ตอนหาที่พักสำหรับ 1 คน เนี่ยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยเหมือนกัน
ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวคืออยากประหยัด นอนโฮสเทลแบบห้องรวมเฉพาะผู้หญิงก็ได้มั้ง แต่คิดไปคิดมา... นอกจากเรื่องความปลอดภัยแล้วเราเป็นคนตื่นง่าย มีเสียงนิดหน่อยก็ตื่นแล้ว ถ้าอยากหลับสบาย ๆ ควรจะพักคนเดียวดีกว่า
จะนอนโรงแรมก็รู้สึกเสียดายเงินอีก หาไปเรื่อย ๆ ก็เจอ Backpackers Inn อยู่ไม่ไกลจาก Taipei Main Station เท่าไหร่ และราคาไม่สูงมาก ดูรีวิวแล้วคะแนนดี ก็เลยเลือกที่นี่แหละ
เราลากกระเป๋าเดินมาเรื่อย ๆ เหมือนจะไกลแต่ทางเดินสบาย ไม่นานก็มาถึง พอยื่นเอกสารการจองและพาสปอร์ตให้พนักงาน เขาก็พาไปอีกฝั่งที่เป็นห้องพักเดี่ยว ด้านล่างของโฮสเทลเป็นร้านข้าวแกงกะหรี่ มีกาแฟขาย ลักษณะกึ่ง ๆ คาเฟ่ เนื่องจากปกติแล้วอาหารเช้าของโฮสเทลจะเป็นลักษณะการผูกปิ่นโตไว้กับร้านอาหารร้านนี้ แต่เนื่องจาก... เนื่องจากอะไรคะ ตรุษจีนไง๊ เลยไม่มีใครอยู่ โล่งผีหลอก พนักงานก็เลยให้บัตรอาหารเช้าของแมคโดนัลด์สำหรับวันที่ 7 และวันที่ 8 มาแทน รวมถึงบอกเวลาที่สามารถไปรับอาหารเช้าที่นั่นได้
ตอนรอลิฟต์ พนักงานสาวน้อยก็โพล่งขึ้นมาว่ายูเป็นมังสวิรัตหรือเปล่า เรายิ้มแล้วบอกไปว่า ไม่อะ เราอะตัวกินเนื้อเลย เขาพยักหน้าแรง ๆ แล้วบอกว่า “ฉันก็ชอบกินเนื้อมาก ๆ เหมือนกัน ไม่เข้าใจคนไม่กินเนื้อเลย อ๊ะ... ฉันไม่ได้ตัดสินคนกินมังนะว่ามันไม่ดีนะ แค่ไม่เข้าใจเฉยๆ” เราก็หัวเราะตาม
เจอสายเนื้อเข้าแล้ว ให้น้องแนะนำร้านปิ้งย่างน่าจะเวิร์ค
แต่เราไม่ได้ทำอย่างนั้น ทันทีที่เข้าห้องเราก็จัดการล้างหน้าล้างตา นั่งพักเท้าให้หายเมื่อย ก่อนจะกดดูกูเกิลแมพเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ แต่จุดหมายสำหรับครั้งนี้ไม่ใช่การหาร้านกาแฟ
เพราะเราคำนวณแล้วฟิล์มน่าจะไม่พอถึงวันสุดท้ายของทริปแน่นอน
สถิติการใช้ฟิล์มในการถ่ายรูปของเรานั้น เฉลี่ยอยู่ที่วันละ 2 ม้วน เพราะฉะนั้น 4 วันก็น่าจะประมาณ 8 ม้วน รอบนี้เราเอาฟิล์มมา 10 ม้วน ยังไงก็น่าจะพอไม่ใช่เหรอ
เออ.. แต่รอบนี้เอากล้องฟิล์มมา 2 ตัวว่ะ
หมดวันแรกก็ปาเข้าไป 4 ม้วนแล้ว มันจะไปพอได้ยังไงวะ
เราดูตำแหน่งร้าน Best Photo ซึ่งอยู่ในระยะที่เดินไปจากที่พักได้ จึงรวบรวมพลังออกไปเดินหา ร้านอยู่ตรงตามตำแหน่งในกูเกิลแมพเลย หาไม่ยาก แค่ลุ้นว่ามันจะเปิดหรือเปล่า
พอมองเห็นแสงสว่างตรงตำแหน่งนั้นขึ้นมาก็ใช้ชื้น
เปิดเว้ย !!
ตัวร้านมีขนาดเท่ากับ 1 ห้องแถว แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นร้านขายลอตเตอรี่ขูด ๆ ตามแบบที่เห็นได้ทั่วเมืองไทเป ส่วนอีกฝั่งขายกล้องฟิล์มคอมแพค ขายฟิล์ม และมีบริการรับล้างฟิล์มด้วย และจากการค้นข้อมูลมา ร้านนี้สามารถรับงานได้ภายใน 1 ชั่วโมง ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วลองใช้บริการหน่อยน่าจะดี
ภายในร้านมี 2 ลุงกับ 1 ป้า หรือเอาแบบภาษาทางการหน่อยคือมีชายเชื้อสายจีนสูงอายุ 2 คน และหญิงสูงอายุวัยไล่เลี่ยกันเฝ้าร้าน เราทักไปว่าต้องการจะซื้อฟิล์ม พวกเขาก็คุยกันเป็นภาษาจีนคล้าย ๆ จะเกี่ยงกันว่าใครจะมารับลูกค้า
แม่งพูดอังกฤษไม่ได้แน่นอน
และลุงก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้จริง ๆ เราก็ใช้ภาษามือสิคะ เราบอกลุงว่าจะเอา Fuji แต่ดูจากการที่ลุงไม่เข้าใจคำว่า Fuji เราก็สิ้นหวังแล้ว จะบอกว่าเอากล่องเขียว ๆ ยิ่งไม่ได้ เลยใช้วิธีให้ลุงชี้แล้วเราส่ายหน้าหรือพยักหน้าเอา ทุลักทุเล แต่ก็สอยมาได้ 4 ม้วน
แต่การอยากลองของยังไม่สิ้นสุด เราก็พยายามจะบอกลุงว่าจะล้างฟิล์มด้วย
แน่นอนว่าลุงไม่เข้าใจ เราเลยหยิบฟิล์มม้วนที่ถ่ายแล้วจากในกระเป๋าออกมา ลุงเลยเดินนำเรามาแล้วชี้ป้ายสีแดง ๆ ป้ายนี้
แม่งโง่ให้ตายยังไงก็รู้ว่าเขาหยุด อ่านจีนไม่ออกเลยสักตัวก็ต้องรู้ว่าหยุด ไม่รับงานล้างฟิล์ม เคครับพี่ ยอมแพ้แล้ว เปิดขายฟิล์มนี่ก็เป็นพระคุณมากแล้ว พอเห็นเราสงบ(?)ลง ลุงก็กดเครื่องคิดเลขแล้วพูดภาษาจีนกับเรา (ซึ่งกูจะรู้ไหมว่ากี่บาท) และดูเหมือนป้าทนไม่ได้เลยหยิบเครื่องคิดเลขอีกอันที่ใหญ่กว่ามาให้ แล้วก็กดตัวเลข “500” ให้ดู
โอเค.... 500 NTD ถ้วน หยิบแบงค์ 500 วางบนโต๊ะแล้วโค้ง 1 ที
ประสบการณ์พยายามจะล้างฟิล์มครั้งแรกก็เป็นแบบนี้แหละ
ซื้อขายเสร็จกันเป็นที่พอใจ(?)ของทั้งสองฝ่ายแล้ว เราก็เดินวนไปอีกทางที่ดูแล้วน่าจะไปทะลุกับถนนเส้นหน้าสถานีได้ เลยไปสำรวจร้านกาแฟอีกร้านที่อยู่ในลิสต์ของเรา มองเห็นผนังสีขาวของร้านที่เปิดไฟอยู่ก็รู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยพรุ่งนี้ก็มี 1 ร้านที่จะเปิดให้เราได้เติมคาเฟอีน
สำรวจจนพอใจแล้วก็ลากขาเมื่อย ๆ กลับไปโฮสเทล แต่ก็นึกได้ว่ายังไม่ได้กินมื้อเย็น เลยแวะซื้อชานมลาเวนเดอร์แล้วเดินมาซื้อไก่ทอด รอคิวอยู่สักพักนึง รู้สึกรสชาติตอนที่กินครั้งแรกมันอร่อยกว่านี้ สุดท้ายก็กินไม่หมด พอเดินไปเจอคนกำลังรอซื้อนมสดไข่มุกกัน เลยไปยืนต่อแถวกับเขาบ้าง ยืนรอไม่นานเท่าไหร่ก็ได้มา 1 แก้ว
อืม... หวานจัง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in