I’ll unfold before you
What I’ve strung together
The very first words
Of a lifelong love letter
*****
Chapter 3
“โทษทีนะ…”
เสียงทุ้มๆ ที่ตอนนี้คุ้นหูแล้วทำให้นิวท์เงยหน้าขึ้น…และก็ไม่ผิดจริงๆ เสียด้วย คนที่ยืนก้มตัวนิดๆ เพื่อมองเขาที่กำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่นั้นคือบาริสต้าหมายเลขหนึ่งของร้านหรือมินโฮนั่นเอง
นิวท์วางปากกาลง เงยหน้าขึ้นด้วยเพื่อที่จะได้คุยกันได้ถนัดๆ “ว่าไง…มีอะไรเหรอ?”
“คือ…” มินโฮยักไหล่บุ้ยใบ้ไปทางด้านหลังตัวเอง “มันหกโมงแล้วล่ะ…”
และนั่นเองที่ทำให้ชายหนุ่มผมทองเพิ่งตระหนักได้ว่าทำไมรอบตัวถึงเงียบขนาดนี้…ตัวร้านตอนนี้ไร้ผู้คนแล้วถ้าไม่นับเขา และเพราะวันนี้นิวท์เลือกนั่งด้านใน…ทำให้เห็นได้ชัดเจนเลยว่าโทมัสกำลังเริ่มเลื่อนเก้าอี้ตรงบริเวณหน้าร้านเพื่อทำความสะอาดพื้นแล้ว
“โอเคๆ” นิวท์รีบปิดปลอกปากกา ก่อนจะเริ่มต้นจัดกองข้าวของของตัวเองที่วางแผ่เต็มโต๊ะเพื่อเตรียมยัดมันใส่กระเป๋า “โทษทีนะ…”
มินโฮพูดตอบว่าไม่เป็นไร อดพินิจภาพตรงหน้าไม่ได้…ผิดกับทุกวันที่นิวท์จะมีเพียงสมุดโน้ตโมลสกินสีแดงสดเล่มเดียวติดมือเข้ามาในร้าน วันนี้ชายหนุ่มผมสีคาราเมลกลับมีหนังสือมากมายเกินสิบเล่มวางเป็นตั้งๆ อยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า หนังสือเหล่านี้เป็นทั้งวรรณคดีคลาสสิค นิยายอ่านเล่น ไปจนถึงหนังสือสารคดี…แต่ไม่ว่าประเภทจะแตกต่างกันอย่างไร ทุกเล่มก็มีสภาพเดียวกัน…ดูเก่าเก็บและเห็นได้ชัดว่าผ่านมือคนอ่านมาแล้วมากกว่าครั้งสองครั้ง
นั่นจึงทำให้แม้ว่าตอนนี้จะหยิบถ้วยมอคคาชิโนที่ว่างเปล่าของอีกฝ่ายขึ้นมาเตรียมเอาไปล้างแล้ว คุณเจ้าของร้านก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะยืนต่อเพื่อถาม “นี่นายแบกพวกนี้มาเพราะกะอ่านในวันเดียวเหรอ?”
“หา? อะไรเหรอ?” นิวท์เงยหน้าขึ้นมาจากการจัดเรียงแผ่นกระดาษสีขาวบนตักตัวเอง ก่อนจะหัวเราะออกมา “พวกนี้น่ะนะ? ไม่ๆ…โอย…ฉันจะอ่านหมดนี่ในวันเดียวได้ไง…”
เรียวปากบางแย้มยิ้ม ก่อนจะโบกๆ กองแผ่นกระดาษในมือ…ซึ่งมินโฮได้เห็นแล้วว่ามันคือแผงสติกเกอร์แบบเขียนลงไปได้สีขาวที่มีบาร์โค้ดพิมพ์อยู่
“เพื่อนฉันเขาเปิดห้องสมุดสาธารณะน่ะ แล้วนี่เขารับบริจาคหนังสือเพิ่มเติมอยู่” นิวท์อธิบาย “นี่ฉันเลยกะจะเอาหนังสือของตัวเองไปให้เขา แล้วไหนๆ ก็ไหนๆ…ก็ช่วยทำทะเบียนให้เขาด้วยเลยเนี่ย”
“อ๋อ…”
ชายหนุ่มผมดำเบื้องหน้าเขาผงกศีรษะเป็นเชิงเข้าใจแล้วผสมกับขอตัว แล้วร่างหนาก็เดินเอาถ้วยกาแฟเข้าไปที่ด้านหลังเคาเตอร์โดยไม่ได้พูดอะไรอีก ความเงียบที่ทิ้งให้นิวท์รู้สึกหงอยๆ อย่างบอกไม่ถูก
นึกว่าจะถามเพราะสนใจอยากรู้จริงๆ ซะอีก…
ความคิดแบบนี้ทำให้เขาแอบเขย่าตัวเองในหัวเพื่อเรียกสติ…เพราะมันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่มินโฮจะถามมาแค่ตามมารยาท ด้วยอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นแค่ลูกค้ากับเจ้าของร้านเท่านั้นเอง
แล้วก็เป็นลูกค้าที่โอ้เอ้จนเจ้าของร้านเขาปิดร้านไม่ได้ด้วย…
นิวท์พ่นลมหายใจอย่างโกรธตัวเองนิดๆ…เริ่มต้นยัดๆ กองหนังสือตั้งที่แปะสติกเกอร์ทะเบียนเรียบร้อยแล้วใส่ถุงผ้าใบใหญ่ และตอนที่ชั่งใจอยู่ว่าจะแยกมันกับพวกหนังสือที่ยังไม่ได้แปะสติกเกอร์อย่างไรดีนั้น…ก็มีเสียงดังขึ้นจากเหนือศีรษะอีกครั้ง
“…นิวท์”
เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้น พยายามยิ้ม “โทษทีๆ…ฉันจะเก็บเสร็จแล้วล่ะ—”
“อ๋อ…ไม่เป็นไรหรอก…” มินโฮพูด ช้าๆ และแผ่วค่อย “ฉันแค่จะถามว่า…ให้ฉันช่วยไหมล่ะ?”
นิวท์ชะงักไปเพราะอึ้งจริงๆ…ดวงตาโตที่กระพริบปริบๆ นั้นทำให้คนมองอยากขำออกมาเพราะเอ็นดูชอบกล
“จะเอางั้นเหรอ?” ชายหนุ่มผมสีคาราเมลถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “นายไม่ต้องเก็บร้านเหรอ?”
“ยังไงก็ปิดร้านแล้วนี่…ฉันจะออกจากที่นี่ตอนไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ” มินโฮยักไหล่ พยักเพยิดไปที่ตั้งหนังสือ “…ต้องทำยังไงบ้างล่ะ?”
เป็นเรื่องยากมากจริงๆ สำหรับนิวท์ในการห้ามรอยยิ้มของตัวเองให้ไม่แตะแต้มบนเรียวปากระหว่างที่อธิบาย…รอยยิ้มที่เขาเองก็ตอบไม่ได้ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร
หลังจากทวนลำดับซ้ำให้อีกฝ่ายฟังว่าเขาเข้าใจถูกไหม มินโฮก็เริ่มต้นแปะสติกเกอร์แล้วเขียนชื่อหนังสือลงไปบนพื้นที่ว่างเหนือแถบบาร์โค้ดได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร…การทำงานที่ดำเนินไปในความเงียบไร้บทสนทนาใด
ซึ่งก็น่าแปลกนัก…เพราะความเงียบระหว่างคนแปลกหน้าสองคนไม่ควรทำให้รู้สึกสบายใจได้แบบนี้เลย
หลังจากผ่านไปได้สักพัก ก็มีเสียงเรียกที่ทำลายความเงียบลง
“เฮ้ มินโฮ” โทมัสตะโกนมาจากอีกมุม “ถ้านายไม่รู้…ฉันกำลังเก็บร้านนะ”
นิวท์หยุดมือ ช้อนตามองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวข้างๆ แทนคำถามว่าจะให้ตนทำอย่างไร…แต่มินโฮไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ วงหน้าคร้ามแดดนั่นยังคงก้มเพื่อเขียนตัวอักษรต่ออย่างไม่สะดุด…พูดตอบไป สั้นๆ และง่ายๆ
“ฉันรู้อยู่แล้วล่ะโทมัสว่านายกำลังเก็บร้าน” นิวท์ไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดหรือเปล่า…แต่เหมือนมุมปากนั่นยกยิ้มกวนๆ นิดๆ “…เพราะนั่นคือสิ่งที่ฉันจ่ายค่าจ้างให้นายมาทำไงล่ะ”
แว่วเสียงโทมัสบ่นพึมพำหึ่งๆ ตามมาอีกนิด…และเพราะสังเกตถึงสีหน้าของคนทางนั้นไม่ได้ ชายหนุ่มผมสีคาราเมลเลยมองหน้าคนข้างตัวแทน…นึกสงสัยในใจว่าตนมาก่อความยุ่งยากอะไรหรือเปล่า
ซึ่งมินโฮก็รับรู้ได้ถึงสายตาของอีกฝ่าย…เขาเลยเงยหน้าขึ้น สบตากับดวงตาโตสีน้ำตาลเข้มนั่น…ยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ ตอนเอ่ยคำ
“ทุกอย่างโอเคดีน่า…หมอนั่นรู้อยู่แล้วว่าบาริสต้าที่ดีก็ต้องถูพื้นให้สะอาดเป็นด้วย”
นิวท์ส่ายหน้ากับข้ออ้างนี้ แต่ก็ระเบิดหัวเราะออกมาอยู่ดี
**
แน่นอนว่ามินโฮแกล้งโหดกับโทมัสแค่พอหอมปากหอมคอเท่านั้น…นั่นจึงทำให้สุดท้าย เขาก็เสนอกับนิวท์ว่าถ้าอีกฝ่ายคิดจะมาที่เดอะเมซอีกครั้งพรุ่งนี้…มันก็ไม่เป็นไรที่จะฝากหนังสือตั้งที่ยังลงทะเบียนไม่เสร็จเอาไว้ที่นี่ จะได้ไม่ต้องแบกไปแบกมาให้หนักเปล่าๆ
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าหนังสือหลายสิบเล่มจากเมื่อวานไม่ใช่ทั้งหมดที่นิวท์คิดจะบริจาค…เพราะชายหนุ่มผมสีคาราเมลก็มาปรากฏตัวที่คาเฟ่เดอะเมซในตอนบ่ายแก่ๆ ของวันรุ่งขึ้นด้วยหนังสือตั้งใหม่จำนวนเกือบเท่าเดิม
และเพราะในวันธรรมดาเช่นนี้ ลูกค้าจะน้อยลงแล้วตั้งแต่ช่วงหลังเที่ยง…มินโฮจึงไม่มีปัญหาอะไรเลยในการปลีกตัวมาช่วยนิวท์ลงทะเบียนหนังสืออีก ทุกอย่างเหมือนเมื่อวานไม่มีผิด…จะต่างไปก็แค่วันนี้ พวกเขาเปลี่ยนมานั่งกันที่โต๊ะโซนโซฟาแทนเก้าอี้ตัวเดี่ยวๆ เท่านั้นเอง
นั่นจึงทำให้ระดับความใกล้ระหว่างกันเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัวในแง่ของความรู้สึก…เสียงพลิกหนังสือเข้ากันอย่างประหลาดกับกลิ่นหอมหวานของวานิลลาจากมัคคิอาโตที่วันนี้เป็นเมนูที่นิวท์เลือกสั่ง
…ถ้วยที่แปด
หมายเลขอันดับนี้ทำให้ความสบายใจของมินโฮสะดุดลงอย่างไม่มีสาเหตุ…นำพาให้เขาแอบเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตน ชายหนุ่มผมสีคาราเมลกำลังทำหน้ายุ่งอยู่กับตัวเลขบาร์โค้ดและหนังสือในมือ…สีหน้ามู่ทู่ที่มินโฮก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ไม่ขัดตาเขาเลย สายตาไล่ต่อไปที่ข้าวของอื่นบนโต๊ะ…หยุดลงที่สมุดโมลสกินปกแดงสดใส เครื่องมือในการทำงานของอีกฝ่ายที่ย้ำเตือนถึงความจริงให้ได้นึกถึง
ถ้าครบสิบสี่ถ้วยเมื่อไหร่…นิวท์ก็คงไม่อยู่ตรงนี้อีกแล้วสินะ…
มินโฮเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมการตระหนักรู้นี้ทำให้ตนรู้สึกหน่วงๆ ชอบกล
“มีอะไรหรือเปล่า?”
นิวท์ถามเมื่อเห็นว่าคนข้างตัวนิ่งๆ ไป…ซึ่งเจ้าตัวก็กระพริบตานิดๆ ก่อนจะพูดเสียงไม่เป็นคำอย่างคนเหม่อที่โดนทัก
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก…” มินโฮพยายามทำเสียงสบายๆ…ยักไหล่นิดๆ “แค่…เห็นเล่มนี้แล้วคิดถึงอะไรนิดหน่อยน่ะ…”
ซึ่งเขาก็ไม่ได้โกหกอะไรด้วย…หนังสือในมือตอนนี้ – เกาะสมบัติ โดยโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน – เป็นอะไรที่เกี่ยวกับความทรงจำในวันวานอยู่ไม่ใช่น้อยเลย
“ตอนเด็กๆ ฉันชอบเรื่องนี้มากเลยล่ะ ถึงขั้นเก็บเงินค่าขนมซื้อเองเลย” มินโฮจำตัวเองในตอนนั้นได้ดี…เด็กซนๆ ที่มีเรื่องราวของการผจญภัยและท้องทะเลบนหน้ากระดาษเป็นเครื่องมือในการหลีกหนีจากความทึบทึมของเมืองใหญ่ “แต่มันหายไปตอนย้ายบ้านน่ะ…เล่มของฉันก็ปกเหมือนของนายนี่แหละ เลยคิดถึงนิดหน่อย”
นิวท์มองเงียบๆ…วงหน้าคร้ามแดดของมินโฮที่มักจะนิ่งสงบเหมือนหินผาอยู่เสมอตอนนี้ดูอ่อนลงอย่างประหลาด ปลายนิ้วกรีดแผ่นกระดาษของตัวเล่มอย่างถนอม…และนั่นเองที่ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจได้
“ถ้างั้นนายก็เก็บเล่มนี้ไว้เถอะ” นิวท์พูดอย่างตั้งใจ “ถือว่าฉันให้ก็แล้วกัน”
“เฮ้ ได้ไง…” มินโฮแย้ง ขมวดคิ้วอย่างไม่ยอม “ฉันแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ…นายจะบริจาคก็บริจาคไปสิ”
ชายหนุ่มผมดำขยับจะวางหนังสือในมือลง แต่อีกฝ่ายก็ไวกว่า…นิวท์เอื้อมมาคว้าไปแล้วเอนตัวมาเพื่อยัดมันใส่มือเขาอีกที ไม่ได้ยื้อยุดอะไร…แต่ก็แน่วแน่พอที่จะทำให้มินโฮต้องถือหนังสือเล่มที่ว่าไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้
“มันคือหนังสือของฉัน แล้วฉันก็จะให้นาย” ดวงตาสีน้ำตาลลึกล้ำจ้องตรงอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่ยอมเปลี่ยนใจ “ถ้านายจะไม่เอาก็ทิ้งไปละกัน…ก็แค่ของที่ฉันให้เองนี่นะ ไม่ได้มีค่าอะไรหรอก จะทิ้งก็ตามใจเลย”
มินโฮมองคนที่หน้าตาน่ารักผิดกับนิสัยดื้อรั้นแสบสันต์นี้อยู่นิ่งๆ สักพัก…ระยะเวลาที่ไม่ได้รู้เลยว่านานพอจะทำให้คนโดนมองหน้าร้อนได้ ก่อนที่จะพูดออกมา
“…นายนี่มันร้ายใช้ได้เลยนะ”
นิวท์ยิ้มซนๆ ตอบประโยคบอกเล่านี้ “…ฉันนับคำพูดแบบนี้เป็นคำชมนะ บอกไว้ก่อน”
สองประโยคนี้ถูกเอ่ยด้วยเสียงแผ่วค่อย แปลกประหลาดนักสำหรับการพูดคุยในร้านกาแฟอย่างนี้…ซึ่งน้ำหนักของเหตุผลก็ค่อยๆ ตกลงมาตามเสี้ยววินาทีที่ผันผ่าน นิวท์พบว่าตนได้เอนตัวเข้ามาหามินโฮตอนแย่งหนังสือกันมากเสียจนแค่กระซิบก็ได้ยิน และมินโฮก็พบว่าตอนนี้ระยะห่างระหว่างกันลดน้อยลงจนเขาสามารถได้กลิ่นหอมสะอาดจากเส้นผมสีคาราเมลนั่นเลยทีเดียว
ดวงตาสบประสาน…แล้วจู่ๆ ลมหายใจก็พลันติดขัดอย่างไม่อาจอธิบาย
“โอเค…โอเค…”
คุณเจ้าของร้านเป็นคนที่ได้สติก่อน…เขาค่อยๆ ขยับถอยออกเล็กน้อย เสพูดราวกับทุกอย่างปกติดี “…นายเล่นบลัฟซะแบบนี้ ฉันก็คงทำอะไรไม่ได้ล่ะนะ”
นิวท์พยายามยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ใช่เลย…นายไม่มีทางเลือกเลยล่ะ…”
ตอนนั้นเองที่ประตูร้านถูกเปิดออก…เสียงหัวเราะพูดคุยของกลุ่มสาวๆ ที่มีถุงช็อปปิ้งเต็มมือเติมเต็มบรรยากาศจนความเงียบเมื่อครู่กลายเป็นสิ่งที่เหมือนเรื่องโกหกไปเลย และไม่ต้องรอให้คนหลังเคาเตอร์เรียกด้วยซ้ำ…มินโฮรู้ได้เองแค่เพียงมองปราดเดียวว่าโทมัสจะต้องการความช่วยเหลืออย่างแน่นอนที่สุด
“งั้น…” เขาวางปากกาในมือลง “งั้นเดี๋ยวฉันไปรับออเดอร์ก่อนนะ…”
“เอาสิๆ” นิวท์รีบพยักหน้า “เดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการเอง…ขอบคุณมากนะที่ช่วยตั้งเยอะ”
มินโฮพยักหน้าแล้วก็ก้าวไปทางเคาเตอร์โดยไม่หันหลังกลับไปมองอีก…ดวงตายังคงจับจ้องแต่เพียงกาต้มและเหยือกผสมเท่านั้นแม้แต่ตอนที่เข้ามาอยู่ในโซนชงกาแฟและหันหลังให้กับตัวร้านแล้ว อธิบายไม่ได้ว่าทำไมจู่ๆ ตนก็รู้สึกว่าไม่สามารถมองสบกับดวงตาโตสีเข้มเหมือนลูกกวางคู่นั้นได้ขึ้นมาอย่างนี้
“ฉันเข้าใจนะมินโฮว่านายอยากให้นิวท์รีวิวร้านเราดีๆ” โทมัสแอบกระซิบกับเขา…คำล้อเลียนอันไม่คิดอะไร “แต่หลังๆ นี่ฉันว่านายเทคแคร์เขาแบบสุดๆ เลยนะ…ชอบเขาขึ้นมาหรือไง?”
มินโฮไม่ได้โต้สวนอะไร เพราะเขาเองก็หาคำตอบให้คำถามนี้ไม่ได้เหมือนกัน
tbc.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in