เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกถึงแม่nnmmrn
กัลยาณมิตร
  •     วันอังคารสิ้นเดือน เราลางานเพื่อไปทำบุญเข้าพรรษากับเพื่อนอีก 2 คน

        เราไปด้วยความสดใส แม้เวลาอาบน้ำจะคิดเรื่องยายแล้วแอบร้องไห้อยู่บางที

        พวกเรา 3 คน ทำบุญกันที่วัดโมลีฯ เรานัดเพื่อนอีกคนไว้หลังจากนี้ นัดกันไว้นานแล้ว ก่อนจะเกิดเรื่องราวเหล่านั้น อันที่จริงยังแอบคิดเลยว่า ถ้าแม่เห็นว่าไปเที่ยวกับเพื่อน ลงรูปเฮฮา แม่จะว่าเอาไหมเนี่ย แต่ก็คิดตอบตัวเองเหมือนกันว่า ไม่หรอก เพราะยังไงเราก็ต้องใช้ชีวิตของเราเองเหมือนกัน ต้องมีชีวิตปกติแบบที่เราสมควรจะมี แล้วตอนนี้เราก็ยังทำอะไรไม่ได้ เครื่องออกซิเจนยังไม่มาส่ง ยายยังไม่ได้กลับบ้าน ที่โรงพยาบาลก็อยู่ได้แค่ไม่กี่คน เพราะฉะนั้นใช้ชีวิตของตัวเองไปนั่นแหละ คงจะถูกต้องที่สุดแล้ว

        แผนในวันนี้คือ หลังจากทำบุญ พวกเราต้องไปรับเทียนพรรษาที่ร้านสังฆภัณฑ์แถวเสาชิงช้า แต่นัดเวลาไว้ประมาณ 11 โมง แล้วหลังจากนั้นค่อยไปสยามเพื่อเจอเพื่อนอีกคนหนึ่งต่อ แต่ทำบุญเสร็จแล้วยังไม่ถึงเวลานัดของทุกอย่าง เราจึงหาที่ไปเดินเที่ยวแถวนั้นกัน ปกติพวกเราก็ชอบเดินไปวัดกัลยาฯ กันอยู่แล้ว และวันนั้นเพื่อนมีรถขับ รวมถึงเวลาเหลือเยอะ เราจึงขับรถไปจอดที่วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร และได้โอกาสเดินไปวัดซางตาครู้ส และเข้าไปในชุมชนกุฎีจีนกันด้วย

    เราเดินซึมซับบรรยากาศชุมชน เป็นการเดินเที่ยวแบบที่พวกเราชอบ แดดร้อนไปหน่อย แต่ทุกอย่างกำลังดี เราผลัดกันถ่ายรูปให้เพื่อน หลังจากหยุดอยู่บ้านเพื่อหยุดโรค ไม่ได้ออกมาทำอะไรแบบนี้กันมานานพอควร เพื่อนเลือกมุมให้เรา บอกว่าวันนี้ได้รูปอวดเสื้อใหม่แล้ว จะมีอะไรรู้ใจไปกว่านี้

    เราเข้าไปในพิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน เดินขึ้นไปดูโน่นนี่ แม้ว่าจะเหนื่อยกว่าปกติจากสภาพร่างกาย แต่ก็เป็นบรรยากาศการเดินเที่ยวกับเพื่อนแบบที่คิดถึงและโหยหามากๆ


    ขณะอยู่บนชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ พ่อก็โทรมา บอกว่า “พ่อกับแม่กำลังจะไปโรงพยาบาล จะไปด้วยกันไหม” เราเงียบไปนิด ตอบว่า “คือ...ไปรับกลับเหรอ” เพราะก่อนหน้านี้ในไลน์กลุ่มครอบครัวได้คุยกัน มีความเคลื่อนไหวว่าเครื่องทำออกซิเจนจะมาส่งแล้ว เดี๋ยวยายคงออกจากโรงพยาบาลได้ประมาณวันอังคารหรือวันพุธ

    เราถามออกไปแบบนั้น แม้จะรู้ดีว่า การรับยายกลับบ้าน ไม่ได้ต้องการเรา

    “ไม่ใช่สิ ก็น่าจะอาการไม่ค่อยดี” พ่อตอบ

    “เหรอ…” ในสมองเราประมวลผล ปัญหาคือนัดหลังจากนี้ เพื่อนที่นัดเอาไว้ตั้งนานแล้ว คนที่เราไม่อยากจะเท ไม่อยากจะยกเลิกนัด แถมไม่กล้าบอกทุกคนว่าสถานการณ์ตอนนี้คืออะไร เป็นยังไง เพราะไม่ได้บอกตั้งแต่ต้น รวมทั้งไม่กล้าจะพูดออกมาตอนนี้ด้วย ความกลัวทำให้ทุกอย่างยากขึ้นและยากขึ้นไปหมด

    “ตอนนี้อยู่กุฎีจีน เดี๋ยวจะต้องไปเสาชิงช้า” เราบอกพ่อ บอกแค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าต้องตอบยังไงกับคำถาม จะไปด้วยไหม เพราะถ้ายายอาการไม่ดีจริงๆ ยังไงก็ต้องไปไม่ใช่เหรอ

    “แม่กำลังถามลุงว่าซีเรียสขนาดที่ต้องให้ไปด้วยไหม ตอนนี้พ่อกับแม่ยังอยู่ออฟฟิศกัน เดี๋ยวบอกอีกที” พ่อพูดแค่นั้น แล้วเราก็วางสายกันไป


    เราคิดอะไรไม่ออก ไลน์ไปหาเพื่อนเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ตั้งแต่ต้น

    “พ่อโทรมา บอกว่ากำลังจะไปโรงบาลกัน แบบว่า น่าจะไม่ดี”

    “ตอนนี้อยู่กุฎีจีน กับสองคน อีกคนกำลังออกจากบ้าน ยังไม่ได้บอกใครเลย”

    “แม่กำลังจะถามลุงอีกทีว่ายังไง (ตอนนี้ยังไม่ได้บอกใครอยู่ดี) ควรบอกอีกคนก่อนเลยรึเปล่า ให้กลับเข้าบ้านไป เผื่อเจอไม่ได้แล้ว แง”

    เราพิมพ์รัว ด้วยใจที่กลัวทุกอย่าง ในนาทีนั้นมันยากไปหน่อยจริงๆ

    ไม่นานเลย เพื่อนก็ตอบกลับมา

    “บอกก่อนมั้ย ยังไงก็ต้องไปเยี่ยมรึเปล่า ไม่ว่าจะขั้นไหน”

    และบางทีเราก็แค่ต้องการความมั่นใจจากใครสักคนให้กล้าทำอะไรสักอย่างที่รู้ว่าต้องทำอยู่แล้วนั่นแหละ


    เราเดินหลบมุมออกจากเพื่อนสองคน แอบโทรหาเพื่อนคนที่สาม พูดออกไปตรงๆ เสียงเบาๆ กล้าๆ กลัวๆ

    “พ่อโทรมา บอกว่าต้องไปโรง’บาล เหมือนยายไม่ค่อยดี เขาเข้าโรงบาลตั้งแต่วันก่อนแล้ว คือ อาจจะต้องไปโรง’บาลนะ” 

    เพื่อนตอบ “เหรอ” เสียงเบา จำได้ไม่แม่นนักว่าเราสองคนมีใครพูดอะไรกันอีก แต่จำได้ว่าเพื่อนบอกว่า งั้นไปโรง’บาลไหม เพื่อนมีหลายอย่างที่ต้องออกมาทำอยู่แล้ว เราขอโทษขอโพยไปหลายต่อหลายครั้ง เพราะเข้าใจความรู้สึกของคนโดนเทนัดกลางทางเป็นอย่างดี แต่ครั้งนี้ ต่อให้จะต้องเลือกอีกกี่ที เราก็คงต้องเลือกไปโรงพยาบาล

    “บอกแล้ว ต่อไปก็คืออีกสองคนตรงหน้าตอนนี้” หลังจากวางสาย เราก็พิมพ์ไลน์ไปหาเพื่อนคนเดิมอีกครั้ง


    เราเดินกลับเข้ามาหาเพื่อน ซึ่งพากันไปซื้อน้ำ ซื้อขนม ระหว่างเราแอบไปคุยโทรศัพท์ เพื่อนกลับมาพร้อมโค้กใส่น้ำแข็งวางตรงหน้า พร้อมบอกว่า “ซื้อมา ลืมไปเลยว่ากินได้ไหม” เราตอบขอบคุณออกไปด้วยสมองงงๆ ดูดโค้ก กดมือถือพิมพ์ๆ ไม่รู้เรื่องเลยว่าเพื่อนคุยอะไรกัน

    “บอกเลย แล้วต้องกลับเองเหรอ” เพื่อนในไลน์ตอบข้อความก่อนหน้า เราอ่าน แล้วเงยหน้าขึ้นมา พยายามทำทั้งสีหน้าและน้ำเสียงให้ดูปกติ พูดเรียบๆ ว่า “พ่อโทรมาเรียก ให้ไปหายายที่โรง’บาล” เพื่อนถามกันว่าเป็นอะไร เราพยายามค้นหาคำตอบในหัว จนตอบออกไปว่า “ครั้งล่าสุดที่เข้านี่เขาก็ ปอดติดเชื้อ อะไรแบบนี้” เพื่อนตอบว่า “อ่อ เออ เข้าใจเลย แต่น่าจะโอเคมั้ง ถ้าเป็นหมอที่เคยรักษาอยู่แล้ว เขาทำได้นะ”  เราตอบว่า “เหรอ” แบบไม่รู้จะตอบอะไร จนพูดต่อว่า “แต่ก็น่าจะซีเรียสแหละ ถ้าไม่ซีเรียสเขาก็คงไม่เรียกไปหรอก” เพื่อนพยักหน้าเข้าอกเข้าใจ

    “แล้วบอกอีกคนหรือยัง” เพื่อนตรงหน้าถามถึงเพื่อนที่นัดกันต่อจากนี้ “บอกแล้ว ฝากไปเจอแทนหน่อย ฝากด้วย” เราพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจะร้องไห้ที่เทนัดเพื่อนแบบสายฟ้าฟาด แต่เพื่อนที่อยู่ตรงหน้าก็ตอบออกมาเหมือนเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดในโลกว่า “สบายมาก ง่ายมาก ไม่เห็นมีอะไรยากเลย” 

    ถ้าไม่ใช่คนพวกนี้ ใครจะแก้ปัญหาให้กันขนาดนี้

    นอกจากนั้นเพื่อนยังหาทางให้ต่อ ว่าพ่อจะมารับที่ไหน จะไปส่งเราตรงไหนได้บ้าง เราจะรอพ่อที่ไหนถึงจะไม่ร้อน คิดให้ทุกอย่าง และทำให้ทุกอย่าง


    พวกเราเดินกลับมาขึ้นรถที่วัดกัลยาณมิตร เพื่อนขับไปถึงสี่กั๊กเสาชิงช้า แถวร้านที่มารับเทียนพรรษา ส่งคนหนึ่งลงไว้ที่ร้านเทียน แล้ววนไปส่งเราในจุดที่เราจะไม่ร้อน และพ่อจะมารับ หลังจากนั้นยังไปหาเพื่อนอีกคนแทนเราที่นัดไว้ ให้เพื่อนออกมาไม่เสียเที่ยว

    ถ้าไม่ใช่สองคนนี้ วันนี้จะเป็นยังไง มันจะยากกว่านี้อีกสักแค่ไหน

    ในช่วงเวลาแบบนี้ การมีกัลยาณมิตรนั้นดีจริงๆ


    อีกคนในไลน์ก็ด้วย

    หลังจากบอกทุกคนที่ควรบอกแล้วว่าต้องกลับ ก็คอยถามอัปเดตตลอด ตกลงกลับยังไง ที่บ้านอัปเดตอาการยังไงบ้างไหม และคอยให้กำลังใจ บอกให้สู้อยู่ตลอดเวลา

    เราบอกเพื่อนตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่ายายเป็นมะเร็ง เราบอกเขาด้วยคำว่า “จะทำยังไงดี” ที่ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆ เราได้บอกสิ่งที่ยายเป็น สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เรารู้สึก บอกเรื่อยๆ มาตลอดหลายวัน และนี่คือคนที่เราเลือกให้เป็นคนฟังในวันที่เราอยากพูดกับใครสักคนเพื่อให้รู้เท่าทันความคิดของตัวเอง

    เรารู้สึกว่านี่คือโชคดีที่สุดอีกข้อหนึ่งของชีวิต การมีกัลยาณมิตรมีคุณค่าแบบนี้ เรานึกย้อนไปว่าถ้าในวันนั้นไม่ได้มีคนคนนี้เป็นเพื่อน ก็ไม่รู้ว่าจะคิดนานแค่ไหนว่าจะต้องบอกเรื่องยายกับใครเป็นคนแรกในช่วงเวลาที่เราไม่ได้อยากเก็บไว้คนเดียว เราจะเลือกกดเข้าไปในแชทของใครเพื่อพิมพ์ประโยคแบบนั้นออกไป ใครที่จะเข้าอกเข้าใจ และซัพพอร์ตหัวใจกันได้แบบพอดีๆ

    และเขาทำได้ทุกอย่าง


    ในช่วงเวลาแบบนี้ การมีกัลยาณมิตรนั้นดีจริงๆ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in