เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกถึงแม่nnmmrn
ทบทวน
  •        วันอาทิตย์เรากลับเข้าเมืองกับพ่อแม่ตามปกติ เพื่อไปทำงานในวันจันทร์ ตลอดทางบนรถเราคิดว่า “ไม่เห็นจะรู้สึกว่ามันจริงเลย” อยู่ตลอด เหมือนกันกับแม่เรา ต่างกันแค่แม่พูดออกมา พูดบ่อยๆ พูดซ้ำๆ อาจจะเพื่อทบทวนตัวเอง เพราะต้องการคำยืนยัน หรือแค่เพราะไม่รู้จะทำอะไรได้ดีกว่านั้น

        แม่พูดซ้ำๆ ว่า ถูกแล้วเนอะที่เราไม่รักษา พูดซ้ำๆ ว่า แม่เป็นมะเร็งได้ยังไงนะ พูดซ้ำๆ ว่า ถ้ารักษาก็เรื่องใหญ่ เขาเจ็บโดยใช่เหตุเนอะ พูดซ้ำๆ ว่า แม่ไม่เห็นเหมือนคนเป็นมะเร็งเลย

        แต่สำหรับเรา อาจจะไม่ได้รู้สึกว่ามันจริงยิ่งกว่าแม่อีก ไม่รู้สึกว่าจริงจนไม่รู้ว่าต้องรู้สึกยังไง ไม่ได้เศร้า ไม่ได้กังวล ยิ่งเห็นยายยังเหมือนเดิมมากขนาดนั้น ยังสดใส คุยกันได้ แค่เหนื่อยกว่าเดิมหน่อย ยิ่งไม่เศร้า ไม่คิดมาก แล้วพอเป็นอย่างนั้นก็เลยย้อนคิดว่า หรือเราไม่ได้รู้สึกว่ามันจริง วนไปวนมาอยู่แบบนั้น

        จนคำถามถัดมาคือ แล้วเมื่อไหร่เราถึงจะรู้สึกว่ามันจริงมากขึ้น

        ต้องรอให้เขาเจ็บมากกว่านี้ เป็นหนักกว่านี้ หรือว่าอะไร เราถึงจะรู้สึกว่ามันจริงมากขึ้นกันล่ะ

        แล้วพอถึงวันนั้น มันจะสายเกินไปไหม

        ถ้าวันที่เรารู้สึกว่ามันจริงมากขึ้น คือวันที่เขาอาจจะเกือบไม่ไหวแล้ว มันจะสายเกินไปไหมที่เรายอมรับมันตอนนั้น รับรู้ถึงมันเอาตอนนั้น

        หรือจริงๆ แล้วทั้งหมดที่เรากำลังคิดอยู่ ก็เพราะว่ามันจริงมากขึ้นทุกวินาที


        เราคิดไม่ออกว่าอาการของยายต่อไปจะเป็นยังไง แม้ว่าคุณตาของเราจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง แต่ตอนนั้นเราก็เด็กมาก เราไม่เคยอยู่กับคุณตา เราไม่เคยใกล้ชิดผู้ป่วยมะเร็ง เราเคยรับแต่ประสบการณ์ชั้นสองจากการอ่านหนังสือ เขาว่าผู้ป่วยมะเร็งจะเจ็บ จะปวด แต่ยายก็ไม่เคยเห็นจะเจ็บจะปวดเพราะมะเร็ง 

    เรานึกถึงโพสต์ของรุ่นพี่คณะถึงคุณพ่ออีกครั้ง พี่เคยเขียนว่า โรคของเขาไม่มีคำว่าไม่เหนื่อย มีแต่จะเหนื่อยมากหรือเหนื่อยน้อยเท่านั้น เรานึกออกว่าพี่เคยลงรูปคุณพ่อใช้วิธีเขียนสื่อสารแทนพูด เพราะพูดไม่ไหว แล้วก็คิดว่าถ้าวันนั้นของยายมาถึงจะทำยังไง ยายที่คุยเก่งที่สุดในโลก ยายที่ชอบถาม ชอบเล่า ชอบคุยกันมาโดยตลอด แล้วยายก็คงไม่มีแรงเขียนอย่างคุณพ่อพี่ด้วย เพราะมือยายไม่มีแรงมาก่อนปอดจะไม่มีแรงตั้งนานแล้ว

        แต่จะว่าไป สัปดาห์ก่อน ตอนเรากลับบ้าน ยายเพิ่งจะได้ของเล่นใหม่จากลุง เป็นหนังยางร้อยยาว (เหมือนเวลาเล่นกระโดดยาง) เอาไว้ดึง ยกขึ้นยกลง ฝึกกล้ามเนื้อมือกล้ามเนื้อแขน แล้วยายก็ยังยกแบบมีแรงมากๆ อยู่เลย อยากให้ยายมีแรงมากขึ้นทุกวัน ไม่ได้อยากให้เขามีแรงน้อยลงทุกวันเลย

        เมื่อวานนี้ยายก็เพิ่งจะยกมือโชว์ ว่าตอนเข้าไปตรวจอะไรสักอย่าง หมอให้ยกมือสองข้างเหนือหัว แต่ยายยกได้แค่นี้ แล้วก็ยกให้ดู แบบมือลอยๆ อยู่บนอากาศ แล้วเราก็ยิ้ม ก็หัวเราะ ก็ขำให้กัน แม้ว่ายายจะไม่มีแรงหัวเราะ

        แล้วยายจะเหนื่อย จะหมดแรงได้ยังไง

       

        เราทบทวนกับตัวเองเยอะมากๆ แบบไม่ได้พูดกับใคร เราอยากเขียนบล็อกตั้งแต่วันนั้น แต่พอเริ่มต้นจะเขียนมันก็ไม่กล้าเอาอะไรออกมาทั้งนั้น อาจเป็นเพราะมันจะชัดขึ้นทุกคำที่เราเขียน มันจะจริงขึ้นทุกครั้งที่เราคิด เรารู้สึกเหมือนตัวเองไม่คิดมาก แต่เราก็คิดมาก จนในที่สุดเราก็ตัดสินใจออกไปพูดกับใครบางคน

    การพูดให้คนอื่นฟัง ทำให้เราได้เรียบเรียงความคิดตัวเองจริงๆ เราจำไม่ได้ว่าวันนั้นพูดอะไรออกไปบ้าง แต่ประโยคที่จำแม่นที่สุดประโยคหนึ่งก็คือ “นึกไม่ออกว่ามันจะไปจบตรงไหน คือเขาจะเป็นยังไงต่อ ตอนนี้เขาหายใจเองไม่ได้ ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจตลอด เราก็ใส่อีเครื่องนั้น แล้วให้เขาอยู่ตลอดไปไม่ได้เหรอ” 

    นั่นเป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดในหัวมาก่อน จนได้พูดออกมา และมันคงจะออกมาจากใจเราเองจริงๆ

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in