เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกถึงแม่nnmmrn
เราต้องใส่ชุดดำจริงๆ เหรอ
  • เราสามคน - เรา แม่ ลุง - ยืนเรียงกันอยู่ข้างเตียง ที่ยายนอนหลับนิ่งอยู่บนนั้น

    ลุงจับๆ ตัวยาย พูดๆ อะไรที่เราก็จำไม่ได้ แม่ก็ทำเหมือนกัน

    พวกเราร้องไห้ ไม่ได้ฟูมฟาย แต่ก็ร้องไห้

    ลุงเรียกเราเข้าไปกอด เราสามคนกอดกันร้องไห้แป๊บเดียวเท่านั้น พวกเราปาดน้ำตา สูดหายใจ และลำดับความคิดว่าจะต้องทำยังไงต่อไป


    โทร. บอกน้าแล้ว น้ากำลังมา

    โทร. เรียกรถพยาบาลแล้ว กำลังมาเหมือนกัน


    “อย่าให้น้ำตาโดนตัวแม่นะ” แม่เราบอกแบบนั้น เราเงียบ ไม่พูดอะไรสักคำ ไม่พูดอะไรกับยายด้วย เพราะถ้าเราเปิดปากพูด เราก็ต้องร้องไห้ ร้องมากกว่าเดิม

    เราอยากเข้าไปจุ๊บแก้มยาย เราควรได้จุ๊บแก้มยายอีกครั้ง แม้ว่าครั้งนี้ยายจะไม่รับรู้แล้วแต่เราก็อยากทำ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะถ้าเข้าไปจุ๊บ น้ำตาต้องเลอะแก้มยายแน่ๆ เราจะกลั้นน้ำตายังไง เราคิดในใจว่า “ใครมันเป็นคนต้นคิดว่าห้ามให้น้ำตาเลอะแม่วะ” คิดแบบนั้นแล้วเราก็อยากร้องไห้มากกว่าเดิม

    อันที่จริงเราไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ เราไม่คิดว่าการที่น้ำตาพวกเราโดนตัวแม่แล้วมันจะทำให้แม่เป็นทุกข์อะไรทั้งนั้น เรารู้สึกว่าแม่ไปก็คือไป เราร้องไห้ก็คือเราร้องไห้ ทุกอย่างเป็นเรื่องปกติทั้งหมด ต่อให้น้ำตาไม่เลอะยาย เราก็ยังร้องไห้กันอยู่ดี และเราก็ควรได้ร้องเท่าที่อยากร้อง แล้วก็ควรได้สัมผัสยายเท่าที่อยากสัมผัส แต่เราก็ไม่กล้าทำต่อหน้าแม่กับลุงหรอก

    แต่ในที่สุดเราก็ได้จุ๊บแก้มยาย หลังจากนั้นนาน จนฟ้าสว่าง จนพวกเราตัดสินใจออกจากห้องยายมานั่งข้างนอก เราก็แอบเดินเข้าไป แล้วจุ๊บแก้มยายแบบที่อยากทำที่สุด

    แก้มยายยังเหมือนเดิม แก้มที่เราจุ๊บมา 23 ปี เพียงแต่วันนี้ยายไม่รู้แล้วแค่นั้นเอง 


    น้าชายซึ่งเป็นลูกรักอันดับหนึ่งของยายมาถึง น้ากดวิทยุเปิดเพลงที่เราปิดไปแล้ว วิทยุเครื่องที่ยายฟังตอนนอนทุกคืน เพลงจาก USB ที่ลุงเลือกไว้ให้ยายฟัง น้าบอกว่า เปิดไว้เป็นเพื่อนแม่ แม่จะได้ไม่เหงา ใช่ พวกเราแค่รู้สึกว่าแม่หลับ แต่แม่ก็ยังอยู่ตรงนี้นี่นา ยังนอนอยู่เหมือนเดิม เหมือนตอนที่เรากลับบ้านมาเมื่อวาน  ลุงก็ยังไม่ได้ปิดเครื่องทำออกซิเจน ยังเปิดไว้เป็นเพื่อนแม่ เครื่องมือพวกนี้ อย่างน้อยก็ช่วยพยุงใจเราไว้นิดหน่อย ก่อนที่เราจะมีสิ่งที่ต้องจัดการอีกมากมายจนหัวใจนิ่งมากขึ้น

    น้าสะใภ้มาถึงทีหลัง 

    น้าเข้าไปกราบเท้ายาย บอกว่าหนูขอโทษที่เป็นลูกสะใภ้ที่ไม่ได้เรื่อง น้าร้องไห้ พูดว่ายังไม่ได้ขอโทษแม่เลย เราร้องไห้ตามอีกระลอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พลางย้อนคิดไปเหมือนกันว่าดีใจที่ไม่ได้มีเรื่องติดค้างต้องขอโทษแม่จนเสียใจ และคิดว่าน้าสะใภ้ก็ไม่ต้องเสียใจอะไรแล้ว ถึงวันนี้ยายคงปล่อยทุกอย่าง ไม่ติดค้างอะไรเลย

               

               ก่อนหน้านั้นรถพยาบาลมาถึงแล้ว พยาบาลเข้ามาดู ติดเครื่องวัดชีพจร และชีพจรยายเป็นเส้นตรง “คุณยายเสียชีวิตแล้วนะคะ” เขาขาน พวกเราพยักหน้ารับ ถามว่ายายมีประกันไหม พวกเราบอกว่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีภาระอะไรต้องจัดการทั้งนั้น มีแค่จัดการตัวยายไปตามที่ควรจะเป็น เราถามพยาบาลว่าต้องทำอย่างไรต่อ ต้องไปโรงพยาบาลไหม หรือทางโรงพยาบาลต้องออกเอกสารอะไรให้เราไหม ขั้นตอนต่อไปเป็นอย่างไร เพราะพวกเราไม่รู้อะไรเลย

               นางพยาบาลตอบว่า ถ้าญาติไม่ติดใจอะไร ก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาล โรงพยาบาลไม่มีเอกสารอะไรให้ ให้ดำเนินการโดยการแจ้งผู้ใหญ่บ้านต่อไป

               พวกเราเลิ่กลั่ก มองหน้ากัน “แล้วเราจะรู้จักผู้ใหญ่บ้านได้ยังไง” พวกเราอยู่ในหมู่บ้านจัดสรร ไม่เคยมีใครเข้ามาดูแลสารทุกข์สุกดิบนอกจากนิติบุคคลของหมู่บ้าน การเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านครั้งล่าสุดนั้นกี่ปีมาแล้วก็จำไม่ได้ เคยเลือกจริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้ นี่คงเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด

               แต่น้าชายบอกว่า ตอนที่คุณตาเสียเมื่อสิบกว่าปีก่อน คุณตาก็เสียในบ้านเขา และน้าชายทำแค่แจ้งตำรวจ แล้วนำใบแจ้งความจากตำรวจไปออกใบมรณบัตรที่อำเภอ พวกเราเลยถามนางพยาบาลว่าทำแบบนั้นได้หรือไม่ (เพราะเราไม่รู้จะไปตามหาผู้ใหญ่บ้านยังไง) นางพยาบาลไม่ตอบว่าได้หรือไม่ ไม่ตอบว่าควรเป็นแบบไหน ตอบแค่ “แจ้งผู้ใหญ่บ้านค่ะ” ก่อนรถฉุกเฉินจะกลับออกจากบ้านเราไป

               พวกเรางง ทุกคนงง และคิดไม่ทันว่าโลกมีนวัตกรรมที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ตให้เราหาข้อมูลว่าการแจ้งตายที่แท้จริงควรทำแบบไหน แต่ยึดมั่นในสิ่งที่เคยทำมาเมื่อสิบกว่าปีก่อนแบบนั้น เราแบ่งหน้าที่กัน ลุงจะออกไปที่วัด เพื่อติดต่อจองศาลาให้เรียบร้อย น้าชายจะออกไปสถานีตำรวจเพื่อจัดการแจ้งความ เรากับแม่อยู่เป็นเพื่อนยายที่บ้าน

  • วัดที่ลุงไปเป็นวัดที่บ้านเราสนิท ยายเป็นลูกศิษย์แถมยังสนิทกับเจ้าอาวาส ลุงกับน้าเองก็บวชที่นั่น เราเองก็ไหว้พระที่นั่นตั้งแต่เด็ก ลุงแจ้งกับเจ้าอาวาสโดยตรงว่าแม่เสียแล้ว และแน่นอนว่าเจ้าอาวาสรู้จักทั้งลุงและยายดี สั่งเปิดศาลา โดยไม่ต้องมีเอกสารอะไรมายืนยันสักใบ

    เราตกลงกันก่อนลุงจะไปว่าเราจะสวด 7 วัน เพราะถ้าสวดแค่ 3 วัน แขกจะมาหาเราไม่ทัน อันที่จริงก็ไม่ได้อยากให้ใครมามาก เพราะวัดที่เราจะพาแม่ไปอยู่ถึงในตัวเมืองสมุทรสาคร และไกลจากกรุงเทพฯ พอสมควร แต่เรากับแม่เห็นตรงกันว่า “ถ้าไม่ได้มาเขาจะเสียใจ”

    ยายมีลูกหลานเยอะ ทั้งเพื่อนลุง เพื่อนแม่ เพื่อนน้า ล้วนเป็นลูกหลานยายกันหมด ตั้งแต่เราจำความได้ ทุกปีในวันเกิดยาย บ้านเราจะมีงานเลี้ยง ที่เต็มไปด้วยเพื่อนลุง เพื่อนแม่ และเพื่อนน้า ที่จะมาไหว้ มาให้ของขวัญยาย มาพบปะเจอกันในวันเกิดยาย ซึ่งเป็นวันสำคัญ

    แม้กระทั่งตอนที่ยายเริ่มป่วย เดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น บ้านเราก็ยังมีงานวันเกิดยายอยู่ ลูกหลานทุกคนยังรักยายและมาหายายตลอด เพิ่งจะสองปีให้หลังนี้เอง ที่พวกเราทำให้วันเกิดยายเงียบลง ไม่ได้กินเลี้ยงกันจริงจังมากมาย แต่ก็ยังมีลุงๆ ป้าๆ แวะเวียนมาหายายไม่ได้ขาด

    เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคนมาหายายไม่ทัน เขาจะเสียใจมากๆ และช่วงนี้ยังติดวันหยุดยาว เสาร์ถึงอังคาร เราจึงขอเริ่มสวดวันนี้ซึ่งเป็นวันศุกร์เป็นวันแรก จนไปถึงวันพฤหัสบดีในสัปดาห์ถัดไป แล้วเผาวันเสาร์ เพราะวันศุกร์มีธรรมเนียมไม่เผาศพ และทุกอย่างลงตัวกำลังดี เพราะเมื่อเป็นวันเสาร์ ทุกคนจะมาร่วมงานได้โดยไม่ติดขัด

    เราต้องเริ่มจัดการสิ่งต่างๆ ต่อไปไม่หยุด หารูปยายไปอัดสำหรับตั้งหน้าศพ ลุงบอกว่า ยายสั่งไว้ รูปกับกล้วยไม้ แม่ถามว่า ที่เชียงใหม่ใช่ไหม จำได้ เขาเคยพูดไว้เหมือนกัน

    “ตอนนั้นไปเชียงใหม่กัน 4 คน ยาย พ่อ แม่ เราอยู่ในท้อง แล้วก็ขึ้นไปถ่ายรูปบนดอย ถ่ายกับกล้วยไม้เนี่ย ตอนอัดรูปมา แม่เขาพูดตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่า ถ้าแม่ตายให้ใช้รูปนี้นะ ยี่สิบกว่าปี เขายังสั่งเหมือนเดิมเลยนะเนี่ย” แม่เล่าแบบนั้น

    เมื่อได้รูปแล้ว น้าก็เอาออกไปอัดใส่กรอบ พร้อมกับบออกไปสถานีตำรวจ แม่บอกว่าไม่ให้เขียนชาตะ - มรณะ อะไรแบบนั้น ให้เขียนแค่วันที่ วันเกิดแม่ “5 เมษายน 2481 - 3 กรกฎาคม 2563” แค่นี้พอ น้าเห็นด้วย บอกว่า ใช่ ได้ ไม่เอาชาตะ-มรณะ ไม่เอากรอบขาวๆ แบบที่เค้าทำกัน เราทำให้แม่เราสวยๆ เก๋ๆ แค่นี้พอ

    พวกเราก็แหวกขนบเก่งเหมือนกัน


    แม่ชวนเราขึ้นไปอาบน้ำชั้นบนของบ้าน ตอนที่เข้าไปเลือกเสื้อผ้า แม่พูดว่า “เราต้องใส่ชุดดำจริงๆ เหรอ ไม่อยากใส่” เราตอบว่า “อืม”

    เราก็ไม่อยากใส่เหมือนกัน ไม่อยากจริงๆ ด้วย และในใจเราให้คำตอบตัวเองได้ทันที เพราะถ้าเราเริ่มใส่ชุดดำ มันยิ่งชัดเจนว่าแม่ไปแล้วจริงๆ แล้วก็เพิ่งตกผลึกได้ตอนนั้นว่า พวกเราอาจจะเชื่อ แต่ยังไม่อยากยอมรับกันเลย

    แล้วเราก็ไม่ได้ใส่ชุดดำ เราเลือกเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงอยู่บ้านโง่ๆ แม่ก็เหมือนกัน และยังไม่รู้ว่าเป็นตอนไหนที่เราจะยอมหยิบชุดดำมาใส่


  • พวกเราติดต่อกับพี่พยาบาลในโรงพยาบาลที่ยายรักษาที่เรารู้จัก ให้พี่ช่วยแนะนำเรื่องการมาฉีดยา (ฟอร์มาลีน) ให้ยาย และการเคลื่อนย้ายไปวัด พี่ติดต่อ connection ร้านโลงศพที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลให้ได้ทันที บริการของร้านคือเราซื้อโลงศพของร้าน แล้วร้านมีบริการเคลื่อนศพไปวัดให้พร้อมฉีดยาและทำพิธี

    ลุงที่ยังกลับมาไม่ถึงบ้านโทร.มาบอกว่า เจ้าอาวาสให้ฤกษ์มา บอกให้พาแม่ออกจากบ้านตอน 13.00 น. ให้บอกร้านแบบนั้น ยังไม่ต้องมาตอนนี้ ซึ่งเป็นเวลาเก้าโมงกว่า

    แต่ร้านโลงศพก็มา น่าจะเพราะออกจากร้านมาแล้ว ก็เลยเข้ามาเลย แต่เขาไม่มีปัญหาที่เราจะขอออกจากบ้าน 13.00 น. ตอนนี้ก็ฉีดยาและทำพิธีให้ก่อน แล้วประมาณเที่ยงครึ่ง จะกลับมารับอีกครั้ง


    พิธีที่เขาทำเปิดโลกเรามากๆ เริ่มจากเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ยาย ใส่ชุดที่เลือกเอาไว้สำหรับให้ยายใส่ไป และชุดที่เราเลือกกันเอาไว้ คือชุดที่ให้ยายใส่ตอนถ่ายรูปกับเรา ตอนเราใส่ชุดครุย เสื้อลูกไม้สีฟ้าตัวสวย และผ้าถุงสีน้ำเงินเข้ากัน พี่เขาบอกว่า ของที่อยู่ติดตัวยายก็ให้ติดตัวยายไปเลย ไม่ให้ถอดสักอย่าง เรา แม่ และน้าสะใภ้ เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ยายก่อน เป็นการพลิกตัวยายที่ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่ได้บอกยายว่าให้แม่ช่วยพลิกนะ ไม่ได้บอกว่าให้ยายเอามือจับราวขอบเตียงไว้นะ เรายังเอาสำลีมาเช็ดตัวยายให้สะอาดเหมือนเดิม แต่ไม่ได้แกล้งยายเหมือนที่ลุงชอบทำเวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ยาย เรายังค่อยๆ จับยายเบาๆ เหมือนที่เคยทำตอนยายยังรู้สึกตัว ต้องไม่ทำให้ยายเจ็บ แต่พี่จากร้านเขาช่วยพลิกตัวยายเต็มที่ จับยายพลิกไม่เบามือเหมือนยายเป็นหมอนข้าง พอรู้สึกตัว ก็รู้สึกว่านี่เป็นอีกเรื่องที่ต้องทำใจ

    เราเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ยายจนเสร็จ  แต่ยกยายเพื่อใส่เสื้อผ้าให้ไม่ไหว บังเอิญว่าลุงกลับมาถึงพอดี ลุงที่เป็นคนทำมาตลอดถึงได้ช่วยพี่เขาแต่งตัวให้ยาย

    ตอนที่พลิกตัวยายไปมา ก็มีน้ำสีน้ำตาลๆ ไหลออกมาจากปากยาย แม่เอาทิชชู่ไปซับไว้ พี่เขาจึงทำสิ่งที่เรารู้สึกว่าอยากเรียกมันว่า “ยัดนุ่น” ยาย

    พี่เขาเอาสำลียัดเข้าไปในปากและจมูกยาย เยอะๆ และแรงๆ คงเพราะต้องยัดให้แน่น เขาใช้อุปกรณ์เหมือนที่คีบยัดๆ เข้าไปจนยายหัวสั่นหัวคลอน ตัวโยน 

    น้าสะใภ้ทนดูไม่ได้จนต้องเดินออกจากห้องยาย เรารู้สึกว่ายายเหมือนตุ๊กตา แต่ลึกๆ ในใจก็คือความอึ้งๆ ช็อกๆ พร้อมกับคิดขึ้นมาอีกครั้งว่า นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำใจ และแม่ก็พูดติดตลกว่า “ถ้าแม่รู้สึกตัวคงบอก โห นี่ทำกับฉันขนาดนี้เลยนะ” เราว่าแม่คงต้องใช้ความพยายามทำใจมากไม่แพ้กัน


    หลังจากจัดการตัวยายเสร็จ พี่เขาก็ให้เราทั้งหมดออกมา แล้วก็ฉีดยาให้ยาย สักพักก็เรียกเข้าไปให้จุดธูปจุดอะไรตามลำดับที่เขาบอก

    เสร็จเรียบร้อย รอเวลาพี่เขามารับอีกครั้ง เพื่อจะพายายไปวัดด้วยกัน


    หลังจากนั้นเราก็คุยกันเรื่องการเตรียมงานต่อไป แม่ส่งกำหนดการให้พี่ที่บริษัทแม่ทำ Artwork ให้ เพื่อจะโพสต์แจ้งทุกคน เราไลน์ไปบอกเพื่อนสนิท เพราะไม่อยากโพสต์ให้เป็นเรื่องใหญ่ ด้วยความเหนื่อยกับการสื่อสาร รู้ดีว่าถ้าโพสต์จะต้องได้รับการติดต่อทางตรง ทางอ้อม ทางคอมเมนต์ หรืออะไรก็ตามมากมาย ที่เราคงไม่พร้อมจะรับในตอนนี้ 

    เราเริ่มคุยกันเรื่องอาหารในงานวันนี้ซึ่งเป็นการรดน้ำศพ คงทำอะไรไม่ได้มาก น่าจะต้องแจกขนม เราเสิร์ชเดี๋ยวนั้น เจอว่ามีร้าน snack box อยู่ไม่ไกล สามารถจัดส่งภายในวันที่สั่งได้ เราไลน์ไปติดต่อร้านทันที ให้ลุง แม่ น้า ช่วยเลือกขนม เราตกลงกันว่าสั่ง 70 กล่อง เพราะคนคงไม่ถึงร้อย แต่ก็น่าจะเกิน 50

    ตอนนั้นสิบโมง เราบอกร้านว่าขอให้มาส่งที่บ้านเราไม่เกินบ่ายโมงตรง แล้วก็เปลี่ยนใหม่ว่าขอเป็นเที่ยงครึ่ง ร้านรับรองว่าได้ พร้อมบริการจัดส่งฟรี

    ตอนเที่ยงครึ่งเราก็ได้ snack box 70 กล่องมาส่งถึงบ้าน พร้อมกับที่จะเริ่มพายายไปที่วัดพอดี

  • เราขึ้นรถตู้ของร้านโลงศพไปกับยาย พร้อมกับญาติอีกคนที่มีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้ ซึ่งเพิ่งมาถึงไม่นาน น้าชายขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านเพื่อไปเปลี่ยนชุดก่อน น้าสะใภ้ขับรถยนต์ของตัวเองไปกับแม่เรา เพราะแม่เราแพ้ควันธูป ขึ้นมากับยายด้วยไม่ไหว ญาติที่เป็นพี่ขับรถมาอีกคัน จึงต้องขับไปอีกคัน และลุงก็ขับรถตัวเอง

    เราถือกระถางธูปที่ปักธูปดอกใหญ่ไปกับยายตลอดทาง พี่สะใภ้โปรยกระดาษเงินกระดาษทองตั้งแต่ออกจากบ้านไปถึงวัด เข้าใจว่าเป็นการขอทางให้ยาย และพี่เขาบอกว่าให้คอยบอกทางยายไปตลอด บอกยายว่ากำลังออกจากบ้าน เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ขึ้นสะพาน ติดไฟแดง บอกให้ยายตามไปด้วยกัน

    แล้วก็ไปถึงวัด ต้องรอทุกคน ทั้งลุง น้า และพี่มาพร้อม ถึงจะช่วยกันยกยายลงไปนอนในศาลาได้ ตอนนั้นพ่อก็เคลียร์งานในกรุงเทพฯ แล้วตามมาถึงพอดีเหมือนกัน 

    ยายนอนอยู่กลางศาลา พี่มัคนายกจับยายให้อยู่ในท่าทางที่พอดี แต่บ่นว่าเส้นแข็งหมดแล้ว มือยายไม่ยอมแบออกมาในท่าทางที่พี่เขาอยากให้อยู่ แต่ในที่สุดพี่เขาก็จับมือยายยื่นออกมาในท่าที่พอใช้ได้

    เสร็จเรียบร้อย พวกเราก็ปล่อยให้ยายนอนอยู่แบบนั้น หันมาเตรียมสังฆทานที่จะต้องใช้ถวาย คิดภาพการจัดโต๊ะเก้าอี้ สำรวจห้องน้ำ ที่จอดรถ และอื่นๆ อีกมาก


    และใช่ ตอนนี้พวกเราทุกคนใส่ชุดดำแล้วจริงๆ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in