“ฉันมองเห็นเธอจากบนรถเมล์ด้วยแหละ ฮ่าๆ”
เธอพิมพ์มาหาอีกครั้งหลังจากที่เราส่งข้อความไปถามย้ำว่าอยู่ตรงไหนแล้ว อากาศข้างนอกหนาวมากจนทำให้ต้องยืนขยับไปขยับมาตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ใส่ทั้งโค้ท ทั้งหมวก ผ้าพันคอแล้ว คงต้องยอมใจอากาศบ้านเธอจริงๆ หนาวอะไรขนาดนี้เนี่ย
เออ ลืมบอกไป ไม่ใช่นิยายนะ นี่เรื่องจริง 555 เรามาถึงก่อนเธอเล็กน้อยไม่กี่นาที แปลกดีที่ตอนอยู่ไทยมักจะชิลๆ และสายบ้างเป็นบางครั้งเวลานัดเพื่อน หรือบางครั้งเคยชินกับเพื่อนนิสัยเหมือนๆ กันก็นัดกันแล้วเลทตลอด แต่พอพาตัวเองมาต่างประเทศเมื่อไหร่เป็นอันแพนิคเรื่องเวลาทุกที นัดใครไว้แล้วเค้ามาสายไปสองนาทีเราก็ว่าช้าแล้ว
ในที่สุดเธอก็เดินมา หน้าตาแบบนั้น ผมสีอ่อนๆ ที่เรารัก แววตาขี้เล่นในสีหน้ากึ่งจริงจังกึ่งซนๆ ของเธอทำให้เรายิ่งคิดถึงเข้าไปใหญ่ เรากอดกันแล้วถามไถ่ทุกข์สุข ถึงแม้ว่าเธอกับเราจะตามกันอยู่ในอินสตาแกรม แต่พอได้มาเจอกันอีกครั้งมันรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกเลย
และนี่ก็เป็นครั้งที่สามที่เราเจอกันในรอบเกือบปี ที่ไม่ได้เจอกันไม่ใช่เพราะเหตุผลอะไรอื่น นอกจากเราอยู่คนละประเทศ แน่นอนว่าเราเจอกันนับครั้งได้ขนาดนี้ก็ไม่ลืมอยู่แล้วว่าครั้งล่าสุดเจอกันเมื่อไหร่ ถึงแม้จะไม่นานขนาดหนึ่งปี แต่มันก็เกือบๆ อยู่ดีน่ะแหละ สิบเอ็ดเดือน.. อาจฟังดูสั้นสำหรับบางคน แต่สำหรับเรามันยาวนานมาก ยาวนานพอที่จะเห็นเธอมีแฟนใหม่โดยที่เราไม่เคยตั้งตัว แต่ก็ต้องยอมรับ เพราะเรากับเธอไม่เคยมีสิทธิ์อะไรในกันและกันอยู่แล้วนี่นา
ความรักระหว่างเรามันอาจไม่ใช่ความรักสำหรับเธอ แต่มันคือหนึ่งในประเภทของความรักที่เรามีและจดจำไว้เสมอ เมื่อปีที่แล้วเราเจอกันด้วยความแรนด้อมบางอย่าง และรู้สึกว่าจะตกหลุมรักกัน.. ถ้าเราไม่ได้เข้าใจผิดไปเองนะ เพียงแต่ตอนนั้นเราก็บังเอิญไปตกหลุมรักอีกคนหนึ่งในวันเดียวกับที่เจอเธอ แต่เป็นความรู้สึกที่มันแตกต่างกันออกไป แต่วันนี้เราไม่ได้จะพูดถึงเธอคนนั้น (เพราะเขียนไปแล้วก่อนหน้านี้)
สำหรับเธอแล้ว..
เรารู้สึกประทับใจและคิดถึงเธออยู่เสมอ ตั้งแต่วันที่เราเจอกัน วันที่เราจากกัน วันที่เราเจอกันใหม่ และวันที่เราไกลกันมาก รวมไปถึงวันนี้ที่เธอไปรักคนอื่นซะแล้วด้วย
เรารักในความเอาใจใส่และเทคแคร์ของเธอ มันทำให้เรารู้สึกอบอุ่นใจเหมือนอยู่บ้าน ทั้งๆ ที่เธอเองก็เป็นคนเดายาก อาจเป็นเพราะมาเจอคนแบบเราด้วยมั้ง ผู้หญิงไทยที่มีนิสัยพื้นฐานเป็นความขี้อาย ขี้เกรงใจ บวกกับนิสัยส่วนตัวที่ฟอร์มจัดและชอบทำเป็นคูลต่อหน้าคนอื่น พอจะแสดงความรู้สึกให้ใครรู้ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ทำหน้านิ่งและเก้ๆ กังๆ ไม่เคยเปิดเผยให้ใครดูออกเลยว่าคิดยังไงกับเค้า กับเธอเองก็เหมือนกัน อาจเป็นธรรมดาของคนประเทศเธอ ที่ไม่ได้ยิ้มตลอดเวลาเหมือนคนไทย มีระยะห่างและให้เกียรติกันเสมอ พอเธอเห็นเรานิ่งเงียบไม่เคยบอกว่าต้องการอะไร ก็เลยไม่แปลกหากเธอจะทำตัวเดายากใส่ เพราะจริงๆ แล้วเธอก็ดูเราไม่ออกเลยเช่นกัน
แต่นั่นมันผ่านมาแล้วนี่นา จะพูดถึงทำไมอีกล่ะ?
จะไม่ให้พูดก็ไม่ได้ เพราะอยู่ๆ ความรักของเราตอนนั้นที่ยังไม่ทันจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างก็ถูกตัดจบลงด้วยการที่
“เราต้องบินกลับประเทศ” เบสิคมาก... น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับการตกหลุมรักหรือความรักของหลายๆ คน ที่เลือกตกลงที่จะให้มันจบอยู่แค่นั้น ประมาณว่าอะไรที่เกิดขึ้นที่นั่น ก็ปล่อยให้มันอยู่ที่นั่นไปเถอะ ไม่ต้องเอากลับมา เอ่อ แต่ความจริงอยากเอากลับนะ เพียงแต่เอากลับมาไม่ได้ มันไม่ใช่ความรักเด็กๆ หรือความรักที่จะเป็นไปตามที่เราฝันใฝ่ไว้เหมือนที่เราพูดกับเพื่อนอยู่เสมอในตอนนั้นว่า “มึง ถ้าคนสองคนมันรักกันจริง ยังไงทุกอย่างมันก็เป็นไปได้เว่ย” ใช่ อาจเป็นเพราะเรามองทุกอย่างในแง่บวกเสมอ ในที่มืดยังไงเราก็มองเห็นแสงอยู่รำไรเรื่อยไป เราเชื่อว่าทุกอย่างมันเป็นไปได้ ใครจะอยู่ไกลยังไงแต่ถ้าชั้นรักชั้นก็เก็บตังไปหามันได้ แต่ในที่สุดบางสิ่งก็ทำให้เราโตขึ้นมาอีกนิดนึงและเข้าใจได้ว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดแบบนั้น” บางคนอาจอยู่กับความจริงเกินไป บางคนอาจโฟกัสกับชีวิตการงาน (ที่ตอนนั้นเราโนสนโนแคร์มาก) บางคนไม่อยากเสียเวลากับอะไรแบบนี้ และในที่สุดเราก็เข้าใจได้เองว่าเราต้องเคารพทุกอย่างที่เกิดขึ้น และไม่โทษใคร (แต่โทษระยะทาง)
ทุกวันนี้เวลาคิดถึงเธอก็อดคิดย้อนกลับไปไม่ได้ว่าถ้าตอนนั้นเราไม่ได้แค่ไปเยี่ยมประเทศเธอแค่สั้นๆ แต่ถ้าเราอยู่ที่นั่น เราจะได้รักกันมั้ย? เราจะได้คบกันรึเปล่า? มันไม่ง่ายเลยนะที่เราจะนึกฝันจะใช้ชีวิตอยู่กับใครสักคนหรือเห็นอนาคตกับใคร แต่กับเธอเราเคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าเราคบกัน เธอคงเป็นแฟนที่ดีมาก ที่สามารถดูแลเราได้ และน่าจะใช้ชีวิตด้วยกันได้ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าได้ใช้ชีวิตกับเธอจะดีแค่ไหน เธอทั้งเก่ง ทั้งเทคแคร์ดี อ่อนโยนและเข้มแข็งในเวลาเดียวกัน แต่... นั่นมันเป็นแค่ความคิดห้วงหนึ่งที่เพ้อๆ แต่ตอนนี้ไม่ได้เพ้อแล้วล่ะ
เรามาเจอกันเป็นครั้งที่สามในเมืองที่เธออยู่ เมืองที่เรารักที่สุด รักมากกว่าหรืออาจพอๆ กับกรุงเทพนี่แหละ ดูเผินๆ เหมือนเรามีความสุขดีและยิ้มแย้มแจ่มใส แต่เธอคงไม่รู้ว่ามันรู้สึกแปลกๆ แค่ไหนที่การเจอครั้งนี้เราไม่สามารถมองตากันได้แบบเดิม ไม่สามารถสัมผัสกันได้เหมือนเดิม เราเจอกันครั้งนี้ในสถานะ “เพื่อน” จริงๆ ถึงแม้ว่าเราจะไม่เคยเป็นอะไรไปมากกว่านี้ แต่ความรู้สึกเราเคยมากกว่านี้และการกระทำเราเคยอิสระและไร้ความกลัวใดๆ มาก่อน โธ่.. แต่อย่างน้อยก็คงรู้ตัวบ้างแหละนะว่าชั้นไม่เคยกดไลค์รูปไอจีที่แกลงคู่กับแฟนเลย หึ!
มันเป็นความรู้สึกวิเศษนะเวลากลับมาเจอใครสักคนที่ไม่ได้เจอนานเกือบปี แถมอยู่ไกลถึงครึ่งโลก แต่มันก็เศร้าเหมือนกันที่ครั้งล่าสุดเรายังกอดกัน kiss kiss กัน (แหม จะใช้คำไทยไหนให้ไม่ดูกระดากดีละเนี่ย เด๋อจัง) แต่พอมาเจอกันอีก เราก็หมดสิทธิ์ทุกอย่างนั้นโดยสิ้นเชิง โดยสภาพแวดล้อมบังคับ โดยที่ไม่เคยมีอะไรมาบอกว่าได้หรือไม่ได้ แต่ตอนเนี้ยไม่ได้แล้ว
ยังจำได้ถึงวันที่เราพิมพ์ไปหาเธอว่าจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ แล้วก็คุยกันตามประสา (ปกติไม่ค่อยพิมพ์หากัน แทบไม่ได้คุยกันเลย) แล้วอยู่ๆ เธอพิมพ์บอกว่า
“เออ ชั้นแค่อยากบอกให้เธอรู้ไว้นะว่าตอนนี้ชั้นคบกับคนนึงอยู่..” อืม เรารู้นะ คิดมานานแล้วว่าสักวันเธอก็ต้องเจอใครดีๆ และเราไม่เคยคบกัน เราเลยไม่มีวันโกรธหรือหึงหวงเธอแน่นอน เพราะเราเองก็ไม่คิดจะคบกับเธอ อะไรที่เกิดขึ้นที่นั่นก็ทิ้งไว้ที่นั่น เราไม่เคยเรียกร้องอะไรเลยแม้แต่นิด ทุกอย่างโอเค จนกระทั่งอ่านข้อความนั้นที่เธอพิมพ์มานั่นแหละ...
อึ้ง...
งง...
พิมพ์อะไรไม่ถูก.. ใจหายนะ แอบรู้สึกเสียใจนิดๆ ด้วย หรือเพราะเราแอบหวังว่าถ้าเจอกันอีกเราจะกิ๊กกั๊กกันได้เหมือนเดิม แล้วพอเธอบอกงี้แปลว่าอดแล้ว? เรารู้สึกอะไรอยู่เราไม่เข้าใจ รู้ตัวอีกทีก็พิมพ์กลับไปว่า
“จริงเหรอ ดีใจด้วยนะ :)”
“ใช่แล้ว :)”
“แล้วเค้าคนนั้นคือใครอ่ะ”
“คลาร่า เพื่อนเก่าชั้นที่รู้จักกันมาเกือบห้าปีแล้ว เธอน่ารักมากเลย”
อ่อ.. คลาร่า
เราเคยได้ยินชื่อนี้ และได้ยินบ่อยมาก เธอพูดให้เราฟังอยู่เสมอถึงเพื่อนรักของเธอไม่กี่คน
และครั้งล่าสุดที่เราเจอกันตอนเธอมาไทยอ่ะ เราคุยกันเรื่องแต่งงาน ตอนนั้นเราทั้งคู่โสดและอยู่ในสถานะงงๆ ว่าเราเป็นเพื่อนกันแบบไหน ทำไมกิ๊กกันได้ พอเราถามเธอว่าจะแต่งงานมั้ย แล้วจะแต่งกับใคร เธอตอบว่า
คลาร่าแหละมั้ง ฮ่าๆ
เพราะคลาร่ากับเธอสนิทกันมาก และคลาร่าคงเป็นแม่ที่ดีของลูกเธอได้
เราไม่ถามอะไรเธอทั้งสิ้นหลังจากที่รู้ว่าเธอกับคลาร่าคบกัน เพราะวิเคราะห์จากความทรงจำเก่าๆ ที่เธอเคยพูดถึงคลาร่าแล้วเรามั่นใจว่าเธอสองคนคงผูกพันและสนิทสนมกันมาก และเราก็ดีใจที่เธอเจอความรักดีๆ แต่ถึงยังไงเธอก็คงไม่รู้ว่าการที่ชั้นพิมพ์ไปว่า ‘ว้าว ดีใจด้วยนะ’ มันฝืนใจมากแค่ไหน...
แต่จะให้พูดอะไรที่ตรงข้ามกันนี้ก็คงไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเราไม่ต้องการพูดอะไรแย่ๆ
การกลับมาที่ประเทศเธอครั้งนี้เราเจอกันน้อยมาก วันนี้เราออกมาหามื้อบ่ายกินกัน เธอพาไปร้านฝรั่งเศสที่ทำอาหารอร่อยมาก จากที่หิวมามากก็อิ่มและเราก็คุยกันเยอะแยะไปหมด แต่เธอมีประชุมเลยต้องรีบกลับ เราเลยมีเวลาอยู่กันแค่ไม่ถึงชั่วโมง หลังจากวันนั้นเรากับเธอนัดเจอกันอีกครั้ง แต่เธอมีนัดอื่นหลังจากนั้นอยู่แล้ว เลยต้องเจอกันแค่ไม่กี่นาทีตอนเธอมาเปลี่ยนสถานีเท่านั้น
เป็นความรู้สึกที่แปลกจนหัวใจปรับความรู้สึกไม่ทัน เรามาประเทศเธอบ่อยก็จริง เราจะมาอีกแน่นอน อันนี้ใครๆ ก็คงรู้ แต่เราจะมาเมื่อไหร่? และจะเจอกันอีกครั้งตอนไหน? ห้านาทีสำหรับการเจอครั้งสุดท้ายมันค่อนข้างโหดร้ายเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเธอจะดูทำตัวปกติ คูลๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก เราเองก็เหมือนกัน ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรมาก แค่กอดกับเธอแล้วเอารูปที่เคยวาดให้เธอมอบให้เธอไป เธอชอบมากๆ เรายิ้มรับอย่างยินดีและบอกลา
เวลาบอกลาใครเราชอบแอบหันกลับไปมองอีก (ถ้าเรารัก) แต่คนๆ นั้นมักจะไม่ค่อยหันกลับมาเท่าไหร่ เค้าคงจะไม่รู้ว่าเรามอง
ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์เรากับเธอมันจะเป็นแบบนี้ไปอีกถึงเมื่อไหร่ หมายถึงการเป็นเพื่อนที่รู้สึกดีๆ ต่อกันในบางอย่างแบบนี้ แต่ได้เจอปีละครั้งสองครั้งแบบแป๊บๆ เนี่ยนะ มันแปลกมากและไม่เคยเจอมาก่อน พอลาจากกันแล้วก็ยัง งงๆ ว่าทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ
ทำไมชีวิตชอบพาไปเจอใครให้ใจรักและต้องพรากจากกันเสมอเลยล่ะ
ใจร้ายที่สุด
แต่ไม่เป็นไร ทุกอย่างก็อยู่ในการเดินทางของชีวิตนี้ อย่างน้อยเราก็ดีใจมากที่ได้เจอคนเหล่านี้ ในใจมีที่อีกเยอะให้เก็บความทรงจำดีๆ ไว้นึกขึ้นให้คิดถึงทรมานใจเล่นในวันหน้า
คิดถึงก็เลยเขียนเรื่องนี้ แต่เจ้าตัวคงไม่มีวันรู้ และเราก็คงไม่มีวันบอกหรอก!
ก่อนจะจบขอมอบเพลงที่เป็น Soundtrack สำหรับเรื่องที่เล่ามา ตอนอยู่กับนางเพลงนี้ก็ขึ้นตลอด เหมือนอยู่ในหนังไรงี้อ่ะแหละ
I wanna touch you but it's too late,
I wanna touch you but it's history...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in