trigger warning: mention/discussion of death and passive death wish
บันทึกของยินดี, 27, บาร์เทนเดอร์/เจ้าของบาร์
ว่าด้วยมหาสมุทร, 27, นักเขียนสมัครเล่น/คนว่างงาน/เพื่อนร่วมบ้าน
1. หลังจากนั่ง ๆ นอน ๆ ไม่เปิดคอมพิวเตอร์เลยเป็นเวลาหลายวัน จู่ ๆ มันก็เอ่ยขึ้นมาว่าจะรวบรวมงานที่เคยเขียนไว้มาทำหนังสืองานศพ หนังสืองานศพอะไร ผมถาม มันมองผมเหมือนเป็นคนโง่อยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบว่า "หนังสือที่ระลึกในงานศพไง ใครมาไหว้เราก็แจก" ไอ้ผมก็นึกว่าเขาแจกกันแต่หนังสือสวดมนต์หรือหนังสือธรรมะเย็บมุงหลังคาเสียอีก ไม่รู้ว่าอะไรดลใจหรือใครมาเข้าฝันมันให้ทำแบบนี้ แต่มหาสมุทรบอกผมว่าไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันไม่อยากทิ้งอะไรไว้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้วกลายเป็นวิญญาณมีห่วง ที่สำคัญคือไม่อยากเห็นผมเลือกเอางานชิ้นห่วยแตกไปพิมพ์หลังมันตายแล้วรวยอยู่คนเดียว ให้ตายเถอะนะ โคตรปากดีเลยจริง ๆ
2. เท่านั้นยังไม่พอ มันยังยื่นสมุดเปล่าเล่มเล็ก ๆ ให้ผม เป็นยี่ห้อญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องมินิมอลทุกอย่างยกเว้นราคา ไอ้นี่มันชอบซื้อเครื่องเขียนเจ้านี้มาตุนไว้ครั้งละนิดละหน่อยตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว "เอาไว้ใช้เขียน commentary ให้กูแล้วกัน" มันบอก ผมตามความคิดมันไม่ทันอีกตามเคย จนมันต้องอธิบายว่าเหมือนเขียนสมุดเฟรนด์ชิปให้เพื่อนในโอกาสเรียนจบแล้วแยกย้ายกันไป เรื่องนั้นน่ะผมรู้ แต่แค่สงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกับโครงการหนังสืองานศพของมันด้วย "มันเป็นคอนเซ็ปต์" มหาสมุทรว่า "คิดซะว่ากูกำลังแกรดจากโลกใบนี้ก็ได้ แล้วก็ไม่มีใครจะเขียนถึงช่วงชีวิตนี้ได้นอกจากมึงแล้วยินดี"
3. ผมไม่เห็นมันกระตือรือร้นแบบนี้มานานแล้ว เวลาคนเอื่อยเฉื่อยอย่างมหาสมุทรตั้งใจทำอะไรสักอย่าง นอกจากจะดูเอาการเอางานจนหล่อแล้ว มันยังกลายเป็นคนอารมณ์ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่เหลือเค้าคนซังกะตายที่ใส่ชุดนอนเน่าลงมาเอายาคูลท์ปีโป้ปั่นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา หลังจากวันนั้นมันก็นั่งหน้าคอมพิวเตอร์เกือบตลอดทั้งวัน ผมไม่ได้ยินเสียงรัวคีย์บอร์ดเหมือนเคย เลยเดาเอาว่ามันน่าจะอ่านสิ่งที่ตัวเองเคยเขียนไว้มากกว่า นาน ๆ ทีถึงเอ่ยขึ้นมาทำนองว่า "ดีจัง" หรือ "สนุกแฮะ เมื่อก่อนเขียนได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย" แต่แทนที่จะคร่ำครวญให้แก่อดีตอันรุ่งโรจน์ มันกลับยิ้มหน้าบานแถมยังฮัมเพลงซะด้วย ผมเดาว่านี่คงคล้าย ๆ เวลาเราเก็บบ้านแล้วเจอของที่ลืมไปแล้วว่ามี พอได้เปลี่ยนมุมมองเป็นคนค้นพบมันอีกครั้งก็ไม่ต่างกับได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่เอี่ยม ของมันก็คือจากนักเขียนมาเป็นนักอ่านของตัวเอง ก็ดีใจอยู่นะที่มันชอบ ได้แต่หวังว่าใครสักคนที่เคยอ่าน กำลังอ่าน หรือจะอ่านสิ่งที่มันเขียน จะรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน
4. สารภาพตรงนี้เลย ผมไม่เคยอ่านสิ่งที่ไอ้สมุทรเขียนมาก่อน ไม่รู้สิ ทั้ง ๆ ที่เราสนิทกันมาตั้งแต่ประถม รู้ไส้รู้พุงกันหมดว่าใครเป็นยังไง แต่การอ่านถ้อยคำที่ส่งตรงมาจากสมองและสองมือของมันกลับให้ความรู้สึกใกล้ชิดยิ่งกว่าตอนเปลี่ยนเสื้อด้วยกันหลังเล่นบอลหรือต่อประโยคที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดซะอีก เหมือนไปแง้มประตูดูช่วงเวลาลับสุดยอดที่ไม่เคยเผยที่ไหนมาก่อน หรือได้ยินคำพูดที่มันไม่เคยเอ่ยให้ฟังในชีวิตจริง ผมอาจผิดเองที่แยกคนเขียนจากสิ่งที่เขียนไม่ออก แต่ลึก ๆ แล้วผมน่าจะกลัวมากกว่า กลัวว่าอาจต้องละอายที่จริง ๆ แล้วแทบไม่รู้จักเพื่อนสนิทของตัวเองเลย (ต้องมีสักวันที่ได้อ่าน, ผมเชื่อ, จะอ่านให้ได้ก่อนทั้งหมดนั่นจะกลายเป็นหนังสืองานศพแน่นอน)
5. เมื่อคืนตอนช่วยกันเก็บบาร์ อยู่ ๆ ไอ้สมุทรก็ยื่นหน้าออกมาระหว่างขาเกาอี้ที่ถูกยกหงายไว้บนโต๊ะ แล้วถามว่า "เราต้องสูญเสียอะไรไประหว่างทางเพื่อเติบโตหรือเปล่า" เล่นเอาผมงงตาแตก ใช่ว่ามันไม่เคยชวนคุยอะไรพวกนี้หรอก สมัยเรียนมหาลัยจนกระทั่งทำร้านนี้ เราชอบมีบทสนทนายามดึกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยกันประจำ แต่มันก็ค่อย ๆ กลายเป็นเรื่องสัพเพเหระไปตามกาลเวลา อย่างเช่นวันนี้เจอลูกค้าแปลก ๆ ยังไงหรือมีใครเล่าเรื่องน่าสนใจให้ผมฟังบ้าง แต่ไม่ว่ายังไง คนที่จะถามอะไรทำนองนี้กับผมถ้าไม่ใช่คนเมาก็มีแต่มันเท่านั้นแหละ พอเห็นผมไม่ตอบ มันก็อธิบายต่อว่า "เหมือนจรวดที่ปลดส่วนต่าง ๆ ทิ้งเพื่อให้มวลเบาลงแล้วเร็วพอจะเข้าสู่วงโคจรได้ไง" พูดไม่พูดเปล่า มันทำไม้ทำมือเหมือนแสดงการปล่อยจรวดของสเปซเอ็กซ์ที่เคยนั่งดูด้วยกัน ผมล่ะชอบเวลามันทำท่าทางประกอบแบบนี้เหลือเกิน
"พอเวลาผ่านไปก็ต้องเสียอะไรสักอย่างแหละ แต่ระหว่างทางก็ได้อะไรกลับมาเหมือนกัน ถึงจะไม่ได้เป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันตลอดก็เถอะ ก็ชีวิตมันคือการเลือกนี่นา ไม่รู้หรอกว่าอีกทางมันจะทำให้เราเจออะไร จะดีกว่าจริงไหม" ผมตอบมันไปแบบนั้น รู้สึกเขินนิดหน่อยที่พูดจาเหมือนออกมาจากหนังสือคำคม
มันส่งเสียงอืมแล้วอมยิ้มนิด ๆ "The Road Not Taken จริงด้วย" มันว่า ก่อนจะก้มลงไปยกเก้าอี้ต่อ
"แต่การเติบโตอาจจะเหมือนกฎการอนุรักษ์พลังงานมากกว่ามั้ง ที่ว่าพลังงานในระบบหนึ่งมันไม่ได้สูญหายหรือโดนทำลายลงไปได้ แต่เปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบอื่น เราก็ยังเป็นเรานั่นแหละ อาจจะแค่รู้สึกไม่เหมือนเดิมเพราะมีอะไรมาทำปฏิกิริยาด้วย จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่เรื่องที่เจอในชีวิต แบบนี้ฟังดูเข้าท่ากว่าไหมวะ" คือผมก็ไม่ได้แม่นฟิสิกส์หรอก แต่เรื่องนี้ดูเมคเซนส์สำหรับผมก็เลยพอจำได้
"ฟังดูปลอบประโลมดีจัง" สมุทรออกความเห็น "แต่เพราะชีวิตมันเดินไปข้างหน้าแบบเส้นตรง เราเลยมีแค่อดีตไว้อ้างอิงกับปัจจุบัน พอมีการเปรียบเทียบมันก็เป็นไบนารี่ ไม่ดีกว่าก็แย่กว่า ที่กูรู้สึกแย่เพราะว่ากูสูญเสียสิ่งที่เคยมีไปแล้ว สายตาที่มองโลกอีกแบบนึง ถ้ากฎการอนุรักษ์พลังงานใช้กับชีวิตได้จริง ตอนนี้กูก็ยังคิดไม่ออกว่าสิ่งที่ได้กลับมาคืออะไร มันใช้ได้จริงเหรอ ปัจจุบันมันบอกว่ายังไม่ได้ว่ะ"
ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี บางครั้งบทสนทนาของเราจะมาถึงทางตันเมื่อผมรู้ตัวว่าไม่มีทางเข้าใจความปั่นป่วนของมหาสมุทรได้ (จะว่าไป ชื่อของมันก็ช่างเข้ากับตัวอย่างร้ายกาจ) ความไม่เข้าใจ หรือจริง ๆ แล้วก็คือการไม่สามารถรับรู้ความเจ็บปวดได้ในระดับเดียวกัน ทำให้ผมไม่อยากออกความเห็นโดยไม่คิดหรือสักแต่ว่าปลอบโยน แม้ว่าซอกหลืบหนึ่งของจิตใจจะยังสงสัยว่าการฟังอยู่เฉย ๆ นั้นดีที่สุดแล้วจริงเหรอ ผมไม่รู้เลยว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไงเพราะนั่นเป็นทางที่ไม่ได้เลือก คำพูดผมนี่มันเข้าตัวเองชัด ๆ เลย
"กินยาคูลท์ปีโป้ปั่นก่อนนอนมั้ย" — สุดท้ายผมก็ทำได้แค่นี้แหละ
6. มหาสมุทรบอกว่ามันจะจ้างคนวาดปกหนังสืองานศพ ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าเขาออกแบบปกหนังสือประเภทนี้กันยังไง ภาพแรกที่ผุดขึ้นมาในใจไม่พ้นปกสีเข้ม ๆ ทะมึน ๆ มีรูปผู้ล่วงลับในกรอบรูปไข่อยู่ตรงกลาง ใช้ฟอนต์ภาษาไทยหัวเหลี่ยมหางยาวเขียนคำว่า "ด้วยอาลัย" อะไรทำนองนั้น ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่สไตล์มันหรอก แต่ใครจะรู้ว่ามันอาจอยากคืนสู่สามัญด้วยดีไซน์คลาสสิกแบบนั้นก็ได้ จริง ๆ แล้วผมเพิ่งนึกออกเองว่าไอ้สมุทรมันไม่ค่อยชอบคอนเซ็ปต์ของงานศพ โดยเฉพาะกรณีของตัวเอง ("ถ้ากูเป็นผีอยู่ในงานแล้วเจอคนมานั่งพูดเรื่องกูอย่างนั้นอย่างนี้ กูขอตายอีกรอบดีกว่า" มันเคยบอก) ดังนั้นมันอาจจะใช้โอกาสนี้กวนตีนทุกคนที่ไปงานมันก็ได้ พอไอ้สมุทรถามผมว่าอยากเห็นบรีฟปกมันไหม ผมเลยบอกว่าไม่ล่ะ เอาไว้รอดูตอนรูปเล่มเสร็จแล้วดีกว่า
"ก็จริง ยังไงยินดีก็ต้องเป็นธุระจัดพิมพ์ให้อยู่แล้วนี่นา" มันบอก
"กูอาจตายก่อนก็ได้ไหม"
"งั้นก็ให้อันดับสองเป็นคนจัดการ แต่เขาจะเข้าใจกูไหมวะ มึงอย่าตายก่อนได้ไหมเนี่ย"
"ไหนบอกเองว่าไม่มีใครรู้ไงวะ ถึงได้รีบทำหนังสือนี่"
"ก็เออสิ แต่กูบรีฟมึงไว้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวให้อีเมลเซลส์โรงพิมพ์ไว้เลย ไม่ยาก"
"ไอ้ควาย เอาค่าจ้างมาเลย"
นั่นน่าจะเป็นครั้งแรกในเวลานานเท่าไรผมก็จำไม่ได้ แต่มหาสมุทรหัวเราะออกมาในแบบที่ทำให้ผมหัวเราะตามไปด้วย ผมดีใจแต่ก็เศร้า ก่อนหน้านี้ภาพเขาหัวเราะทำให้ผมอยากร้องไห้เสมอ
7. บทสนทนาระหว่างสั่งไก่ทอดเกาหลีมากินเป็นมื้อเที่ยง/เช้า
"ยินดี มึงว่าอะไรคือ legacy ของตัวเอง"
"อะไรวะ ยังไม่ได้คิดหรอก"
"ที่อยากให้เป็นก็ได้ อย่างร้านนี้"
"เหมือนที่พี่ส่งต่อให้กูน่ะนะ เอาจริง ๆ ไม่ได้คิดว่าจะเป็นมรดกอะไรเลย นัยยะของ legacy นี่มันต้องดีงามพร้อมมอบให้คนรุ่นต่อไปรักษางี้เปล่า ที่นี่คงได้แต่เป็นมรดกในทางกฎหมายแหละ ดีไม่ดีเดี๋ยวได้โดนกว้านซื้อที่ไปทำคอนโดด้วยซ้ำ"
"เอาที่มึงอยากทิ้งไว้สิ กูยังไม่ได้คำตอบเลย"
"อะไรดีวะ งั้นก็สมุดจดสูตรชงเหล้าของกู เดี๋ยวกูจะซุกเอาไว้มุมหนึ่งของร้าน รอผู้ที่คู่ควรมาค้นพบหลังผ่านไปห้าสิบปี ไม่แน่ว่ามันอาจเปลี่ยนชีวิตเขาเลยนะเว้ย"
"ซึ่งคนที่พบก็คือคนที่จะมาทุบตึกเอาไปทำคอนโด"
"พอเขารู้ว่าที่นี่เป็นอะไรมาก่อน มีคุณค่าแค่ไหน ก็เลยยืนหยัดต่อต้านการสร้างคอนโดตรงนี้แล้วฟื้นฟูบาร์กูขึ้นมาใหม่ โคตรจะเป็นหนัง inspirational เลยว่ะ"
"ตอนจบมีภาพมึงเป็นวิญญาณโปร่งแสงยืนมองด้วยความภาคภูมิใจ"
"เออ มรดกตกทอดของกูคือสู้กับนายทุนที่มารุกรานชุมชนมั้ง"
ไอ้สมุทรหัวเราะจนสำลักไก่เกือบตาย มันเป็นคนเส้นตื้น
"ว่าแต่มึงเถอะ อะไรคือ legacy ของมึง งานเขียนอยู่แล้วไหม"
"อันนั้นเรียกของที่ทิ้งไว้ข้างหลังมากกว่า เป็นแค่หลักฐานที่บอกว่าคนเขียนเคยมีตัวตนอยู่บนโลก อันที่จริงต่อให้กูตายไปแล้ว สิ่งที่สวยงามก็คือคนอ่านอาจจะไม่รู้เลยว่ากูตาย ถ้าไม่ได้เปิดดูในอีก 50 ปีข้างหน้าน่ะนะ"
"ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร งั้น legacy มึงจะเป็นอะไร"
"ไม่มีหรอก สักวันนึงพอกูตาย ลูกหลานไม่มี ญาติมิตรก็ไม่เหลือ ตอนนั้นคงไม่มีใครจำได้ว่ากูเคยมีตัวตน ถ้าไม่ใช่คนดังที่จะมีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์หรือมีคนสร้างอนุสาวรีย์ให้ ไม่สิ อนุสาวรีย์ยังโดนลากไปโยนทิ้งหรือยกหายไปไหนไม่รู้ได้เลย ประวัติศาสตร์ก็มีคนพยายามลบอยู่ตลอด แถว ๆ นี้แหละ"
"อ้าว ไปเรื่องนั้นได้ไงเนี่ย"
"ที่จะบอกก็คือ กูไม่มีอะไรจะส่งต่อให้ใครหรอก สุดท้ายก็อยู่ที่คนอื่นนั่นแหละว่าจะรับของที่กูทิ้งไว้หรือจะมองผ่านไป กูไม่ได้ตั้งใจเอาไปยัดใส่มือใครอยู่แล้ว ยกเว้นหนังสืองานศพนะ อุตส่าห์ทำมาแจก"
"ทำไมต้องลงทุนแจกเป็นหนังสือด้วยวะ ไม่ใช่ถูก ๆ แจกยาดมยาหม่องเอาก็ได้"
"ผลงานชั่วชีวิตที่ไม่มีใครรักนอกจากกู ถ้ากูไม่พิมพ์แล้วใครจะพิมพ์วะ"
"กูพิมพ์ให้ก็ได้ ทุกเรื่องเลย"
"แบบนั้นกูดูน่าสงสารเกินไป ทำอย่างกับว่ามีเงินเยอะนักแหละ"
"ใครจะรู้ มันอาจดังจนกูรวยอย่างที่มึงว่าจริง ๆ ก็ได้"
"แล้วถ้าขายไม่ออกเลย"
"อย่างน้อยก็เอาไปชั่งกิโลขายได้วะ"
นักเขียนส่ายหน้าเพลีย ๆ ก่อนบอกว่า "ถ้างั้นก็ทำบุญส่งไก่ทอดให้กูเยอะ ๆ แล้วกัน"
8. มหาสมุทรบอกว่ามันรวบรวมงานเสร็จแล้ว ไว้เขียนอะไรเข้าท่าอีกก็อาจเอามาต่อท้ายเพราะไหน ๆ ก็แยกแต่ละส่วนของเนื้อหาตามปีที่ผลิต (ตอนแรกมันขอความเห็นว่าแบ่งตามธีมหรือแบ่งตามเวลาดี ผมคิดว่าถ้าจำแนกตามหัวข้อจะเหมือนหนังสือฮาวทูอย่างบอกไม่ถูก แต่การไล่ตามวันเวลาดูเข้ากับคอนเซ็ปต์การเดินทางของชีวิตดี คนอ่านจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในฐานะมนุษย์ของคนเขียน ผมพูดจาซะยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายมันบอกว่าเอาแบบนี้เพราะขี้เกียจเรียงเนื้อหาใหม่ เจริญเถอะ) จากนั้นก็เป็นเวลาของการบอกขั้นตอนและวิธีการจัดการ มันเขียนรหัสเข้าแล็ปท็อป โทรศัพท์มือถือ อีเมล บล็อกที่ลงงาน และโซเชียลมีเดียเอาไว้ ทิ้งรายชื่อคนที่ต้องติดต่อเพื่อแจ้งข่าว ตลอดจนบัญชีธนาคารและเอกสารราชการต่าง ๆ เสร็จสรรพ "รอบคอบไหมล่ะ" มันยักคิ้วให้ ก่อนจะโบกกระดาษแผ่นหนึ่งไหว ๆ แต่ไม่ยอมให้ดู "อันนี้พินัยกรรม เอาไว้เปิดเมื่อถึงเวลา" ทุกอย่างอยู่ในซองสีน้ำตาลที่มีปากกาเมจิกเขียนว่า in case i'm dead
เตรียมพร้อมอะไรขนาดนั้นวะ ผมคิด เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ เหรอ มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตแบบสบายใจเกินไปว่าจะไม่ตายตอนนี้ พรุ่งนี้ หรือเร็ว ๆ นี้ด้วยเหตุผลสุดคาดเดา (อย่างเช่นความซวย) ถ้าการจัดแจงทุกอย่างไว้ล่วงหน้าหมายความว่าไม่ต้องกังวลหลังจากตาย แบบนี้แสดงว่ามันทำใจได้แล้วถ้าต้องตายตอนนี้ใช่หรือเปล่า เรียบง่ายขนาดนั้นเลยน่ะเหรอ
9. ตอนดึกหลังจากปิดบาร์และเข้านอนแล้ว ผมลุกขึ้นมามองไอ้สมุทรที่นอนซุกอยู่ในผ้าห่มเหมือนก้อนครัวซองต์ไส้กรอก เหลือแต่ใบหน้าครึ่งบนโผล่พ้นออกมา ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า ผมยื่นมือออกไปบีบแก้มมันเบา ๆ จนมันรู้สึกตัวสะลึมสะลือขึ้นมา งึมงำถามว่า "ทำอะไร" ทั้งที่ลืมตาครึ่งเดียว
"พิสูจน์ว่ามึงไม่ใช่ผีมาหลอก" ผมตอบ
"แล้วใช่หรือเปล่า" มันย้อน
"ไม่รู้เหมือนกัน ผีแก้มนิ่มแบบนี้หรือเปล่าล่ะ"
"Hey, are you trying to flirt with me?"
ผมเอาตุ๊กตาบลัวฮัยโยนใส่มันที่ขำคิกคักจนตัวสั่น แทนที่มันจะนอนไม่หลับเพราะโดนปลุก แต่แป๊บเดียวก็ได้ยินเสียงกรนเบา ๆ แล้ว ผมต่างหากล่ะที่นอนไม่หลับแทบทั้งคืน
10. ตอนเช้าผมตื่นมาแล้วไม่เห็นมันนอนอุตุตรงที่เดิม เจอแต่โน้ตแปะบนตู้เย็นว่า "กลับบ้านนะ เดี๋ยวมา" ข้างหลังข้อความมีหัวใจหนึ่งดวง ผมถอนหายใจ หันไปมองโต๊ะทำงานที่เป็นระเบียบเรียบร้อยผิดธรรมชาติของมัน จากนั้นก็ไปเปิดตู้เสื้อผ้าดู มันเอาเสื้อผ้าไปสองชุดเห็นจะได้ เป้สะพายหลังใบย่อมหายไปจากที่แขวนบนกำแพง ผมเปิดโปรแกรมแชทแล้วพิมพ์ถามมันว่าตอนนี้ถึงบ้านหรือยัง ทำไมต้องทำตัวลึกลับด้วย มันตอบแค่ว่านึกอยากกลับปุบปับเฉย ๆ แต่ไม่อยากปลุกผม พร้อมส่งสติกเกอร์หมีทำมือมินิฮาร์ทกลับมาให้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงทำเป็นลืม ๆ ไป อีกวันสองวันมันก็กลับมาบ่นเรื่องที่บ้านให้ฟังแล้ว แต่คราวนี้จิตใจท่าทางจะเล่นตลกกับผม เหมือนเป็นการลงโทษที่ไม่รู้จักพูดอะไรตรง ๆ ในเวลาที่ควรพูด บรรยากาศอึมครึม ๆ บอกไม่ถูกถึงได้ปกคลุมไปทั่วเมื่อไม่มีมันอยู่ในบ้าน
11. อาทิตย์หนึ่งแล้วที่ไอ้สมุทรยังไม่กลับ ผมไม่อยากส่งข้อความไปหาบ่อยเพราะรู้ว่ามันไม่ค่อยได้กลับบ้าน อาจมีธุระจำเป็นที่บอกยากก็ได้ มันไม่ใช่คนประเภทคุยไปเรื่อยในแชทและผมก็ไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายอะไรต้องติดต่อมัน เพราะงั้นก็เลยปล่อยให้เป็นไปเหมือนที่เคย ไม่มีอะไรให้บ่นนอกจากดูแลบาร์คนเดียวนั้นเหนื่อยฉิบหาย (ถึงกับต้องหยุดพักเพิ่มอีกวันเพราะหลังเดี้ยง) หรือว่ามันถึงเวลาต้องจ้างพนักงานประจำสักที นั่นน่าจะเป็นหัวข้อให้ผมคุยกับมันในฐานะหุ้นส่วนได้มั้ง
12. จำลองแชทวันนี้
ยินดี: เป็นไงบ้าง
มหาสมุทร: ก็ดีนะ
ยินดี: ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม
มหาสมุทร: ไม่นะ
ยินดี: หรือว่าโกรธอะไรกู กูเผลอพูดหรือทำอะไรไม่ดีอีกหรือเปล่า
มหาสมุทร: ไม่มี ๆ ถามแปลกจัง
ยินดีกำลังพิมพ์...
ลบ
ยินดีส่งสติ๊กเกอร์
13. ตอนมหาสมุทรกลับมา ผมเข้าไปกอดมันแล้วน้ำตาก็ไหลเป็นสาย ถามโง่ ๆ ว่ามันไม่ได้หายไปเพื่อให้ผมซ้อมอยู่คนเดียวอย่างกะทันหันหรอกใช่ไหม "บ้าไปแล้ว" มันตอบ ลูบหัวผมป้อย ๆ เป็นการปลอบ "ถึงกูจะมี passive death wish เป็นบางครั้ง แต่ไม่ล้อเล่นอะไรอย่างนั้นกับมึงหรอก"
ผมเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ อยากจะขังตัวเองไว้ในนั้นตลอดไป จะได้ไม่ต้องออกมาสู้หน้ามันอีก ไอ้สมุทรเคยบอกผมตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่ามันหลงใหลในประเด็นความตาย แต่พอเห็นมันเตรียมอะไรพวกนี้ไว้เรียบร้อยชนิดที่จับต้องได้ ทุกสิ่งก็ดูจะข้ามเส้นนิยายหรือทฤษฎีมาหลอกหลอนผมทันที เพราะลึก ๆ แล้วผมกลัวมาตลอด กลัวว่าจะคว้ามันไม่ทัน กลัวว่ามันจะเสียใจเพราะคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ กลัวว่าใคร ๆ จะมองความทุกข์ทรมานและความรักของมันเป็นเรื่องไร้สาระ ว่าทำไมต้องทุ่มเทและคาดหวังกับสิ่งที่เป็นแค่งานอดิเรกขนาดนี้ ผมไม่สามารถหยั่งถึงความกลัวที่มหาสมุทรเผชิญมาตลอดแม้ไม่บอกตรง ๆ ได้ เพราะอย่างนั้นผมถึงกลัว ถ้ามันรู้ว่าผมคิดอย่างนี้ มันอาจโทษตัวเองอีกว่าเป็นภาระทางใจหรือรู้สึกผิดเป็นทวีคูณที่ทำให้ผมเป็นห่วง ทั้งที่ผมอยากยืนข้างมันไปจนสุดทางเสมอ
เมื่อเปิดประตูออกมา ผมถึงเห็นว่ามันก็ร้องไห้อยู่เหมือนกัน
"รู้สึกดีพิลึกแฮะ ได้รู้ว่ายังมีคนคิดถึงตอนเราหายไป แล้วก็ดีใจตอนเห็นเรากลับมา" มันว่า รีบเช็ดน้ำตายกใหญ่ "แต่ก็ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ แล้วก็ทุกเรื่องเลย"
"ขอโทษเหมือนกัน" ผมพูด "ทุกเรื่องเลย"
14. หลังจากวันนั้น มหาสมุทรบอกว่าจะไม่เขียนหนังสือแล้ว เขียนในที่นี้คือรู้สึกว่าต้องเขียนเพราะไม่งั้นจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ ผมถามมันว่าจะทำได้เหรอ มันก็ยักไหล่แล้วตอบว่า "อยากเขียนก็เขียน เขียนไม่ออกก็ไม่เขียน ช่างมันเถอะ" จากนั้นก็ช่วยงานที่บาร์อย่างแข็งขันทุกวัน มันสารภาพว่าที่ผ่านมาไม่ได้หมกมุ่นกับความตายเป็นพิเศษหรอก แต่หมกมุ่นกับตัวเองต่างหาก เรื่องนี้ยังไงก็ไม่มีวันแก้หาย แค่จะระวังไม่ให้รบกวนใครก็เท่านั้น อีกอย่าง มันบอกว่ามีหนังสืองานศพแล้วนี่ อย่างน้อยก็เป็นหลักฐานว่าครั้งหนึ่งมันเขียนหนังสือกับเขาได้เหมือนกัน (ผมเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าเดี๋ยวมันก็เขียนได้อีก ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อไหร่ ก็แค่ต้องรอคอยเงียบ ๆ แล้วรู้สึกประหลาดใจในวันหนึ่ง ผมรู้เพราะว่าผมอ่านแล้ว ทั้งหมดนั่นเลย)
15. มันอยากรู้ว่าผมเขียนอะไรลงไปในสมุดเล่มนี้บ้าง แต่ผมไม่บอกหรอก
"เดี๋ยวได้พิมพ์เป็นเล่มก็รู้เองแหละ" ผมว่า
"แต่กว่าจะได้พิมพ์ กูต้องตายก่อนหรือเปล่า แล้วมันจะได้อ่านเหรอวะ"
"เป็นผีก็น่าจะหยั่งรู้ได้สิ"
"ใครบอก ถ้าวิญญาณสลายไปเลยจะทำไง"
"เดี๋ยวเผาส่งไปให้"
"ไอ้บ้า เสียดายของ ต้นทุนค่าพิมพ์ไม่ใช่ถูก"
"เอาน่า เป็นเนื้อหาพิเศษที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนไง"
"ต้องเขียนด่ากูเยอะแน่เลย ฮือ"
"ใช่ที่ไหน ถ้าอยากรู้ก็อย่าเป็นผีมาหลอกกูแบบน่ากลัวแล้วกัน"
16. บันทึกของผมก็มีเท่านี้ น่าจะไม่ใช่แนวที่ใคร ๆ เขาเขียนถึงคนตายในหนังสืองานศพเท่าไร เหตุผลหลัก ๆ น่าจะเป็นเพราะผมไม่ได้เขียนถึงคนที่ตายไปแล้ว มันยังมีชีวิตอยู่ นั่งกินบะหมี่หมูแดงแล้วดูเน็ตฟลิตซ์อยู่ตรงโน้น ถ้าเป็นสถานการณ์ตรงกันข้ามแล้วผมต้องมาเขียนถึงมันทีหลัง ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้หรอก แถมคุณคนอ่านก็อาจจะไม่เห็นภาพอะไรนอกจากอดีตที่ถูกแช่แข็งและตัวตนราง ๆ ของมัน สู้ผมทำให้เห็นแบบนี้ดีกว่า ว่านี่แหละมหาสมุทรของผม นี่แหละความรู้สึกของผมที่มีต่อมัน
หวังว่าคุณได้อ่านสิ่งที่มันทิ้งไว้ข้างหลังแล้วจะรู้สึกแบบเดียวกัน
จบ.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in