หลังจากแม่โพสต์เฟซบุ๊กแจ้งข่าวของยาย หลังจากเราบอกเพื่อนสนิทว่าให้ช่วยบอกเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ที่ควรจะได้รู้ เราก็ได้รับข้อความจากช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ จากคนรอบตัวที่รักและหวังดีต่อกันมากหลาย ๆ คน
ข้อความส่วนใหญ่เป็นการส่งความเป็นห่วง ขอให้สู้ ๆ และเข้มแข็ง เป็นกำลังใจให้ ขอให้เรายิ้ม ๆ ต่อไป แบบที่เป็นข้อความปกติที่ควรส่งให้กันในสถานการณ์แบบนี้
แต่สำหรับเรามันแปลกเหลือเกิน เพราะเราไม่รู้สึกว่าต้องสู้ ๆ กับการที่จะไม่มียายอีกต่อไป ไม่ได้รู้สึกว่ากำลังอ่อนแอ และไม่ได้รู้สึกว่าจะยิ้มต่อไปไม่ได้ และเราก็พยายามหาเหตุผลให้ตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไม
เพราะทำใจมาแล้ว เพราะยอมรับได้และเข้าใจโลกเข้าใจชีวิต
หรือเพราะยังไม่รู้สึกว่ายายไปไหนเลย
จนกระทั่งได้รับข้อความหนึ่งจากเพื่อนสนิทวัยมัธยมที่นับได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิต
เพราะเพื่อนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงมาหากันในช่วงนี้ไม่ได้แน่ ๆ เพื่อนส่งข้อความมาว่า
“เสียใจด้วยนะ ขอให้คุณยายไปสู่สุคติ”
นั่นเป็นข้อความแรกที่ทำให้เรารู้สึกอึ้งขึ้นมา
ยายต้องไปสู่สุคติเหรอ
ตั้งแต่ตีห้าเมื่อเช้า จนถึงเกือบห้าโมงเย็นตอนนี้ไม่เห็นได้คิดเลยว่ายายจะไปไหน
รู้สึกว่ายายหลับ และยายไปแล้ว ยายจะไม่กลับมาแล้ว แค่นั้นเอง
ไม่รู้สึกเลยว่ามีที่หลังจากที่นี้ให้ยายอยู่ ไม่รู้สึกเลยว่ายายต้องไปที่ใดที่หนึ่งรู้สึกเหมือนยายหายไป และสลายไปในความว่างเปล่า
และเมื่อญาติสนิทจากต่างจังหวัดเดินทางมาถึง พูดคุยกันเราถามไถ่ว่าญาติที่เราเรียกว่าป้านั้นจะไปนอนค้างที่บ้านเราหรือไม่ เพราะอยู่ใกล้วัดนี้กว่าบ้านในกรุงเทพฯ ของพี่ที่เป็นลูกสาวป้า
ป้าพูดทำนองว่าไม่กล้าไปหรอก เพราะยายเพิ่งไป
และป้าถามเราว่า จะกลัวยายไหม ถ้ายายมาหาจะว่ายังไง
เรางงไปยิ่งกว่าเดิม เพราะไม่เคยคิดเรื่องแบบนั้น ไม่เคยเลยจริง ๆ
ไม่เคยคิดว่ามียายอยู่อีกแล้วไม่ว่าในรูปแบบไหนยิ่งกว่าไม่เคยคิดว่ายายจะต้องไปสุคติหรือไปไหนเสียอีก
เราตอบป้าไปว่าไม่กลัวค่ะ คุยกันได้ พอคิดตามว่าถ้ายังมียายอยู่จริง ๆ คงอยากเจอด้วยซ้ำ ก็ทำไมเราถึงจะไม่อยากเจอยายกัน
แต่เราไม่มีความเชื่อแม้สักหนึ่งเปอร์เซ็นต์ว่าจะมียายอยู่ที่ใดที่หนึ่งในตอนนี้ โดยที่อาจจะไม่ใช่คำว่าไม่เชื่อด้วยซ้ำอีก แต่เป็นคำว่าไม่มีไอเดียนั้นอยู่ในหัวเลยสักนิด
แล้วเราก็ตกใจว่าทำไม
ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนที่โตมากับวัด เป็นเด็กแบบพุทธ ๆ ชอบเข้าวัดทำบุญ เวลากรวดน้ำก็อุทิศส่วนกุศลให้ทุกอย่าง บรรพบุรุษ เจ้ากรรมนายเวร
เราเรียนธรรมศึกษา อ่านแนวคิดเรื่องกรรมมาหลายแบบหลายวาระ รู้ดีว่าความเชื่อของทางพุทธคือพวกเราอยู่ในวัฏสงสาร เรามีการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งนั่นอาจจะแปลว่าเรามีชีวิตหลังความตายเพราะเรายังต้องไปชดใช้กรรม และยังต้องมาเกิดในชาติหน้าหากเราไม่ได้หลุดพ้นไปสู่นิพพาน (ซึ่งคนธรรมดาแบบเรา ๆ ในภพชาตินี้คงไม่มีวันไปถึงนิพพานอยู่แล้วแน่ ๆ )
แถมเรายังเป็นนักเรียนวรรณคดี อ่านไตรภูมิมาอย่างน้อยสามครั้งถ้วน เรารู้ดีว่าความเชื่อตามไตรภูมิคือนรก – สวรรค์ และความเชื่อแบบไตรภูมินี่แหละที่เป็นคติหลักในระบบความคิดคนไทย แบบที่เพื่อนเราบอกว่าให้ยายไปสุคติ แบบที่ป้าคิดว่ายายยังอยู่ที่บ้าน แบบที่ตีแผ่คำว่าเปรตที่เรามักจะพูดกันว่าทำบาปแบบไหนตายไปเป็นเปรต
และการเป็นนักเรียนวรรณคดีไทยยังทำให้เรารู้ว่าคนไทยเรา (ที่แปลว่าครอบครัวเรา บ้านเราเป็นหนึ่งในนั้น) นับถือศาสนาพุทธที่เป็น พุทธ – พราหมณ์– ผี (ซึ่งเป็นความเชื่อท้องถิ่นของคนในภูมิภาค) รวมกัน เพราะฉะนั้นเราก็โตมากับการเชื่อว่าโลกนี้มีผี ซึ่งคือวิญญาณของคนที่ตายแล้วที่ต้องรอรับผลบุญตามหลักคิดของศาสนาพุทธ และอะไรต่าง ๆ แบบที่สื่อไทยอย่างเช่นฟ้ามีตา บันทึกกรรม สัมผัสพิศวง ก็ผลิตซ้ำกันอยู่ตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่นั้น บ้านเรายังไหว้ตรุษจีนแบบไทย ๆ ตั้งแต่ยายยังเป็นคนจัดของไหว้เองจนยายทำไม่ไหวแล้วลุงเป็นคนจัดแทน โดยที่มีการไหว้บรรพบุรุษประกอบอยู่ในนั้นด้วย เราเปิดประตูบ้านให้ปู่ย่าตาทวดเข้ามาทานของไหว้กัน เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ ยายให้เราพับกระดาษเงินกระดาษทองไว้เผากระดาษด้วย
แถมบ้านเรายังมีเชงเม้ง ตอนเราเด็ก ๆ ที่ยายยังไปไหว เราไปไหว้เชงเม้งที่วัดญวน กาญจนบุรี ทุกปี เพราะญาติ ๆ ทางฝั่งยายทั้งหลายอยู่ในเจดีย์ที่นั่น เพราะทางฝั่งยายเรานี้มีเชื้อสายญวนมา
ต่อให้จะทบทวนทั้งความรู้และความเชื่อมากขนาดนี้ แต่เราก็ยังไม่เคยคิดเลยว่ายายไปไหน
ไม่คิดเลยว่ายายต้องไปอยู่ตรงไหน
ยายแค่หลับแบบจะไม่ตื่น หลับแบบที่จะหายไป
พวกเราจะไม่เจอยายอีก
จะผ่านไปกี่วัน กี่เดือน หรือคิดอีกกี่ที ก็ไม่รู้สึกจริง ๆ ว่าจะต้องมียายอยู่ที่ไหน
เรารู้แค่ว่า ต่อไปนี้ ไม่ได้มียายตัวจริงอยู่กับเราแล้ว และจะมียายอยู่แค่ไม่กี่ที่หนึ่งก็คงเป็นในรูปถ่าย
แต่นอกจากนั้น ก็คงเป็นในใจและในความทรงจำของพวกเราเท่านั้นเอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in