disclaimers: this is purely fictional; characters, places, and incidents have nothing to do with real persons outside the fictional context. please read carefully.
"จอห์นนี่"
ปกติแล้วเขาจะเรียกผมเช่นนั้น เหมือนวันแรกที่เขายื่นนามบัตรสีขาวซึ่งมีตัวอักษรสามกลุ่มก้อนมาให้ จอง แจ ฮยอน หรือ "เรียกผมว่าเจย์ก็ได้" กล่าวเสริมเพราะอาจเห็นว่าผมมาจากอเมริกาและน่าจะลิ้นแข็งหรือหูไม่กระดิกกับภาษาของพ่อแม่ ผมสงสัยว่าเพื่อนของเพื่อนที่แนะนำสถาปนิกคนนี้มาให้คงไม่ได้บอกข้อมูลของผมมากไปกว่า มีนักแต่งเพลงชาวอเมริกันกำลังหาคนมารีโนเวทบ้านเก่ากลางโซล และเพราะผมเป็นคนประเภทไม่ยอมหลบตาให้คนแปลกหน้า จึงทันสังเกตว่าใบหน้าสลักเสลาแต่เรียบนิ่งเหมือนหินอ่อนฉายแววประหลาดใจอยู่แวบหนึ่งหลังจากเขาเห็นหน้าผม แต่ภายในพริบตาเดียว จองแจฮยอนก็สับเปลี่ยนหน้ากากใบเดิมกลับมาได้ดั่งใจ อาจเป็นเพราะลักยิ้มบนแก้มขวากระมัง เขาใช้ภาษาอังกฤษกับผมอย่างไม่ขัดเขิน ไม่ละลาบละล้วงหรือทึกทักเป็นอย่างอื่น ผมไม่มีเหตุผลอะไรให้ขัดความตั้งใจของเขา
/
"จอห์นนี่"
เขาเรียกผมเช่นนั้นในยามขอความเห็น "จอห์นนี่ คุณคิดว่าไง" พลางหันหน้าจอแล็ปท็อปให้ดูแบบร่างและภาพจำลองของบ้านโบราณที่กำลังอยู่กึ่งกลางของการเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่น ผมบอกให้สถาปนิกจองแจฮยอนเก็บโครงสร้างเดิมของบ้านไว้ให้มากที่สุดแล้วค่อยหาทางนำความสะดวกสบายในการดำรงชีพสมัยใหม่สอดแทรกเข้าไปให้กลมกลืน ไม่ว่าจะส่วนซักรีดหรือห้องทำงานที่เต็มไปด้วยเครื่องดนตรีของผมล้วนต้องถูกโอบกอดใต้คานไม้และเสาซุงที่เก่าแก่กว่าปู่ย่าผู้ยกบ้านหลังนี้เป็นมรดกให้หลานชายที่อยู่โพ้นทะเล เขารับคำขอของผมโดยไม่เคยอิดออดราวกับเห็นว่ามันเป็นความท้าทาย นัยน์ตาสีเข้มวาวโรจน์เยี่ยงคนเสพติดงานเพื่อผลักคืนวันไปข้างหน้า มันไม่ค่อยมีเสน่ห์เท่าใดนักเมื่อเราเห็นมันอยู่บนหน้าตัวเอง เหมือนคืนแล้วคืนเล่าที่ผมเห็นมันสะท้อนอยู่บนกระจกของอพาร์ตเมนต์ที่กั้นผมกับพื้นคอนกรีตเป็นระยะ 50 เมตร แต่เมื่อสีหน้าและแววตานั้นอยู่บนใบหน้าอื่น บนใบหน้าของจองแจฮยอน การลอบมองเขาง่วนอยู่กับตลับเมตรและก้ม ๆ เงย ๆ เหมือนแมวกระโดดผลุบจากตรงโน้นไปตรงนี้ทำให้ผมนึกฉงน จะเคยมีใครคิดว่าผมมีเสน่ห์เวลาทำงานจนหลงลืมทุกสิ่งไปสิ้นบ้างหรือไม่ กำไลเงินของสถาปนิกหนุ่มขยับไหวไปมาบนข้อมือยามเขาหยิบจับและเว้นวาง ผมได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งล่องหนจนทำให้ต้องสะบัดศีรษะไล่ฝันกลางวันนั้นออกไป จังหวะที่เราเคลื่อนไหวสอดคล้องกันพอดี
/
"จอห์นนี่"
ท้ายเสียงของเขาไม่ได้ตวัดสูงเป็นคำถามอย่างที่บริบทแวดล้อมชี้นำ ตลอดหลายเดือนที่พบกันในบ้านที่ค่อย ๆ ขัดคราบไคลของกาลเวลาออกและผลัดผ้าผ่อนให้สมยุคสมัย ผมไม่เคยเห็นขอบเขตของอารมณ์ที่กว้างขวางมากไปกว่านิ่งเฉย (ปกติ) ตั้งอกตั้งใจ (ริมฝีปากที่ดูนุ่มนิ่มยื่นออกมาอย่างไม่รู้ตัวครู่หนึ่ง) และพึงพอใจ (เม้มปากพร้อมผงกศีรษะให้ตัวเอง) บนใบหน้าขาวผ่องดุจกระเบื้องเคลือบนั้นเลย ผมเพิ่งวางสายจากแม่ แน่ใจว่าถ้อยคำภาษาเกาหลีเมื่อครู่นี้ได้หลั่งไหลเข้าสองหูของจองแจฮยอนอย่างแจ่มแจ้ง ในชีวิตประจำวันบางครั้งผมก็ทำตัวไม่ถูกเวลาไม่เข้าใจประโยคซับซ้อนหรือคำใหม่ ๆ ที่เพื่อนพูด บางครั้งก็เขินอายเวลานึกคำที่ต้องการไม่ออกและไม่มั่นใจว่าสำเนียงของตัวเองถูกถิ่นที่หรือไม่ แต่เสียงจากปลายสายชมเชยว่าผมพูดจาคล่องขึ้นหลังจากภาษาของครอบครัวได้โอกาสออกจากกรงขังแล้วหวนคืนมายังแผ่นดินเกิด ผมไม่รู้ว่าสถาปนิกหนุ่มคนนี้จะคิดเช่นไร ภาษาอังกฤษของเขาดีกว่าภาษาเกาหลีของผม ไม่มีวันผิดที่ผิดทางไปกว่าคนที่พกพาประเทศแห่งนี้ติดตัวไปทุกหนทุกแห่ง แต่กลับรู้สึกแปลกหน้าบนแผ่นดินประเทศนั้นได้
ทว่าจองแจฮยอนไม่ได้กล่าวอะไรถึงเรื่องนั้น เขาเก็บแล็ปท็อปลงกระเป๋าแล้วบอกว่าพบกันใหม่ในวันจันทร์ ขณะนี้บรรดาช่างกำลังอยู่ในขั้นตอนของการเก็บงาน เขาจะมาตรวจดูความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย ผมเก็บถ้วยกาแฟร้อนที่มีชื่อเจย์เขียนด้วยปากกามาร์กเกอร์สีดำลงถังขยะ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยลืมนำแก้วของตัวเองไปทิ้งหลังดื่มเสร็จ ผมมัวแต่สนใจเรื่องนี้จนลืมไปว่าเมื่อครู่เขาพูดภาษาอะไร
/
"จอห์นนี่"
ในที่สุดผมก็เห็นเขาขมวดคิ้วเป็นครั้งแรก จองแจฮยอนที่พบกับผมในสถานที่ไม่คาดฝัน ผมยังไม่ทันดื่มสักช็อตเดียวก็รู้สึกว่าแสงไฟสีชมพูม่วงที่ตกกระทบผิวขาวซีดของสถาปนิกนั้นแสนวาบหวามเสียแล้ว สองเดือนหลังจากเขาส่งมอบบ้านหลังใหม่ให้ผมอย่างหมดจด ไม่มีแม้แต่รอยปริแตกหรือตำหนิให้โทรหาและตามเขากลับมาด้วยเหตุผลเล็กน้อยที่สุด เราไม่ได้เจอกันอีกเลยในมหานครแห่งนี้ ไม่ว่าจะตามร้านกาแฟ ร้านหนังสือ ร้านแผ่นเสียง พิพิธภัณฑ์ หรือแม้แต่ศูนย์วัฒนธรรมต่าง ๆ ที่พรมแดนของเราน่าจะมาบรรจบกันได้ จะเหลือก็เพียงบาร์ที่ผมเพิ่งค้นเจอในเว็บพอร์ทัลเมื่อชั่วโมงก่อนและรีบร้อนมาเพราะความเงียบนั้นเกินทานทน จองแจฮยอนกำลังเดินออกมาจากที่นั่น ส่วนผมกำลังเข้าไป
คีย์เวิร์ดที่ผมใช้ค้นหาคือ gay, bar และ seoul
คืนนั้นผมไม่ทันได้เห็นข้างในบาร์แห่งนั้น ส่วนจองแจฮยอนไม่ได้กลับไปยังบ้านของเขา
/
"จอห์นนี่"
เขาถามว่า "ทำไมสิ่งที่คล้ายจะเป็นชื่อเล่นถึงได้ยาวกว่าชื่อจริง ถึงจะแค่พยางค์เดียว" ในเช้าวันถัดมา ผมกำลังจะผล็อยหลับหลังจากได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศส่งเสียงฮัมต่ำ ๆ เหมือนสัตว์ใหญ่ส่งคลื่นความถี่ให้พวกพ้องอยู่พักใหญ่ แม้เสียงหอบหายใจจะสงบลง แต่เหงื่อที่ผุดโซมกายหลังกิจกรรมออกกำลังก่อนหน้านั้นยังไม่ทันระเหยหายดี ผมเอียงหน้าไปหาแจฮยอนผู้เหม่อมองเพดานไม้ที่คานแต่ละท่อนสอดประสานกันพอดี ต่างจากแข้งขาของเราที่เกาะเกี่ยวกันไร้ระเบียบอยู่เบื้องล่าง
"คุณคิดถึงฟังก์ชันมากกว่าอีกแล้ว" ผมยิ้ม น่าจะเหมือนคนเมามายเพราะฮอร์โมนความสุขหลั่งรินทั่วทุกอณูกายมากเกินไป "เหมือนที่คุณให้ผมเรียกเจย์ตั้งแต่แรก"
เขาส่งเสียงตอบรับในลำคอเบา ๆ เหมือนไม่มีอะไรคัดค้าน
"ผมมีชื่อเกาหลีนะ" ผมพลิกตัว เท้าแขนข้างหนึ่งบนเตียง ส่วนอีกข้างยกมือขึ้นเพื่อลากปลายนิ้วไปบนหน้าท้องที่แทบจะไร้ไขมันส่วนเกินของเขา "ซอ ยอง โฮ" นั่นน่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมใช้ตัวอักษรที่แม่สอนเขียนเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ที่ผ่านมาผมฝึกลากเส้นมันในความทรงจำเพื่อไม่ให้หลงลืม แต่ไม่เคยปลดปล่อยมันออกมาสู่โลกภายนอก
"และในความคิดของผม คุณไม่เคยเป็นเจย์เลย" ผมสารภาพ "ไม่รู้ทำไม จองแจฮยอน ผมอยากเรียกคุณแบบนี้แต่แรก แต่ถ้าคุณยืนกรานจะให้เรียกเจย์ ผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจากเก็บชื่อนั้นไว้เรียกต่อในหัวตัวเอง"
แจฮยอนพลิกกลับมาคร่อมกาย เลียนแบบท่าทางของผมเมื่อครู่นี้ทว่าใกล้ชิดกว่ากันมาก นิ้วมือของเขาชิงลากไปบนหน้าท้องของผมบ้าง สัมผัสบางเบาและเย้ายวนเสียจนต่อให้ผมรู้จักตัวอักษรที่เขาเขียนก็คงยากประคองสติให้คิดอ่านออก ผมสารภาพอีกครั้งว่าจดจำชื่อตนเองได้ก็เพราะจดจำแบบอักษรได้ ไม่ใช่เพราะเก่งกาจการเขียนระดับอนุบาลแต่อย่างใด เขาหัวเราะหึ ปลายนิ้วยังคงวนเวียนอยู่บนผิวของผม ทั้งเส้นโค้งเว้าเหมือนหลังคาหน้าจั่ว เส้นตรงเหมือนเสา วงรีเหมือนหินที่เราโยนลงน้ำให้กระดอนไม่หยุด เส้นขนานเหมือนรางรถไฟ วงกลมเล็กจิ๋ว และขอบมุมหนึ่งของสี่เหลี่ยมที่ถูกเฉือนออกมาเพื่อรอวันประกอบเป็นสิ่งที่มีความหมาย
ริมฝีปากของเขาเคลื่อนตามนิ้วมือ จนกระทั่งผมครางออกมา — "จองแจฮยอน"
"ถูกต้อง" เขาตอบ
/
"จอห์น"
ในบางวัน ชื่อของผมจะถูกสลัดทิ้งจนเหลือพยางค์เดียว ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นทารกเปลือยเปล่าที่ชื่อเพิ่งถูกเขียนด้วยลายมือของพยาบาลเพื่อไม่ให้มีใครเผลอหยิบสลับตัว จองแจฮยอนเปลื้องมันออกเช่นเดียวกับที่ปลดเสื้อผ้าของผมออกจากตัวอย่างง่ายดาย ทุกครั้งที่เขาเอ่ยชื่อนั้นด้วยเสียงทุ้มต่ำที่บางครั้งก็แหบพร่าจนยากจะแยกออกจากลมหายใจหนักหน่วง ผมรู้สึกว่าชื่อที่แท้จริงแล้วไม่เคยสวมใส่ได้อย่างสนิทใจเลยสักครั้งฟังดูราวบทสวดของคนใกล้จมน้ำ เพียงแต่เปลี่ยนกระแสคลื่นที่โหมเรืออย่างแรงเป็นร่างกายของเขาที่กระแทกกระทั้นเข้ามาไม่หยุดหย่อน เราสองคนดำดิ่งลงใต้น้ำลึก ลมหายใจขาดห้วงเหมือนคนตายไปชั่วครู่ ผมเปล่งเสียงเรียกชื่อของเขาอย่างกระท่อนกระแท่น ส่วนเขาปลดปล่อยอารมณ์ออกมากับเสียงคำรามและอย่างอื่นที่ทำให้ร่างกายเราสองคนเหนียวเหนอะ บางครั้งเขาไม่ได้ลุกไปทำความสะอาดร่างกายของตัวเองแล้วกลับมาดูแลผมในทันที แต่เหมือนกับรอให้เราหายใจหายคอคล่องอีกครั้ง ให้ฮอร์โมนและความต้องการไหลเวียนกลับมาในกระแสประสาท เพื่อที่เขาจะได้จูบผมราวกับคนอดอยากที่เพิ่งถูกคลื่นซัดมาติดเกาะ ราวกับว่าเมื่อครู่นี้เซ็กส์ของเราไม่ได้มีอยู่จริง กล้ามเนื้อและข้อต่อผมกรีดร้องประท้วงต่อความเมื่อยล้าจนเกือบจะเจ็บปวด แต่ตัวผมนั้นกรีดร้องด้วยความสุขสม
จองแจฮยอนบอกว่าไม่จำเป็นต้องเรียกนามสกุลของเขาทุกครั้งที่เอ่ยชื่อ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกครูเรียกเข้าไปหาหลังจบคาบเรียน แม้ว่าผมจะชอบจังหวะจะโคนและสัมผัสของมันยามรูปปากเคลื่อนไหวก็ตาม เขาสอนว่าเราสามารถเติมเสียงต่อท้ายชื่อจริงของใครต่อใครเพื่อแสดงความเอ็นดูและสนิทสนมได้ โดยเฉพาะในเมื่อผมอายุมากกว่าเขา "ด้วยจำนวนพยางค์เท่าเดิม ทีนี้เราก็มีคำลงท้ายชื่อเล่นแบบเดียวกันแล้ว" เขาว่า หลังจากผมลองเรียกดู ลักยิ้มก็ปรากฏข้างแก้มของเขาเหมือนได้เห็นดอกไม้ผลิบานต่อหน้าต่อตา ผมเก็บสีหน้าที่แปรเปลี่ยนด้วยอารมณ์หลากหลายเหล่านั้นไว้ในความทรงจำ ไกลห่างจากความเย็นชาของนามบัตรสีขาวใบนั้น ถึงผมจะเข้าใจดีว่าเหตุใดเจย์ถึงเว้นระยะห่างที่เหมาะสมกับผมและโลกใบนี้ในตอนแรกก็ตาม
/
อยู่มาวันหนึ่ง จองแจฮยอนบอกว่าจริง ๆ แล้วชื่อของเขาไม่ใช่ชื่อจริง
"เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง คนที่ดีกว่า เก่งกว่าทุกเรื่อง เขาชื่อเดียวกับผมพอดีเลยน่ะ" เขาเล่า "เวลาใครเรียกชื่อนั้น ทุกคนก็นึกถึงเขาเป็นคนแรกเสมอ"
"โธ่เอ๋ย" ผมส่งเสียงเห็นใจที่ทำให้อกของเขาสะเทือนและไหล่ไหว "นายก็เลยเลือกชื่อใหม่ให้ตัวเอง เพราะแบบนั้นมันฟังก์ชันมากกว่าสินะ"
เขาดูฉงนที่ผมอ่านเกมขาดขนาดนั้น ส่วนผมคิดว่าเขาเองก็ไม่ต้องการให้สงสารหรือเห็นใจเป็นพิเศษ จองแจฮยอนอยากอวดด้วยซ้ำไปว่าเขาตัดสินใจเช่นนั้นด้วยตัวเอง อาจจะเป็นความทระนงแบบเด็กหนุ่มไปเสียหน่อย แต่ผมอดเอ็นดูไม่ได้เมื่อเงาจากอดีตของชายหนุ่มพาดผ่านมาประทับให้เห็นชั่วครู่หนึ่ง เหมือนตอนที่เขาเล่นเกมคอมพิวเตอร์หรือเต้นไปกับเพลงระหว่างล้างจาน ก่อนที่วิญญาณของจองแจฮยอน, เจย์, สถาปนิกอิสระจะครอบครองเรือนกายเพื่อให้กลมกลืนไปกับโลก แต่โดดเด่นและเป็นมืออาชีพมากพอให้ตัวเขาและผลงานได้ไปอยู่บนหน้านิตยสารเล่มดังของวงการ ผมเพิ่งกลับมาเขียนเพลงอีกครั้ง รู้สึกทึ่งกับศิลปะสับเปลี่ยนหน้ากากที่อีกฝ่ายมี มันเป็นทักษะที่จำเป็นในโลกที่เขาอยู่ ที่เราอยู่ เขาคงอยากบอกผมเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน เขาก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าผมไม่ได้ถูกค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ดึงตัวมาทำงานที่นี่ ทว่ากำลังหนีต่างหาก
"ไม่เป็นไรหรอก" เขากอดผม หลังความเงียบนานสองนาน ผมไม่แน่ใจนักว่ากำลังปลอบโยนสิ่งใด
เขาลากนิ้วไปบนท่อนแขนของผม ตัวอักษรประกอบกันเป็นคำ ผมหลับตาเพื่ออ่านมันจากสัมผัสก่อนจะเปล่งเสียงออกมา ชื่อนั้นส่งความร้อนวาบไปทั่วร่างเหมือนผมกำลังนัดพบชู้รัก แต่จองแจฮยอนบอกว่ามันทำให้เขานึกถึงบ้านที่ไม่ได้กลับไปนาน บ้านที่ต่อให้เป็นสถาปนิกมือหนึ่งก็ไม่อาจสร้างขึ้นมาใหม่ได้
ผมไม่เคยเรียกชื่อนั้นอีกเลย
/
อยู่มาวันหนึ่ง ผมเรียกเขาด้วยคำอื่น ไม่ใช่จองแจฮยอน แจฮยอน เจย์ หรือแจฮยอนนี่ — ผมเรียกเขาแบบเดียวกับที่แม่เรียกพ่อและพ่อเรียกแม่ ผมเรียกเขาต่อหน้าท่ามกลางลูกค้าที่ต่อคิวในร้านกาแฟ บนทางเดินที่คนพลุกพล่านเวลามือของเราเฉียดกัน และ ณ มุมหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ที่เรากุมมือกันหน้างานศิลปะอันโอฬารได้ชั่วครู่ แต่ไม่มีที่ใดที่จะเปล่งเสียงได้ชัดถ้อยชัดคำเท่าบนเตียงที่ยับยู่ยี่ในยามดึกและยามเช้า ตอนแรกผมหวาดกลัวเหลือทน มากกว่าสายตาและเสียงซุบซิบนินทาของโลกนอกห้องนอนของเรา ผมกลัวว่าจะได้รับความเงียบงันและแผ่นหลังที่เคลื่อนห่างออกไปเป็นคำตอบ
ผมเรียกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนต้องการย้ำให้แน่ใจ
ที่รัก
ความรักของผม
เขาขานรับ
และโลกของเราก็โดดเดี่ยวน้อยลงนิดหนึ่ง เสียงดังขึ้นนิดหนึ่ง สว่างไสวขึ้นนิดหนึ่ง
ท่ามกลางพวกเขา
fin.
inspired by จอห์น จอห์นนี่ ซอยองโฮ เจย์ จองแจฮยอน และจองยุนโอ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in