เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Hanii's BiblioHANII
[รีวิวหนังสือ] ดะไซ โอซามุ - รวมเรื่องสั้นชุด 'อิสตรี'
  • เพราะแบบนี้ ผู้หญิงอย่างเราจึง 'ทั้งรักทั้งชัง' นักเขียนชายที่ชื่อ ดะไซ โอซามุ


    รวมเรื่องสั้นชุด อิสตรี

    เขียน: ดะไซ โอซามุ
    แปล: พรพิรุณ กิจสมเจตน์
    สำนักพิมพ์: JLIT


    หากคุณเป็นผู้หญิง นี่คือหนังสือที่จะทำให้คุณไม่หลงใหลก็ชิงชัง (หรืออาจจะทั้งสองอย่าง) ผู้เขียนอยู่ไม่น้อยเป็นแน่

    เพราะฝีไม้ลายมือในการเล่าเรื่องที่ปรากฏบนหน้ากระดาษของในหนังสือเล่มนี้ อาจจะทำให้คุณเผลอหลงลืมไปเสียสนิทเลยว่าผู้เขียนเป็นผู้ชาย!


    อิสตรี 女 เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้น 4 เรื่องที่เขียนโดย ดะไซ โอซามุ นักเขียนญี่ปุ่นยุคสมัยใหม่เจ้าของผลงานคลาสสิกเลื่องชื่ออย่าง 'สูญสิ้นความเป็นคน (人間失格)' และ 'อาทิตย์สิ้นแสง (斜陽)'

    หากคุ้นชินกับผลงานชิ้นอื่น ๆ ของดะไซที่มีความเป็นปรัชญาตลกร้ายกับเรื่องราวของตัวละครที่ตรอมตรมระทมทุกข์ อิสตรีนั้นจะรวมเรื่องราวที่มีโทนขบขันน่าเอ็นดูกว่า แต่ยังคงธีมของการสำรวจตัวตนและสภาวะดำรงอยู่ของตัวละคร และคงสำนวนการเขียนที่ลุ่มลึก สวยงาม และรสชาติที่เข้มข้นเอาไว้ไม่บกพร่อง

    เรื่องสั้นทั้ง 4 เรื่องใน อิสตรี จะเล่าถึงผู้หญิง 4 คนกับ 4 เรื่องราวที่แตกต่างกัน ผ่านสายตาของผู้หญิงเจ้าของเรื่อง (เล่าผ่านมุมมองบุคคลที่ 1 อย่างที่ดะไซถนัด)


    เรื่องที่ 1 อับอายขายหน้า

    เรื่องของหญิงสาวที่เขียนจดหมายวิจารณ์โดยไม่ระบุตัวตนส่งไปให้นักเขียนที่เธอติดตาม ก่อนจะพบว่าผลงานเรื่องใหม่ของนักเขียนคนนั้นเกี่ยวกับตัวเอกที่ทั้งชื่อ อายุ และพื้นฐานทางครอบครัวนั้นตรงกับเธอไม่มีผิด เธอจึงเดินทางไปเพื่อพบกับเขาเพื่อหาคำตอบ


    เรื่องที่ 2 ตั๊กแตน

    จดหมายวิพากษ์วิจารณ์ (กึ่ง ๆ ระบายความในใจ) ถึงสามีนักเขียนภาพของหญิงชั้นสูงที่ต้องการแยกทาง เมื่อในช่วงชีวิตแต่งงานปีที่ 5 สามีของเธอได้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปจากวันที่เธอตัดสินใจที่จะแต่งงานกับเขา


    เรื่องที่ 3 เรือนกาย เรือนใจ

    เรื่องของหญิงวัย 28 ที่จู่ ๆ ก็พบว่าตนเองมีผื่นขึ้นตามตัว (และเธอก็เกลียดกลัวโรคผิวหนังสุดหัวใจ) เมื่ออาการแย่ลง จึงเกิดขึ้นเป็นความกังวลในจิตใจเธอ และค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความคิดฟุ้งซ่านมากมายถึงชีวิตของเธอเอง


    เรื่องที่ 4 นักเรียนหญิง

    เรื่องที่โด่งดังที่สุดใน 4 เรื่อง เล่าถึงชีวิตของนักเรียนหญิงคนหนึ่งตามชื่อเรื่อง นับตั้งแต่ตื่นเช้าไปจนหมดวันเหมือนกับการเขียนไดอารี่ (แต่เป็นไดอารี่หนึ่งวันที่ยาวเอามาก ๆ )


    ที่บอกว่า 'ทั้งรักทั้งชัง' 

    ก็เพราะสำหรับผู้หญิงอย่างเราที่แม้จะเกิดคนละยุค คนละประเทศ ไม่ได้เจอเรื่องราวอย่างที่ตัวเอกหญิงทั้ง 4 เจอ แต่ในขณะที่อ่านกลับรู้สึกว่าสามารถเอาตัวเอง (หรือผู้หญิงรอบ ๆ ตัวในชีวิต) ลงไปแทนตัวละคร และมองเห็นภาพความเป็นไปได้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกนึกคิดหรือปฏิบัติอย่างที่ตัวละครนั้นได้อย่างไม่ขัดข้อง หรืออย่างน้อยก็เข้าอกเข้าใจเหมือนกำลังอ่านเรื่องราวส่วนตัวที่เพื่อนฝูงหรือพี่ป้าน้าอาผู้หญิงสักคนเขียนเล่าออกมาจริง ๆ

    ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าหลงใหลที่ผู้ชายคนหนึ่งสามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของผู้หญิงออกมาได้อย่างลุ่มลึก มีมิติ สมจริง และละเมียดละไมราวกับเป็น 'หญิง' ทั้งยังถ่ายทอดเรื่อง 'หญิง ๆ ' ออกมาด้วยความเข้าใจระคนชื่นชอบเอ็นดู ไม่ใช่ความเกลียดชังหรือยกตนข่ม และยังไม่ใช่เพียงแค่ผู้หญิงคนเดียว แต่เป็น 4 คนที่แตกต่างกันทั้งช่วงวัย พื้นฐานชีวิต และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชายคนนี้มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่ผู้หญิงแทบไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงบอกเล่าเรื่องราวของตนเองเสียด้วยซ้ำไป

    ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าดะไซช่างน่าชังเหลือเกินที่รู้ไส้รู้พุงผู้หญิงอย่างเราดีอะไรอย่างนี้ ผู้ชายคนหนึ่งต้องคุ้นเคยกับผู้หญิงแค่ไหนหนอ จึงจะเขียนแต่งเรื่องผู้หญิง (แล้วยังเล่าด้วยมุมมองบุคคลที่ 1 ที่ต้องพรรณนาทั้งนอกทั้งในตัวละครอย่างละเอียด) ออกมาได้น่าเชื่อถือขนาดนี้ ? ชายผู้นี้เขียนเล่าความรัก ความชัง ความกังวลสับสน ความขลาดกลัว ความเพ้อพกฟุ้งซ่าน หรือความทะนงตนของผู้หญิงอย่างซับซ้อนและมีชั้นเชิงราวกับว่าเคยประสบมันด้วยตนเองได้อย่างไรกันหนอ ?

    แล้วก็ยังน่าชิงชังยิ่งขึ้นอีกที่ผู้หญิงอย่างเราต้องยอมรับแต่โดยดีว่า พวกเรา อิสตรี นั้นมีนิสัยใจคอ บุคลิก และความรู้สึกนึกคิดอย่างที่ดะไซเขียนไว้ไม่ผิดเท่าไหร่นัก


    --เนื้อหาต่อจากนี้เป็นการวิเคราะห์วิจารณ์ ซึ่งอาจมีการเปิดเผยเนื้อหาหรือข้อมูลบางส่วน รวมไปทั้งกลวิธีในการเขียน แต่ไม่ได้มีเจตนาทำลายอรรถรสในการอ่านแต่อย่างใด--


    ถ้าจะต้องเลือกเรื่องที่ชอบที่สุดจากทั้ง 4 เรื่อง ส่วนตัวคงยกให้ อับอายขายหน้า และ เรือนกาย เรือนใจ ตีเสมอกันมา (และจะขอวิเคราะห์โดยละเอียดเพียง 2 เรื่องนี้)


    อับอายขายหน้า โดดเด่นในแง่กลวิธีเล่าเรื่องและการลำดับเรื่อง อุปนิสัย คิดเพ้อไป ของหญิงสาวเจ้าของเรื่องอย่าง คาสุโกะ นั้นทำให้เรื่องราวของ อับอายขายหน้า น่าสนใจมากว่าสิ่งที่เธอคิดเพ้อไปนั้นจะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหนกันหนอ

    โดยเฉพาะการมีปมเรื่องนวนิยายที่ตีพิมพ์หลังจากเธอส่งจดหมายวิจารณ์โดยไม่ระบุตัวตนไปให้ซึ่งมีตัวละครเอกที่ตรงกับเธอเป๊ะ ๆ โดยในขณะที่เส้นเรื่องหลักให้ข้อสรุปกับเราว่าคาสุโกะต้องอับอายเพราะนิสัยชอบคิดเพ้อไปของตนเอง ตั้งแต่คิดไปว่านักเขียน โทดะ ได้อ่านจดหมายแล้วเขียนนวนิยายโดยอ้างอิงจากเธอ คิดไปว่าโทดะจะต้องมีความเป็นอยู่อย่างอัตคัด น่าสงสารไม่ต่างกับตัวละครในนวนิยายที่เขาเขียน และคิดไปว่าเขาจะเข้าใจและแสดงความเห็นใจเธอที่อุตส่าห์แบกหน้าไปพบเขาสักหน่อย ยังมีอักอุปนิสัยหนึ่งของคาสุดกะที่ถูกแทรกไว้อยู่เนือง ๆ คือนิสัย ปากไม่ตรงกับใจ อย่างที่แม้จะออกตัวว่าจงเกลียดจงชังโทดะ แต่คาสุโกะกลับร้อนใจเมื่อได้อ่านนิยายและจดหมาย และยังชื่นชมฝีมือการเขียนเขาอยู่ไม่ขาด

    นิสัย ปากไม่ตรงกับใจ ที่ถูกแทรกมานี้เองที่สะกิดให้ฉุกคิดถึงเรื่องราวในอีกมุมมองที่ถูกซ่อนไว้ใต้เรื่องเล่าจากบุคคลที่หนึ่งอย่างคาสุโกะนั้นน่าสนใจเช่นกันว่า จริงอยู่ที่คาสุโกะอาจจะจินตนาการภาพของนักเขียนโทดะผิดไป แต่หากว่าคาสุโกะคิดถูกแล้วว่าโทดะนั้นเขียนนวนิยายเรื่องใหม่ขึ้นโดยอ้างอิงตัวละครจากเธอจริง ๆ แต่ไม่ยอมรับตรง ๆ ก็อาจจะหมายความว่าโทดะนั้นปากไม่ตรงกับใจเช่นกันหรือเปล่า ? แต่เราก็ไม่อาจรู้แน่ชัดได้ และยิ่งตั้งคำถามต่าง ๆ นานาเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนว่ากำลังคิดเพ้อไปไม่ต่างจากคาสุโกะผู้ต้องอับอายในท้ายที่สุด

    และดะไซยิ่งชาญฉลาดขึ้นไปอีกที่เขียนให้เรื่องนี้ถูกเล่าออกมาในรูปแบบการเขียนเล่าให้เพื่อนสาวฟัง จึงยิ่งน่าสนใจไปอีกชั้นหนึ่งว่า สิ่งที่คาสุโกะเล่าให้เรา (ซึ่งรับบทเหมือนเป็นเพื่อนสาวของเธอ) อ่านนี้ จะเป็นจริงแค่ไหนกันอีกหนอ เพราะแน่นอนว่าในบนสนทนาของสาว ๆ เรื่องราวจะออกรสได้ก็ย่อมถูกลดทอดหรือเสริมเติมแต่งบ้างเป็นธรรมดา


    ส่วนสิ่งที่ชอบที่สุดใน เรือนกาย เรือนใจ คือเนื้อเรื่องและฝีมือในการพรรณนาของดะไซ โอซามุ ที่ทำให้ตัวละครเอกมีความสมจริงและเป็นมนุษย์มาก ๆ แม้ความคิดที่เธอมีต่ออาการผื่นผิวหนังของเธอนั้นจะเตลิดไปไกลและบางครั้งก็ดูจะเกินจริงเหลือเกิน

    ในตอนแรกตัวเอกนึกเพียงว่าตัวเธอเองมีนิสัยไม่ยี่หระกับสิ่งใดจนยอมแต่งงานกับพ่อหม้ายตัวเปล่าที่ไม่ได้รัก แต่กลับกังวลกับโรคผิวหนังนี่แหละเป็นที่สุด แต่เมื่ออาการไม่ทุเลา ความกังวลเรื่องโรคผิวหนังของเธอจึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเตลิดไปไกล และในขณะเดียวกันความคิดเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตของเธอก็เตลิดไปพร้อม ๆ กัน แล้วเรื่องราวชีวิตของเธอก็ค่อย ๆ ถูกเปิดเปลือย เผยให้เห็น ความกังวลที่แท้จริง ที่ซ่อนอยู่ของเธอ ทั้งความกังวลในรูปลักษณ์ของตนเองที่ไม่งามตามคติ การต้องรับหน้าที่ดูแลแม่และน้องสาวต่อจากพ่อผู้ล่วงลับ อายุที่นับว่าแก่น่าเกลียดสำหรับผู้หญิง (28 ปี) แม้แต่การที่สามีกับตนนั้นแต่งกันด้วยการทาบทามจากผู้ใหญ่ไม่ใช่ความรัก และการที่สามีเคยมีคนรักเก่ามานานหลายปีที่เธอเคยคิดว่าตนไม่ได้ขัดข้องอะไรเลยก็กลับทำให้เธอกังวลฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นานาเสียได้

    ความกังวลฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นกับตัวละครเอก เรือนกาย เรือนใจ นี้ ไม่เพียงสะท้อนความเป็นมนุษย์ที่มักพยายามเก็บซ่อนความเปราะบาง อ่อนไหว และความทุกข์ใจของตนไว้ แต่ยังสะท้อนชีวิตของ มนุษย์ผู้หญิง ได้อย่างลุ่มลึก เพราะทั้งเรื่องความงามและรูปลักษณ์ อายุ การแต่งงาน การหย่าร้าง ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่คติของสังคมที่กดทับและบีบบังคับให้ผู้หญิงต้องเผชิญหน้า (แม้แต่ในสมัยปัจจุบันก็ตาม) เมื่อตัวละครที่ไม่ยี่หระอย่างตัวละครเอกนำเอาเรื่องเหล่านี้มาคิดฟุ้งซ่านไปมากเสียจนแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่เข้าใจ จึงเน้นย้ำได้อย่างดีว่า แท้จริงแล้วคติเหล่านี้ได้ฝังอยู่ในตัวเหมือนกลายเป็นจิตใต้สำนึกของสตรีทุกคนอย่างไม่มีข้อยกเว้น โดยที่บางคนก็เคยชินหรือเก็บงำคติที่กดทับเหล่านั้นไว้ลึกเสียจนมองข้ามการมีอยู่ของมันไปแล้ว (และการที่ผู้ชายคนหนึ่งเข้าใจความซับซ้อนทางอารมณ์นี้ของผู้หญิง แล้วยังสามารถพรรณนาออกมาอย่างลุ่มลึกและมีชั้นเชิงขนาดนี้ได้ ก็ช่างเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ใจจริง ๆ )

    **ตอนที่ตัวละครร้องไห้อย่างหยุดไม่ได้แล้วบอกกับสามีว่า "ฉันจะกลับบ้านแม่" เราตีความว่าที่เธอร้องไห้พรั่งพรูออกมาไม่ใช่เพราะเพราะเกลียดกลัวผื่นที่น่าเกลียดของตัวเองมาก แต่เป็นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอครุ่นคิดไปเมื่อคืนนั่นแหละ เพียงแค่ฟางเส้นสุดท้ายคือการที่ผื่นของเธอไม่ดีขึ้นเลย เหมือนกับขนสัตว์เส้นเล็ก ๆ ที่ไปปลิวถูกลูกโป่งที่กำลังเต่งเต็มที่แล้วก็ทำให้ลูกโป่งแตกได้

    ส่วนตัวมองว่าเป็นท่อนที่ทรงพลังจริง ๆ ชอบมาก ๆ มีความเป็นมนุษย์อะไรอย่างนี้


    เหตุที่ยกให้ ตั๊กแตน และ นักเรียนหญิง เป็นรองลงมา ก็เพราะมองว่าเรื่องราวมีความซับซ้อนและชั้นเชิงน้อยกว่าอีกสองเรื่อง เป็นการเล่าแบบตรงไปตรงมา (ประกอบกับส่วนตัวได้ผ่านช่วงชีวิตตอนเป็นนักเรียนมานานจนเกือบลืมหลายอย่างไปแล้ว และยังไม่เคยตกลงปลงใจจะแต่งงานกับใคร) แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้อรรถรสของเรื่องราวน้อยลงไปเลย ด้วยฝีมือการเขียนพรรณนาของดะไซที่เหนือชั้น อะไรที่เราไม่มีประสบการณ์ ดะไซก็สามารถเขียนให้เราคล้อยตามและรู้สึกไปกับตัวละครได้

    อย่าง ตั๊กแตน จดหมายขอหย่าของตัวละครเอกฉบับนี้พรรณนาถึงต้นสายปลายเหตุของการตัดสินใจขอแยกทางอย่างละเอียดถี่ถ้วน (และเชือดเฉือนเจ็บแสบ) ความละเมียดละไมของดะไซในการพรรณนานี้ทำให้เราได้ทราบทั้งเรื่องราวและความรู้สึกนึกคิดของเธอตั้งแต่ดูตัว ชีวิตหลังแต่งงานช่วงต้น และหลังจากสิ่งต่าง ๆ เริ่มแปรเปลี่ยน และจังหวะจะโคนในการเขียนของดะไซก็ทำให้เราคล้อยตามเรื่องราวไปได้ง่าย ๆ ราวกับว่าเราได้ใช้ชีวิต 5 ปีนั้นด้วยกันกับคู่สามีภรรยาคู่นี้เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจของตั๊กแตนคือการที่ผู้อ่านอย่างเราถูกบังคับให้รับบทบาท สามี ของเธอกลาย ๆ ดังนั้น ในขณะที่ใจหนึ่งก็เข้าใจ เห็นใจ และคล้อยตามเนื้อความที่เธอเขียนความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจมายาวนานให้กับสามี อีกใจหนึ่งก็มีความคิดอยากโต้เถียงกับเธอแทนตัวสามีในบางเรื่อง หรืออยากทราบเรื่องจากฝั่งสามีบ้างขึ้นมาไม่น้อยเช่นกัน

    ในทำนองเดียวกัน นักเรียนหญิง ก็เป็นการพรรณนาเรื่องราวในหนึ่งวันของนักเรียนหญิงคนหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน แต่พิเศษตรงที่เรื่องราวเพียงหนึ่งวันของเธอนั้นกลับยาวที่สุดใน 4 เรื่อง เพราะดะไซไม่ได้เล่าเพียงว่านักเรียนหญิงคนนี้ตื่นนอน กินข้าวเช้า เล่นกับหมา แล้วออกไปโรงเรียน แต่เขาเขียนพรรณนาความรู้สึกนึกคิดของตัวละครที่เกิดขึ้นในทุกขณะ ตั้งแต่ความคิดเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ยินเสียง ได้ลิ้มรส ได้กลิ่น ได้สัมผัส ได้เปล่งวาจาพูดคุย นักเรียนหญิงบอกเล่าให้เราได้ทราบทุกกระบวนการคิดของเด็กหญิงคนหนึ่งในหนึ่งวัน ซึ่งไม่ใช่เพียงการคิดที่เป็นปฏิกิริยาจากการกระทำในขณะปัจจุบัน แต่ยังเกิดกระแสธารความคิดให้เธอย้อนมองถึงอดีตหรือมองไกลไปยังอนาคต และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ตัวละครในเรื่องราวที่เรียบง่ายนี้น่าติดตาม และทิ้งความรู้สึกและกระแสธารความคิดทอดต่อ ๆ ไปไว้ให้กับผู้อ่านได้อย่างดี เพราะดะไซได้เขียนให้นักเรียนหญิงที่เล่าเรื่องราวของตัวเองในหนึ่งวันคนนี้มีความเป็นมนุษย์ที่มีมิติในตัวเองมากมายเหลือเกิน



    อิสตรี จึงเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นอีกเล่มที่สะท้อนถึงความเป็นนักเขียนชั้นครูของดะไซ โอซามุ และตัวตนด้านหนึ่งของเขาที่ทั้งน่าชื่นชมและน่าชิงชังสำหรับสตรีได้อย่างดีเยี่ยม

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in