trigger warning: death and (implied) suicide
"สาเหตุการตาย, ความรัก"
คู่หูของผมส่งเสียง "อืม" สั้น ๆ ก่อนจะจดบันทึกลงในสมุด เสียงปลายปากกาขูดขีดกระดาษเนื้อหยาบดังชัดแจ๋วในห้องที่มืดสลัว เย็นเฉียบ และเงียบงัน ผมยกตะเกียงในมือให้แสงสีนวลส่องไปยังร่างขาวซีดบนพื้น เลือดที่เคยเป็นสีแดงสดและบัดนี้เริ่มคล้ำเข้มสะท้อนแสงแวววาว ยิ่งเป็นพื้นไม้เก่าแบบนี้ ถ้าทิ้งไว้นานก็คงขัดออกยากเอาเรื่อง ผมคิด แต่คู่หูดันเอ่ยขึ้นมาว่า "อยากกินเค้กแบล็กฟอเรสต์สักชิ้นจัง" ด้วยน้ำเสียงฟุ้งฝันเสียก่อน มีแต่เขาเท่านั้นแหละที่จะนึกถึงช็อกโกแลตและแยมสตรอว์เบอร์รี่ขึ้นมาในเวลานี้ และอีกประเดี๋ยวก็คงรบเร้าให้ผมพาไปกินหลังเลิกงานอีกตามเคย
ผมย่อตัวลงนั่ง หยิบกระดาษที่มุมหนึ่งเปรอะเปื้อนให้พ้นจากกองของเหลวกลิ่นสนิมคลุ้งที่เหลือ ตัวหนังสือส่วนหนึ่งถูกกลืนไปเนื่องจากเลือดและหมึกผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก ผลงานที่ต้องหลั่งเลือดเพื่อให้กำเนิดออกมา นั่นคงเป็นคำโปรยที่ตลกร้ายเหลือทน โชคดีไปที่อย่างน้อยจะไม่มีบรรณาธิการไร้หัวใจคนไหนมีโอกาสได้โฆษณามันเช่นนั้นอีกแล้ว ผมเก็บเศษซากของปีศาจที่แหวกครรภ์มารดาออกมาก่อนเวลาอันควรมาซ้อนกัน แผ่นแล้วแผ่นเล่าจนมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างดังก่อนหน้านี้
"ข้าพเจ้าทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้เอง สองมือของข้าพเจ้ามิอาจสร้างเคหาสน์บ้านเรือน มิอาจดีดลูกคิดคำนวณบัญชี มิอาจโปรยเมล็ดลงดินแล้วบันดาลให้มันงอกงาม มิอาจลงลายมือชื่อหรือประทับตราบนเอกสารสำคัญและตัดสินชะตาชีวิตผู้อื่นได้ น่าฉงนนักที่มนุษย์เราสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ จากวัตถุดิบนานาได้สารพัน แล้วก็มีมนุษย์ประเภทข้าพเจ้าที่นั่งเหมือนเสาหินไม่ไหวติงเพื่อสร้างวิมานจากอากาศ ถ้อยคำเหล่านั้นไม่ได้มาจากแห่งหนไหนไกล หากแต่เป็นภายในตัวข้าพเจ้าเอง ความรู้สึกนึกคิด ประสบการณ์ จินตนาการ ตลอดจนความฝันอันเพ้อพกที่สุด — เซลส์ประสาทในสมองทำงานอย่างหนักเพื่อแปลงสัญญาณไฟฟ้าเหล่านี้เป็นถ้อยคำและสั่งการให้มือข้างขวาของข้าพเจ้าหาอะไรสักอย่างใกล้ตัวมาบันทึกไว้ไม่ให้สูญหาย รู้ตัวอีกทีข้าพเจ้าก็ทำเช่นนั้นเรื่อยมาจนไม่รู้จักอย่างอื่นอีก กลายเป็นหินก้อนยักษ์ที่มีตะไคร่ขึ้นเขียวครึ้มและต้นเฟิร์นโอบล้อม จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อนั่งประจันหน้ากับผลลัพธ์ในมืออย่างที่ท่านกำลังทำอยู่ในขณะนี้ ข้าพเจ้าก็พลันรู้สึกโดดเดี่ยวเป็นล้นพ้น ความอวดดีว่ากายของตนเป็นภาชนะบรรจุเรื่องราวไม่รู้จบพลันแห้งเหือดเหมือนน้ำพุเปรอะมูลนกพิราบในสวนข้างล่าง ข้าพเจ้าทำได้เพียงเท่านี้เอง มิใช่ว่าทำได้เป็นอย่างดีหรือไม่ดีเพราะมีผู้อื่นตัดสิน แต่เป็นเพราะข้าพเจ้าทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้เอง"
คู่หูของผมวางกระดาษแผ่นสุดท้ายลงมาสมทบหลังอ่านออกเสียง "คำตามของผู้เขียน" จบ ปกติแล้วเขาออกจะเบื่อหน่ายพิธีกรรมของผมต่อผู้ตายและเอาแต่เร่งให้ปิดงานเร็ว ๆ แท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับย่อตัวลงข้างผมและมองศพชายวัยกลางคนเหมือนแมวที่พลัดหลงเข้ามา ทำจมูกฟุดฟิดเพราะเห็นสิ่งผิดปกติ แต่ว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้แยแสอะไร วิธีการที่เขาอ่านข้อความสุดท้ายของนักเขียนนั้นมีเสน่ห์และไพเราะอย่างน่าเศร้า ผมอยากให้ผู้ประพันธ์มีโอกาสได้ฟังเหลือเกิน
"อดใจอ่อนไม่ได้เลยนะ" เขาหันมาหาผม ทำหน้าตาน่าเอ็นดูเหมือนตอนอ้อนขอกินขนมไม่มีผิด "ดีจังเลยที่คุณลุงคนนี้ได้เจอกับนาย แต่อดเป็นห่วงไม่ได้เหมือนกันว่านายจะเจ็บปวดเกินไป"
ผมไม่เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว เมื่อผ่านมาระยะหนึ่งความรู้สึกพรรค์นั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความเข้าอกเข้าใจ ผมไม่สงสาร ไม่โศกเศร้า ไม่ตัดสินอะไรพวกเขา พวกเราคือพี่น้องร่วมอุทรและสหายร่วมศึกเดียวกัน หากได้เจอกันอีกที่ฝั่งตรงข้าม คุณลุงคนนี้ต้องเรียกผมว่ารุ่นพี่ด้วยซ้ำ
"มาจัดการให้จบกันเถอะ" คู่หูบอก พนมมือแล้วหลับตาพริ้ม
ผมดีดนิ้ว ประกายสีน้ำเงินสว่างวาบจนห้องสี่เหลี่ยมถูกฉาบด้วยสีฟ้าเรื่อ เปลวไฟเต้นระบำอยู่บนปลายนิ้วของผม ดูระรี้ระริกแทบทนไม่ไหวที่จะได้ลงไปลามเลียกองกระดาษบอบบางนั่น พอคิดว่านิ้วมือเดียวกันของผมเคยจับปากกาและพรมนิ้วลงบนแป้นพิมพ์เช่นเดียวกับเขา ผมรู้สึกว่าหน้าที่ของตนเองช่างใกล้ชิดกับคนตายยิ่งกว่าที่ยมทูตคนใดเคยทำมา พวกเรามองดูไฟค่อย ๆ กลืนกินวิญญาณของนักเขียนจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าปลิว สะอาดหมดจดต่างจากกายหยาบที่ทิ้งไว้เหลือเกิน
"เอาล่ะ" คู่หูของผมลุกแล้วยื่นมือมาหา "ไปกินเค้กกันเถอะ"
เราสองคนลงบันไดกลางของแฟลต สวนทางกับชายหนุ่มอีกคนที่วิ่งกระหืดกระหอบขึ้นไปราวกับไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้วในชีวิตนี้ สักพักเสียงกรีดร้องดังลั่นก็แหวกความเงียบสงบยามวิกาลเหมือนสัตว์ร้ายที่บาดเจ็บเพราะติดกับดักที่มองไม่เห็นเข้า สายเกินไป มีคนจำพวกหนึ่งต้องคำสาปที่บันดาลให้สายเกินไปเสมอ ในกรณีนี้ก็คือพวกเขาทั้งคู่
"ถ้าคุณลุงเขาฝากต้นฉบับไว้ที่พ่อหนุ่มคนนี้" คู่หูของผมเอ่ย "ก็คงไม่โดนเผาแล้วนะ"
"นั่นสินะ" ผมเห็นด้วย แค่เอาไปซ่อนให้พ้นมือเราก็หมดเรื่อง
"ถ้าได้ตีพิมพ์ขึ้นมาจะเป็นยังไงหนอ มีงานที่ได้รับความนิยมอย่างมากหลังนักเขียนตายนี่นา"
"ถ้ามีอดีตคนรักที่เป็นบรรณาธิการจัดพิมพ์ให้ ก็น่าจะขายได้อยู่ล่ะมั้ง"
"น่าเศร้าจังนะ ขายได้แล้วจะเอาเงินไปทำอะไร คนไม่อยู่แล้วนี่"
"เผาเงินตามไปสิ ไม่งั้นฉันจะตามไปเผาให้เอง"
"เรื่องนั้นมันเกินหน้าที่เราไปหน่อยนะ ฮ่า ๆ"
เสียงหัวเราะของคู่หูประสานไปกับเสียงคร่ำครวญที่แผ่วลงเรื่อย ๆ ทุกย่างก้าวที่เราจากมา จากนั้นไม่นานเราก็เห็นรถกู้ชีพฉุกเฉินและรถตำรวจแล่นผ่านอย่างรวดเร็วทางกระจกร้านกาแฟ คนตรงหน้าผมตั้งหน้าตั้งตาเขมือบเค้กให้หายอยากสมกับที่รอคอย ส่วนผมได้แต่เหม่อลอยสงสัย อเมริกาโนร้อนตรงหน้าเย็นชืดหมดแล้ว
สาเหตุการตาย, ความรัก ผมส่งเสียงบอกความจริงแทนเขาได้เท่านั้นเอง
ถึงเป็นงานสั้นๆ แต่ความรู้สึกที่จุอยู่ในนี้มากเหลือเกิน โดยเฉพาะในคำตามผู้เขียน ทำให้นึกได้ว่านักเขียนนี่เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่เหงาจริงๆ นะคะ งานเขียนเป็นงานที่ทำคนเดียว แล้วก็คิดแล้วคิดอีกคนเดียวว่าไม่ดีพอเสียที สุดท้ายแล้วก็ไม่รู้อีกว่าที่ต้องทำให้ดีพอคือดีพอสำหรับใครด้วยซ้ำ จนที่สุดก็พบว่ามันดีได้เท่านี้แล้วก็ปวดใจอยู่คนเดียวอีกต่างหาก แต่ก็ยังทำต่อไปทั้งที่รักมันนั่นแหละ ดูเป็น toxic relationship ที่พาตัวเองออกมาไม่ได้
แต่คำว่าพี่น้องร่วมอุทรและสหายร่วมศึกที่คุณเขาพูดก็ทำให้ความเศร้านั้นจางลงไปบ้าง เป็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป
ขอบคุณที่เขียนนะคะ