เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกถึงแม่nnmmrn
วันที่รู้ว่ายายเป็นมะเร็ง
  •         ยายอายุ 82

            ยายมีโรคประจำตัวมากมาย เบาหวาน ความดัน เรารู้ว่ายายเป็นโรคพวกนี้มาตั้งแต่จำความได้

            ราวๆ 5 ปีก่อน ช่วงเราเรียนอยู่ม.6 จำได้ว่ายายเข้า ICU จนเป็นผลทำให้ติดเตียงมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะเส้นเลือดในสมองตีบ ทำให้ไม่สามารถเดินได้ และพอไม่ได้เดินไปช่วงหนึ่งนั้น ยายก็ไม่กลับมาเดินอีกแล้ว นอกจากนี้หมอยังตรวจเจอโรค SLE หรือแพ้ภูมิตัวเอง ที่หมอบอกว่าส่วนใหญ่จะไม่มาเป็นเอาตอนอายุเท่านี้ แต่หมอก็ให้ยา รักษาตามอาการเรื่อยมา ยายห้ามโดนแดด เพราะรับยาเสตียรอยด์ ต้องกายภาพ จะได้มีแรง (แต่ก็ทำอยู่ช่วงเดียว) พอเริ่มกลืนอาหารไม่ได้ คือเมื่อกลืนแล้วจะสำลักตลอด ก็ต้องเปลี่ยนมาให้อาหารทางสายยาง ให้ยายทานข้าวเองไม่ได้อีกแล้ว เหลือแต่ให้กินโอวัลตินเย็นทุกวัน (ฉันไม่รู้ว่าหมออนุญาตไหม แต่ลุง-ลูกชายคนโตของยาย ซึ่งเป็นผู้ดูแลยายอย่างเต็มรูปแบบมาตลอด ให้ยายกินทุกวัน เพราะยายอยากกิน และยายจะได้รับรสอาหารบ้าง)

    ตั้งแต่เริ่มป่วยติดเตียง ยายก็มีความเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่เรื่อยๆ จนแม่เลือกที่จะย้ายจากการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนมาเป็นโรงพยาบาลรัฐ อาการเจ็บป่วยของยายก็จะคล้ายๆ เดิม คือยายจะเริ่มเหนื่อย คุยไม่ไหว ออกซิเจนต่ำ พอเข้าโรงพยาบาลก็จะพบว่ามีอาการติดเชื้อ อาจจะเป็นในปัสสาวะ หรือในที่อื่นๆ ที่ฉันก็ไม่ค่อยรู้ ไม่ค่อยเข้าใจ การรักษาก็คือให้ยาฆ่าเชื้อ นอนโรงพยาบาลสักสัปดาห์ ให้ยาฆ่าเชื้อจนครบโดส ยายดีขึ้น ก็กลับบ้านเหมือนเดิม

    แล้วอีกประมาณสามเดือน ยายก็จะเริ่มมีอาการเหมือนเดิม ติดเชื้อเหมือนเดิม เข้าโรงพยาบาลเหมือนเดิม หายเหมือนเดิม กลับบ้านเหมือนเดิม

    ประมาณ 5 เดือนก่อน ยายก็เข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง ครั้งนี้หมอให้โรคมาเพิ่ม คือโรคหอบหืด เป็นโรคที่สมเหตุสมผลที่สุดที่เราฟังมา เพราะอันที่จริงเราก็เคยคิดว่ายายไอเก่งเกินไปหน่อย เพราะยายไอตลอด ไอเหมือนคนเป็นหวัดที่มีอาการไอ (แต่ไม่มีอาการอื่น) ทุกวัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ อาจจะตั้งแต่เริ่มติดเตียงด้วยซ้ำ แต่เราคิดไปเองว่าคงเป็นกลไกทางร่างกาย เพราะตอนนั้นที่เข้า ICU ยายโดนดูดเสมหะ ประกอบกับที่ยายสำลักเก่ง กลืนอาหารไม่ได้ และเวลาดูดน้ำอะไรก็สำลัก ไอเยอะๆ ทุกครั้ง แต่นั่นแหละ เราคิดว่าเพราะการทำงานของอวัยวะข้างในมันไม่ค่อยสัมพันธ์กันแล้ว พวกหลอดลม หลอดอาหารอะไรต่างๆ ทำให้ยายไอเก่งสำลักเก่งแบบนี้

     ครั้งนี้ยายก็เข้าโรงพยาบาลเหมือนเดิม ด้วยอาการคล้ายๆ เดิม ไม่มีแรง คุยไม่ไหว ออกซิเจนต่ำ ลุงเรียกรถฉุกเฉินมารับ พายายไปโรงพยาบาล และคอยรายงานผ่านไลน์กรุ๊ป ให้แม่ น้า และเรา ที่ต่างก็ทำงานอยู่ได้รับรู้พร้อมๆ กัน

    ลุงบอกว่า หมอพ่นยาดูอาการ และขอเช็กหัวใจ เพราะอาการแน่นหน้าอกค่อนข้างน่าเป็นห่วง วันถัดมา ลุงรายงานว่า ยายมีน้ำในปอด ต้องเจาะปอดเอาน้ำไปตรวจ หัวใจทำงานผิดปกติเพราะปอด ส่วนหมอที่มาตรวจดูไม่มั่นใจ โทรปรึกษาหมอเจ้าของไข้เป็นชั่วโมง แต่หมอเจ้าของไข้จะเข้ามาดูได้วันรุ่งขึ้น

    วันถัดมาน้าเป็นคนรับหน้าที่เปลี่ยนเวร ให้ลุงได้กลับไปเก็บข้าวของที่บ้าน น้าบอกว่าหมออีกคนขอเจาะปอดอีกครั้ง เพราะที่เจาะไปครั้งก่อนหน้านี้ตรวจไม่ครบ น่าจะตรวจวัณโรคด้วย แต่ไม่ได้ตรวจ

    ยายจึงโดนเจาะปอดอีกครั้ง ลุงบอกว่าเจาะลึกเข้าไปประมาณ 10 เซนติเมตร ได้น้ำออกมาเกือบๆ 500 ซีซี ลุงพิมพ์เสริมในแชทว่า ใช้วิธีชวนคุย ถามหมอว่า เจาะปอดแถมทำนมไหม หมอหัวเราะ แม่ (ยาย)เลยหัวเราะด้วย เลยได้โอกาสเจาะตอนเผลอ เพราะยังเจ็บจากแผลเก่า ไม่อยากเจาะซ้ำ

    วันถัดมา แม่เดินมาบอกเรากับพ่อ ว่าลุงแชทแยกมาบอกว่า ที่เจาะปอดยาย หมอขอตรวจมะเร็งปอดนะ แววตาและน้ำเสียงแม่ซีเรียส แม้จะพูดสบายๆ แต่เรื่องแบบนั้นมันปิดกันไม่ได้ เราเองต่างหากที่ไม่ได้คิดมากของจริง ตอบแม่ไปโดยอัตโนมัติเลยว่า “แม่จะเป็นมะเร็งได้ไง” ด้วยเสียงไม่คิดมากสุดชีวิต ไม่เคยคิดเลยว่ายายจะเป็นมะเร็งได้ยังไง ถึงยายจะไม่แข็งแรง ป่วยติดเตียง แต่ยายสดใสมาตลอด เราคุยกัน หัวเราะกัน เล่นกันมาตลอด ยายไม่เคยเจ็บ ไม่เคยปวด ไม่เห็นจะเหมือนผู้ป่วยมะเร็งที่เราเคยรู้จัก

    แล้วยายจะเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ จะเป็นมะเร็งได้ยังไง

    แต่วันถัดมา แม่ก็แอบเข้าไปรับโทรศัพท์ลุงในห้องนอน แล้วเดินกลับออกมาพูดเบาๆ ว่า “แม่เป็นมะเร็งจริงๆ”

    เราช็อก พ่อช็อก แม่พูดอะไรอีกยาวพอประมาณ แต่ถึงตอนนี้ก็จำไม่ได้แล้ว รู้แค่ว่าเราจะไม่บอกยาย เพราะตอนนี้เขาไม่เจ็บ แต่ถ้าบอก เขาจะเจ็บ และเราก็จะไม่บอกใครทั้งนั้น ไม่บอกญาติ เพราะเดี๋ยวจะกลับมาถึงยาย

    เราจะรู้กันแค่นี้ ลุง แม่ น้า เรา และพ่อเรา

    เดี๋ยววันรุ่งขึ้นถึงจะได้คุยแนวทางกับหมออีกที ว่าเราจะทำยังไงกันต่อไป เพราะยายก็อายุเยอะมาก แถมเป็นหลายโรค ยังไงก็คงรักษาแบบเคมี หรือเจาะคอเจาะอะไรไม่ไหว พวกเราเองก็ไม่ได้อยากให้ยายเจ็บปวดขนาดนั้น 

    วันถัดมา เมื่อลุงคุยกับหมอเรียบร้อย และบอกแม่ แม่ได้นำมาถ่ายทอดอีกต่อหนึ่งว่า “หมอบอกว่าแม่จะอยู่ได้อีก 3 เดือน” ให้ยายใส่ wrist band ปฏิเสธการรักษา หลังจากนี้ยายต้องให้ออกซิเจนตลอด เพราะยายจะหายใจเองไม่ได้ และหมอบอกว่าช่วงนี้ถ้ายายอยากไปเที่ยวไหนให้พาไปให้หมดเลย แบกถังออกซิเจนไปด้วย 

    เราฟังอึ้งๆ ต่อให้ที่ผ่านมาจะคิดตลอดว่าจะมีวันที่แม่ต้องไป แต่ในจินตนาการของเรามันก็ไกลกว่านี้มาก ไม่เคยคิดว่ามันจะเร็วแค่นี้เอง

    สามเดือน ถ้าเป็นเปิดเทอมก็เพิ่งเรียนไปครึ่งเทอมเอง

    เรานึกถึงเรื่องราวของรุ่นพี่ร่วมคณะ ร่วมเอก ที่คุณพ่อของเขาเป็นโรคนี้เช่นกัน และจากไปในปีก่อน พี่มักจะเขียนเล่าเรื่องราวในเฟซบุ๊ก รวมทั้งมีเพจทำอาหารที่เปิดขึ้นมาเพื่อคุณพ่อในช่วงเวลาที่คุณพ่อป่วยหนัก เราเป็นแฟนคลับโพสต์เกี่ยวกับครอบครัวของพี่มาแต่ไหนแต่ไร จนพี่เปิดเพจ จนทราบว่าคุณพ่อพี่ป่วยและจากไป เราอ่านและซึมซับเรื่องราวมามาก จนอยากทักไปหาพี่เพื่อบอกเล่า กระทั่งถึงขั้นที่อยากถามออกไปว่า “ตอนนั้นพี่ทำยังไงเหรอคะ” แต่ก็ไม่ได้ทำ เพียงแต่เปิดกลับไปอ่านเรื่องราวของคุณพ่อพี่ในเพจของพี่อีกครั้ง

    พี่เขียนว่า หมอบอกว่าเขาจะอยู่ได้แค่ 3 เดือน คำว่า “ฟ้าผ่า” ไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด ทว่าเขาก็รอดมาจนถึงเดือนที่ 6” และสุดท้ายคุณพ่อก็อยู่กับพี่ได้ถึง 2 ปี

    เราอ่านแล้วบอกแม่ว่า หมอที่ไหนก็พูดแบบนี้ปะ คุณพ่อพี่ที่คณะ หมอก็บอกว่า 3 เดือน แต่คุณพ่ออยู่ 2 ปี

    แม่ตอบว่า แต่เขารักษาหรือเปล่า เราไม่รักษาแม่นะ เราให้แม่เจาะอะไรก็ไม่ไหวไหม เราจะให้เขาเจ็บแบบนั้นเหรอ

    เราตอบว่า “ไม่อะ” ไม่อยากให้ยายเจ็บอะไรทั้งนั้น จริงๆ ก็คงแค่อยากมีความหวังว่ายายจะอยู่ได้นานกว่าสามเดือนเท่านั้นเอง

    เราจินตนาการว่าสามเดือนข้างหน้าเราจะกำลังทำอะไรอยู่ ประมาณเดือนกันยา เปิดเทอมแล้ว เราอาจจะกำลังใกล้มิดเทอมป.โท เทอมแรก เราจะต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยไหม หรือว่าเรียนออนไลน์ ที่เรางอแงอยากไปเรียนที่มหา’ลัย มาตลอด ขอให้มันกลายเป็นออนไลน์หมดเลยได้ไหม เผื่อจะได้นั่งเรียนที่บ้าน อยู่กับยาย เราคิดถึงช่วงเวลาสามเดือนข้างหน้าสารพัด

    จนคืนวันศุกร์ ที่เราได้ไปหายายที่โรงพยาบาล เพราะปกติเรา พ่อ แม่ ทำงานอยู่ในเมือง และจะนอนที่คอนโดฯ กลางกรุงเทพฯ ต้องรอวันสุดสัปดาห์จึงจะได้กลับบ้านไปหายายที่สมุทรสาคร

    เมื่อเจอยายที่โรงพยาบาล ยายเหมือนเดิมเลย

    ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปสักนิดเดียว

    ไม่เหมือนผู้ป่วยหนักอะไรแบบนั้นสักนิดเดียว

    เหมือนยายคนที่เข้าโรงพยาบาลเมื่อ 5 เดือนก่อน เมื่อ 8 เดือนก่อน เมื่อปีก่อน เมื่อไหร่ก็ตาม

    เหมือนยายคนที่นอนบนเตียงนี้ ให้ยาฆ่าเชื้อ ครบโดส กลับบ้าน หายเป็นปกติ

    ทุกอย่างเหมือนเดิม ลุงกับน้าผลัดกันเฝ้าเหมือนเดิม พี่พยาบาลคนเดิม

    แล้วทำไมครั้งนี้ยายไม่ให้ยาฆ่าเชื้อแล้วหาย ทำไมครั้งนี้ยายจะไม่ได้กลับบ้านไปนอนดูละคร กินโอวัลติน เล่นกับเรา เล่นกับลุงเหมือนเดิม 

    แต่ต่อให้เราจะคิดมากขนาดไหน สิ่งที่แสดงออกไปก็ต้องเป็นปกติที่สุด เหมือนที่เราเคยทำ เพราะยายไม่รู้นี่นาว่าตัวเองเป็นอะไร

    เราเข้าไป “จ๊ะเอ๋ มีคนมาหา ใครมาน้า” เหมือนทุกครั้งที่ทำเวลากลับบ้าน เพียงแต่ครั้งนี้มันเปลี่ยนสถานที่เป็นโรงพยาบาล เราเดินเข้าไปข้างเตียง ทำเสียงสองเสียงสามสุดจะสดใส “เป็นไงบ้างจ๊ะ”

    “แย่เลย” ยายตอบ แต่ยายยังคุยไหว มองหน้าเราเห็น และดูเป็นเหมือนเดิม อย่างที่บอก

    เราคุยเล่นกับยายต่อไปเรื่อย นั่งลงข้างเตียง ยายร้องเอ้อๆ เวลาเราคุยด้วย เราแหย่ “เอ้ออะไรคะ หนูคุยด้วยแล้วร้องเอ้ออะไร” ยายตอบว่า “มันหัวเราะไม่ออก”

    เราแสร้งขำใส่ยาย แต่ในใจร้องไห้


    ยายคงจะหัวเราะไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เรายังไม่ทันได้จำเสียงหัวเราะครั้งสุดท้ายของยาย แต่มันก็แสนจะคุ้นเคยนั่นแหละ เพราะยายก็หัวเราะทุกครั้งที่ลุงแหย่ ที่ลุงแกล้ง เวลาแบบนั้นเราเองก็นอนฟังอยู่ในห้องนอนยายที่เราคุ้นเคยเหมือนกัน

    เรานั่งอยู่ข้างเตียงยายสักพัก จนยายไล่กลับบ้าน คืนนี้ลุงก็จะนอนเฝ้ายายเหมือนเดิม พรุ่งนี้เช้า พ่อก็จะพาเรากลับแม่มาเปลี่ยนเวร อยู่กับยายแทนลุง

    ทุกคนทำทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีใครแสดงอาการผิดปกติใดๆ

              

              นั่นแหละ...แม้เราจะรู้กันเต็มหัวใจ ว่ามันไม่มีอะไรเหมือนเดิม
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in