักกระอ่วนใจนี้ก็ทำให้มินโฮอดขำไม่ได้ “…ขอบคุณที่แนะนำแซนด์วิชแล้วก็เลี้ยงไอติมฉันนะ”

     

     

     

     

    นิวท์ยิ้มบ้าง รอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาสีน้ำตาลนั่นพริบพราวราวมีประกายแดดแฝงอยู่ “ขอบคุณที่เลี้ยงกาแฟฉันเหมือนกัน…เป็นพัมป์กิ้นสไปซ์แฟรปปูชิโนที่อร่อยมากเลยล่ะ”

     

     

     

     

    คำชมนี้ทำให้ตะกอนความวูบโหวงในใจของมินโฮหมุนวนขึ้นมาอีกครั้ง…เขาได้แต่เสหัวเราะ พูดเสียงเบาลงกว่าที่เคย

     

     

     

     

    “ถ้านายชอบ วันพรุ่งนี้ก็สั่งใหม่สิ แล้วเดี๋ยวฉันทำให้อีก…ดีไหม?”

     

     

     

     

    ประโยคนี้และแววตาในดวงตาสีดำคู่นั้นทำให้วูบหนึ่งนิวท์ตระหนกขึ้นมา…เพราะมันดูเว้าวอนเกินกว่าจะเป็นแค่คำเสนอแนะทั่วไป ราวกับมินโฮกำลังร้องขอให้เขาพิจารณามาตรการการทำงานของตัวเองใหม่…เรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ตัดสินจากการที่อีกฝ่ายไม่รู้สักนิดว่านิวท์เป็นใคร

     

     

     

     

    “ร้านนายมีกาแฟตั้งหลายอย่างออกนะ” เขาพยายามปกปิดหัวใจที่เต้นรัวเพราะความตระหนกของตัวเองด้วยการหัวเราะ คำโกหกที่ไม่แนบเนียนเลย “…ขอฉันลองเรื่อยๆ ดีกว่า ฉันชอบลองอะไรใหม่ๆ น่ะ”

     

     

     

     

    นิ่มนวล…หากก็เป็นคำบ่ายเบี่ยงอยู่ดี และนั่นก็ทำให้มินโฮรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกขึ้นมาเสียเฉยๆ

     

     

     

     

    “แต่ถ้านายลองทุกอย่างรวดเดียว…สุดท้ายมันก็จะไม่เหลืออะไรใหม่ๆ น่ะสิ…” เขาแทบกระซิบแล้ว…เนิบช้าหากแตกพร่า “ลองสั่งอะไรซ้ำๆ บ้างสิ…จะได้ทำให้ลิสต์จบช้าลงบ้างไง…”

     

     

     

     

    ไม่เป็นที่สังเกตได้เลย…หากร่างหนานั่นก็ก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด ความใกล้ที่คล้ายคลึงกับวันที่นั่งทำทะเบียนหนังสือด้วยกันบนโซฟา เพียงแค่วันนี้…ความใกล้ชิดนี่ดูมากมายกว่าเดิมเพราะพวกเขากำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่

     

     

     

     

    ใกล้เสียจนวูบหนึ่งนิวท์คิดว่ามินโฮอาจจะแตะมือลงมาบนข้างแก้มของเขา…หรือสัมผัสอื่นใดที่มากกว่าแค่นั้น

     

     

     

     

    หวั่นไหวผสานคาดหวัง…นิวท์ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองก็ขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเช่นกัน

     

     

     

     

    หากช่วงนาทีที่เหมือนเวลาหยุดลงก็หายวับไปด้วยเสียงดังตุ้บ…หนังสือเล่มหนึ่งหล่นลงจากปากถุงผ้าที่อ้าค้าง ทำให้มินโฮถอยออกไปขณะที่นิวท์ก้มลงไปเก็บหนังสือ

     

     

     

     

    “เอ่อ…”

     

     

     

     

    และตอนที่เขาหยัดตัวตรงเพื่อจะกล่าวอะไรใหม่อีกครั้ง ก็มีเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง

     

     

     

     

    “นิวท์! มาแล้วทำไมไม่เข้ามา— โอ…โทษทีๆ…”

     

     

     

     

    อัลบี้ชะงักไปเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว…ก่อนจะยิ้มอย่างมีอัธยาศัยให้มินโฮ ทำมือเป็นเชิงบอกว่างั้นก็ตามสบายเลย…ก่อนจะผลุบกลับเข้าไปในตัวอาคาร

     

     

     

     

    “งั้น…” ชายหนุ่มผมดำยิ้มบางๆ มาให้…ความอ่อนโยนที่ดูเศร้าอย่างอธิบายไม่ได้ “…เดี๋ยวฉันไปก่อนละกัน”

     

     

     

     

    “โอเค…” นิวท์รับถุงหนังสือมา ใจหนักหน่วงอย่างแปลกประหลาด “พรุ่งนี้เจอกันนะ…มินโฮ”

     

     

     

     

    คุณบาริสต้าพยักหน้าเบาๆ…ตอบด้วยประโยคเดียวกัน “พรุ่งนี้เจอกัน…นิวท์”

     

     

     

     

    แม้ว่าร่างของอีกฝ่ายจะเดินลับไปแล้ว…แม้ว่าเขาจะเดินเข้ามาด้านในห้องสมุดแล้ว…แม้ว่าถุงหนังสือจะโดนวางลงบนโต๊ะและเขาทิ้งตัวลงนั่งแล้ว…นิวท์ก็พบว่าน้ำหนักในใจตนยังคงไม่บางเบาลงเลย ซ้ำร้าย…ภาพแววตาและถ้อยคำทั้งหมดยังทำให้มันทิ้งตัวลงมามากกว่าเก่าเสียด้วย

     

     

     

     

    “ขอบใจนะเพื่อน” อัลบี้พูดหลังจากถ่ายหนังสือทั้งหมดออกมาแล้วพับถุงผ้าคืนให้เขา ก่อนจะทัก “เป็นอะไรน่ะ…ทำไมหน้ายุ่งเชียว? ทะเลาะกับแฟนเหรอ?”

     

     

     

     

    นิวท์คว้าโพสต์อิทแถวนั้นปาใส่…การโจมตีที่ไร้ผลเพราะแผ่นกระดาษสีแสบตานั้นม้วนปลิวและตกแปะลงบนพื้นตั้งแต่แรก “มินโฮไม่ใช่แฟนฉัน”

     

     

     

     

    “อ้าว…จริงเหรอ?” คนฟังตาโตพร้อมเลิกคิ้ว “แล้วใครที่ไหนจะยอมเสียเวลาวันหยุดมาช่วยนายขนหนังสือหา? ถ้าไม่ใช่แฟน…ฉันว่าเขาก็อาจจะอยากเป็—”

     

     

     

     

    “อย่า อัลบี้” ชายหนุ่มผมสีคาราเมลชี้นิ้วเป็นเชิงเตือน “อย่าพูดออกมาเชียวนะ”

     

     

     

     

    ถ้อยคำชวนหาเรื่อง…แต่แววตาก็ร้องขอให้หยุดประเด็นนี้เสียที นั่นจึงทำให้เพื่อนสนิทยอมหยุด เริ่มต้นแยกหนังสือเป็นกองๆ ตามหมวดหมู่…สายตาทอดไปทางคนที่นั่งพิงพนักเก้าอี้และแหงนเงยศีรษะขึ้นมองเพดานเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

     

     

     

     

    แต่ก็ตามนิสัยห่วงใยคนอื่นเสมอ…สุดท้าย อัลบี้ก็อดติงออกมาไม่ได้

     

     

     

     

    “นายจะบอกว่าตัวเองโอเคก็ตามใจนะ” ยักไหล่เล็กน้อยอย่างที่บอกให้รู้ว่าตนไม่เชื่อคำพูดนี้ของนิวท์ “แต่ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรให้นายคิด และนายไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลย…งั้นนี่นายมาเป็นบ้าอะไรอยู่ล่ะ?”

     

     

     

     

    นิวท์ถอนหายใจเฮือกโต ไม่ยอมพูดอธิบายอะไรอยู่ดี เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ตระหนักได้ชัดเจน…ว่ามันเป็นความคิดอันไร้สาระและเป็นไปไม่ได้แค่ไหนที่จะหวังให้มีกาแฟถ้วยที่สิบห้าอยู่ในรายการที่มีเครื่องดื่มแค่เพียงสิบสี่ชนิดเท่านั้น

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    tbc.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in