ยืนอยู่ชานชาลา ต่อแถวรอเพื่อจะขึ้นรถไฟ รถไฟเอโนะเด็น(Enoden)เคลื่อนตัวมาจอดด้วยความเท่ พอมันหยุดนิ่ง ทุกคนในแถวเริ่มขยับตัวเล็กน้อย มองในระยะใกล้ สภาพของมันยังดูใหม่ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความมีอายุ (เพิ่งมารู้ทีหลังว่าคันที่ได้ขึ้น (มีเลข 305อยู่ด้านหน้า) คือรุ่นที่สร้างเมื่อปี 1960 หรือ 57 ปี ก่อน) คนขับรถเปิดประตูออกมาด้วยความคล่อง มองย้อนกลับไปส่งสัญญาณมือ เสร็จเข้าไปกดปุ่มบางอย่าง ประตูเปิดออก ผู้คนในแถวต่างรุดหน้าเพื่อเข้าไปด้านใน
ต่างคนต่างมีเหตุผลที่ต้องขึ้นรถไฟขบวนนี้ ถ้าเป็นคนญี่ปุ่นอาจจะมีบ้างที่เดินทางกลับบ้าน แต่ในเวลาเช้าแบบนี้ จึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว (ใกล้ผมยืนคือนักท่องเที่ยวชาวจีน) ที่มีทั้งคนญี่ปุ่นและคนชาติอื่นด้วย ทันทีที่รถไฟเริ่มเคลื่อนตัว ผมรู้สึกได้ถึงความโยกไปโยกมาของตัวรถ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกังวล รถไฟคันนี้ดูเหมือนว่าจะวิ่งต่อไปได้อีกถึง100ปี และที่น่าทึ่งคือ ทุกอย่างข้างในอยู่ในสภาพดีมากๆ
มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ผมอยากมาที่นี่ ผมอยากลองขึ้นรถไฟเอโนะเด็นและมองวิวนอกหน้าต่าง ผมอยากเห็นวิวของบ้านเรือน ต้นไม้ ดอกไม้ ชายฝั่ง ภาพของแสงแดดที่ส่องกระทบผิวน้ำเป็นประกาย แสงแดดคือความหวัง สายลมคืิอกำลังใจ เคยสังเกตุไหม? ทุกครั้งที่ตื่นนอนแล้วมองไปที่แสงแดดนอกบ้าน มันคือสัญญาณของการเริ่มต้นใหม่ ไม่ว่าเมื่อวานนี้จะเป็นอย่างไร มันกลายเป็นอดีตเสียแล้ว หากยังมีรุ่งเช้า แสดงว่ายังมีหวัง ไม่ว่าสิ่งที่หวังจะยากหรือง่ายเพียงใดก็ตาม
สายลมทำให้จิตใจเย็นลง ถึงแม้ว่าอากาศจะร้อนแค่ไหน แต่ถ้านานๆยังมีลมพัดมา ก็ยังมีความสุขให้คอยแอบถวิลหา และทุกครั้งที่มันพัดผ่านเราเหมือนจะพัดเอาบางสิ่งติดไปด้วยเสมอ
วิวทะเลจากหน้าต่างรถไฟ
ระหว่างทาง แคทซังก็ได้รีเควสที่ๆอยากจะไปมาหนึ่งที่ นั่นคือร้านขายแยมและบิสกิต ชื่อ Romi Unie Confiture
ร้านนี้โดดเด่นที่ทำแพ็กเกจจิ้งน่ารัก แค่เห็นกล่องก็อยากซื้อแล้วไม่ต้องกินขนมด้านในก็ได้ พอเข้าไปก็เจอกับบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง มีรอยยิ้มบนใบหน้าพนักงานคอยต้อนรับ ร้านเรียบง่าย แต่รู้สึกได้ถึงคุณภาพและความตั้งใจของเขา
นี่คือขนมที่ได้กลับบ้านมา
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in