ข้างในรถของอิงการ์ดก็คล้ายข้างในห้องของหมอนั่น มีของเต็มไปหมด เรียกรกได้ไม่เต็มปาก แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกสะอาดเนี้ยบหรือพรั่งพร้อมของสำหรับทุกสถานการณ์เลย ถึงจะไม่ได้มีพวกแมลงในกรอบแต่งบนกระจกหรือวางไว้อย่างน่าตั้งคำถาม แต่ก็มีของมากกว่าแค่พวกกระติกเก็บความเย็น หรือสายชาร์จ อีซรามั่นใจว่าในท้ายรถคงมีมากกว่าแค่อุปกรณ์ซ่อมเครื่องยนต์หรือที่สูบลม ถ้าเก๊ะหน้ายังมีทั้งขนม สีทาเล็บ ปึกซองจดหมายเปล่ากับชุดแสตมป์ กล้องมองทางไกลที่เห็นกันตามโรงละคร ถุงมือกอล์ฟ ถุงมือยาง กล่องถุงยาง แม่เหล็กติดตู้เย็น ตั๋วหนัง
ในที่สุดเขาก็หาเศษเหรียญเจอ อีซราหยิบส่งให้คนขับ อิงการ์ดรับไปทั้งกำแล้วเอาปลายนิ้วเกี่ยวนิ้วเขาไว้ตรงนั้น ดั่งว่ารอให้ชำเลืองมาเห็นมุมปากยกขันขำ “สีหน้าตะกี้สุดยอดเลย”
“ตอนฉันเห็นกล่องถุงยางน่ะนะ?”
“ตอนเห็นถุงมือยาง”
“มันต้องมีคิดกันบ้างแหละวะ”
“โธ่ อีซรา ถ้าฉันต้องเอาศพใครไปซ่อน…” อีซราหันไปมองใบหน้าด้านข้างของอิงการ์ดอีกครั้งตอนหมอนั่นชักจะเว้นช่วงนานเกินไป “ฉันต้องทำให้นายสงสัยอยู่แล้วสิ”
เขาเอาถุงมือยางตีหน้าอิงการ์ดก่อนปิดเก๊ะหน้า
“ทำไมนายเป็นคนแบบนี้กันนะ”
อิงการ์ดหัวเราะร่า
“ทำไมถึงใช้ 'แรนเดมตัน' น่ะ”
“เข้าประเด็นนี้ให้เนียนกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือไง” อีซราเอาศีรษะพิงกระจกหน้าต่าง
“ฉันเพิ่งมาถามเอาป่านนี้นับว่าเป็นการปูทางที่ยาวนานมากแล้วนะ” ผู้ถามทำกระเง้ากระงอด
ส่วนทางนี้ก็กระอิดกระเอื้อน “ก็แค่คิดขึ้นมาได้…ตอนจะส่งงานครั้งแรก”
“เยป มีอะไรมากกว่านั้นแน่นอนเลย”
เขาอยากเอากล้องมองไกลฟาดหัวอิงการ์ดชอบกล บางทีอาจได้ใช้ถุงมือยางด้วยเลย
“ฉันไม่ชอบเสียง ร. ในชื่อตัวเอง”
โชคดีว่าอิงการ์ดเข้าใจอย่างรวดเร็ว “อา นึกออกเลย แต่เสียงตอนพูดว่าแรนเดมตันมันได้อารมณ์กว่าสินะ มิน่า ฉันถึงชอบเรียกนามปากกานี้ขนาดนี้”
“คิดว่ามันไม่เหมาะกับฉันเหมือนกันสิท่า”
“ก็ไม่นะ เสียงของคำว่าอีซราก็เพราะดีออก แต่ฉันแค่ชอบเรียกแรนเดมตันเพราะมันให้ความรู้สึกใหญ่โตดี ไม่รู้สึกแบบนั้นเหรอ แรนเดมตันกับอิงการ์ด เหมือนพวกเราเดินอยู่ในโถงใหญ่ๆ ทำจากหินอ่อน ใส่ฉากแบบนี้เข้าไปด้วยดีไหม”
เขานึกถึงสิ่งที่คริสแตร์เตือนไว้ “ไม่เข้าเท่าไรมั้ง”
“นั่นก็จริง”
พวกเขาคุยเรื่อยเปื่อย อีซราเพิ่งสังเกตว่าออกจากเมืองมาไกลพอสมควร จะถามว่าอิงการ์ดเอาจริงแน่หรือตอนนี้ก็ดูเซ่อซ่าชอบกล อีซราจึงเลือกจะนิ่งเฉยแทน เขาแค่โดนกระเตงตามมาด้วย ดังนั้นรออิงการ์ดกระเตงเขากลับบ้านย่อมสมเหตุสมผลสุดแล้ว หรืออย่างน้อยก็น่าพอใจกว่าให้ตนเดินเท้าเปล่าหรือแย่งพวงมาลัยกัน
นานมากแล้วที่อีซรานั่งรถยนต์ส่วนตัวกับใครยาวขนาดนี้
ครั้งสุดท้ายคือไปบ้านพักตากอากาศของไซมอนต์ กับเทมส์
เจสัน เทมส์ตอนนี้คือไอ้เวรน่าโมโหที่ทิ้งรอยไว้บนคอคนด้วยความรู้สึกเหมือนพวกพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าคนไม่สูบ อีซรานวดขมับพยายามทำความเข้าใจการไม่สบอารมณ์ขนาดนี้ เจสัน เทมส์เก่งเรื่องทำให้เรื่องไม่น่าโกรธจุดฟองเดือดปุดใต้ผิวหนัง เขาคิดว่าหมอนั่นเก่งเรื่องกวนประสาทจนถ้ามีอาชีพสำหรับทักษะนี้โดยเฉพาะ ก็ควรลองพิจารณาเป็นอาชีพหลักดูแทนบริษัทที่เจ้าตัวชอบหาข้ออ้างโดดงาน
“เป็นอะไรไป”
“หือ ไม่มีอะไร”
“ฉันไม่ได้มองนายยังรู้สึกว่าหน้านายขยับไปมาได้จากตรงนี้เลย” อิงการ์ดพิสูจน์โดยจรดสมาธิมองทาง ทว่าทำหน้าแง่งงึ้งสลับไปมาประกอบให้ดู
“แค่นึกถึงคนในกลุ่มเดียวกัน หมอนั่นยั่วโมโหเก่งไปหน่อย” ปลายนิ้วก้อยเกี่ยเกาขมับ แสงกับเงาเสารายทางข้างนอกวิ่งผ่านหน้าอีซราไป “ฉันชอบนึกถึงหมอนั่นเวลารู้สึกไม่สบอารมณ์บ่อยๆ แต่ก็ลงเตียงกับหมอนั่นเรื่อย แล้วเราก็น่าจะสนิทกันที่สุดแล้วถ้าเทียบกับความสัมพันธ์กับคนอื่นในกลุ่มของแมเรียน แต่ – ให้ตาย หมอนั่นทำให้คนอื่นหงุดหงิดไม่เข้าเรื่องได้เก่งเหมือนยุงกัดเลย”
“ไม่ใช่ในแบบทำให้งุ่นง่าน สับสน อยากอยู่ใกล้อย่างน่าฉงนด้วยน่ะรึ”
เขากอดอก หันหน้าไปหาเพราะอิงการ์ดต้องรู้ว่าโดนกลอกตาใส่
“ทำไมล่ะ ฉันสงสัยได้ธรรมดาออก”
“ทุกอย่างจากปากนายเหมือนปรึกษาพล็อตอะไรสักอย่างอยู่เลย หยุด”
“ฉันไม่ได้วางพล็อตเยอะอย่างที่ใครหลายคนอยากจะเชื่อกันหรอกนะ” อิงการ์ดปล่อยมือจากพวงมาลัยมาผลักแก้มอีซราให้เลิกถลึงตาดุตนแบบอวัจนะ “อีกอย่าง”
“อะไร”
“อีซรา นายก็หมกมุ่นกับงานเขียนพอกันนั่นแหละ ลองพยายามคุยเรื่องอื่นดูสิ เดี๋ยวมันก็วนกลับมาเรื่องนี้”
รับคำท้า “นายว่าคนเราเป็นเพื่อนกับคนที่เคยมีเซ็กส์ด้วยได้ไหม”
“ก็ได้นี่ ไม่ควรจะได้รึ”
“ฉันหมายถึงเพื่อนแบบ เพื่อนนะ แบบเคยมีเซ็กส์กัน แต่ก็ยังเป็นเพื่อนไปคอมิคคอนด้วยกัน เล่นเกมเศรษฐีด้วยกัน แล้วนายก็ยังไม่สนหรือรู้สึกซับซ้อนอะไรถ้าอีกฝ่ายจะไปมีคนรัก แล้วนายก็ไม่ได้เสียใจหรือรู้สึกแปลกที่เคยนอนกับคนคนนั้น บางทีนายอาจจะยังนอนกับคนคนนั้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ นายจะรู้สึกผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้งในฐานะเพื่อนได้ไหม”
“ฉันว่าคนเราเป็นเพื่อนกันหลังเล่นเกมเศรษฐีด้วยกันยากกว่าหลังมีเซ็กส์กันอีก”
เขาสะบัดหลังมือตีแขนคู่สนทนา
“ไม่ได้มุกนะ” อิงการ์ดพูด ปรับเสียงจริงจังขึ้นมานิดหนึ่ง “ฉันว่ามันธรรมดากว่าที่นายคิดเยอะเลย ไม่ใช่แค่ว่าคนรักส่วนใหญ่ ที่จริงก็เป็นเพื่อนรักของกันและกันด้วย”
“แบบแชนด์เลอร์กับโมนิก้า?”
“นั่นเข้าข่ายวกกลับมาเรื่องงานเขียนไหม”
“เงียบไปเลย” อีซราแหว “พูดต่อซิ”
“สรุปอยากให้ฉันทำอะไรนะ”
คนนั่งข้างคนขับเปิดเก๊ะ หยิบถุงมือเชิงขู่ว่าจะฆาตกรรมอีกฝ่ายแบบซ่อนรอยนิ้วมือ
“เอาน่า คนตั้งเยอะผูกพันกันแล้วคำว่าเพื่อนเหมาะกับพวกเขามากกว่าเป็นคนรัก เซ็กส์ไม่ได้ทำให้อะไรลึกซึ้งกว่าหรือน้อยกว่า คนเราตั้งมากผูกพันกับคนอื่นโดยไม่ได้มีเซ็กส์กัน หรือกลับกันก็คือ การจะไม่ผูกพันกับคนที่นายมีเซ็กส์ด้วยหลายต่อหลายครั้ง ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือเป็นไปไม่ได้”
“…รู้อะไรมาน่ะ”
“รู้ว่านายมีรอยสวาทเบ้อเริ่มหน้าตาสดๆ ร้อนๆ นั่น สีหน้านายไม่สบอารมณ์ แล้วนายก็ยินดีจะนั่งรถมา กับเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมงานน่ารำคาญของนายไปอีกหลายชั่วโมง”
อีซราขยับตัวจัดตำแหน่งหลังตนแนบไปตามพนักหลัง “ถ้านายคิดว่านายน่ารำคาญ นั่นไม่ได้มาจากฉันนะ”
“ค่อยยังชั่วไปที”
“แต่ถ้าเครน ไซมอนต์บอกว่านายเป็นแบบนั้น ฉันก็คงเถียงอะไรแทนไม่ได้”
“อย่าพูดจาน่าเอ็นดูนักสิ แรนเดมตัน”
“ปั๊ด”
รถแล่นไปตามเส้นถนนบาวครีก อีซราเพิ่งรู้ตัวเมื่อเห็นเสี้ยวโรงพยาบาลเฟทยูไนเต็ดเชิร์ชออฟไครสต์ตอนลืมตาขึ้น กระจกหน้าต่างอุ่นสนิทจากหน้าคนนั่งแนบติดหลายนาที อิงการ์ดเห็นร้านพิซซ่าอิตาเลียนพอดี แล้วชวนจอดรถในช่วงที่ขอบฟ้าเหลือแสงริบหรี่เส้นบางยิ่งกว่าระยะห่างระหว่างพวกอนุรักษ์นิยมกับพวกเผด็จการ
อิงการ์ดจอดรถไว้ริมทาง อาสาไปซื้อพิซซ่ากลับมาสองถาด พวกเขานั่งกินอยู่บนรถด้วยกัน ประตูเปิดกว้างรับลมกับอากาศสลัว ไม่ทันเปิดฝาถาด พระอาทิตย์ก็ลาลับสนิทสำหรับวันนี้
หน้าจอโทรศัพท์บนต้นขาอิงการ์ดสว่างวาบเป็นระยะ
“ฉันว่าไซมอนต์สาปแช่งนายอยู่นะ”
“ปล่อยไปเถอะ คุณเธอก็งี้ประจำ เวลาฉันพล็อตตัน เครนจะกระตือรือร้นร้อนแรงกับงานขึ้นมา เหมือนถ่วงให้มันสมดุลล่ะมั้ง”
“พวกนายไม่เคยเขียนงานด้วยกันด้วยซ้ำ”
“สไตล์ต่างกันเกิน”
บางครั้งเขาคิดถึงจูบคืนสิ้นปีซึ่งเริ่มจากการนึกครึ้มหันไปมอง และฝ่ายนั้นมองมาในตอนที่เสียงลูกบ้านประสานนับถึงศูนย์ จุดสูงสุดของการเฉลิมฉลองปีปัจจุบันกลายเป็นปีเก่า บางจังหวะที่เขาแค่อยากคิดถึงความเป็นจาร์ค อิงการ์ดเฉยๆ เช่นว่า เพราะหมอนั่นเป็นนักเขียนในดวงใจคนหนึ่ง เพราะชายคนดังกล่าวเป็นเพื่อนร่วมอพาร์ตเมนต์ต่างลงไปชั้นเดียว เพราะเขาเปลี่ยนจากเจอคนดังน่าชื่นชมทุกวันกลายเป็นเจอคนรู้จักผู้มีอารมณ์ขัน ช่างจำนรรจา และคนผู้นั้นอยากเขียนนิยายกับเขา อยากทำงานในฝันของเขากับตัวเขาเอง คำชักชวนดั่งจะเบิกทางให้ ตามมาด้วยพวกคำพูดจริงใจติดถ่อมตัวอยู่บ้าง ทว่าก็ยังมั่นอกมั่นใจนักหนาราวกับเป็นเพื่อนร่วมทางผจญภัยแสนกระตือรือร้น ทำตัวประหนึ่งเป็นมือใหม่ด้วยกัน ทั้งที่หมอนั่นเชี่ยวชาญเครื่องมือและเส้นทางกว่าตั้งเยอะแยะ
แล้วเขาก็ต้องนึกถึงจูบคืนสิ้นปี
คงเพราะระหว่างเขากับอิงการ์ดมีแค่จูบนั้นจูบเดียว หมอนั่นโคลงหัว เขาทำเป็นชั่งใจก่อนจะพยักหน้า จากนั้นต่างฝ่ายต่างเขยิบเข้าหาโดยไม่ต้องมากต้องมาย เพราะทั้งสองยืนค่อนข้างใกล้กันแต่แรก อันที่จริงจูบครั้งนั้นกระเดียดไปทางเพื่อสังคมก็ว่าได้ ว่าช่างปกติเหลือเกินที่อพาร์ตเมนต์เล็กๆ แห่งหนึ่งจะมีเกย์เกินหนึ่งคน และถ้าพวกเขาจะอยากจูบกันเพราะอยากทำ
คนรอบข้างประหลาดใจตอนอีซราเปิดเผยว่าอยากเป็นนักเขียน คงประหลาดใจกันขึ้นไปอีก ถ้ารู้ว่าอีซราชอบจมจ่อมจดจ่อกับหม้อความคิดดั่งแม่มดในนิทานกวนยา
“นายเคย –”
อิงการ์ดปัดมือไล่เศษตามนิ้วลงบนถาดพิซซ่าเหนือตัก “เคย…”
“ช่างแม่งเถอะ พวกเราไม่มีทางคุยกันเรื่องอื่นเร็วๆ นี้หรอก – นายเคยอยากเขียนมากๆ เพราะในหัวนายมีความคิดเต็มไปหมด แต่ก็อยากเลิกเขียนเพราะดูไม่มีที่ไหนจะให้ค่าความคิดพวกนั้นบ้างไหม”
“ทุกวัน ไม่มีพักเวลาทำการ” จาร์ค อิงการ์ดตอบอย่างไร้ความลังเล ลำคอถึงใบหูของอีซราร้อนผะผ่าว “ความคิดเป็นดินแดนที่ใจร้ายเนอะ”
พิซซ่าคำถัดมาในปากเขารสชาติเข้มข้นกว่าคำก่อน คาดว่าเพราะเขาจดจ่อกับรสชาติคำนี้เป็นพิเศษ
“ฉันถามบ้าง” อิงการ์ดโพล่ง
อีซราเคี้ยวให้หมดปากค่อยพยักหน้าด้วยความงุนงงเล็กน้อย
“นายคิดว่าพวกเราจะเขียนเรื่องนี้เสร็จไหม”
…
“ดูจากสภาพพวกเราตอนนี้…”
“เครนฆ่าฉันแน่”
“มีอะไรรับประกันไหมว่าเขาจะฆ่านายคนเดียว”
อิงการ์ดทำเป็นค่อยๆ หันมา ยกถาดพิซซ่าไปวางไว้ข้างบนแถบหน้าปัดหลังพวงมาลัยช้าๆ เช่นเดียวกับอีซราผู้เริ่มเบี่ยงตัวไปยังนอกรถ
หมอนั่นรวบตัวเขากลับมาบนเก้าอี้ได้ก่อนเท้าเปล่าของนักเขียนผลงานเล็กชิ้นเดียวทันแตะพื้นเพนซิลเวเนีย อิงการ์ดกอดรอบคออีซราด้วยแขนข้างหนึ่ง อีกข้างพาดมาบนข้างหน้าลำตัว รั้งเข้าไปหา นิ้วพรมจั๊กจี้สีข้าง อีซรากระแทกตัวเข้าใส่พนักเก้าอี้ พยายามกลั้นหัวเราะ โชคดีว่าอิงการ์ดไม่ได้คิดแกล้งนานกันเกินไป “แรนเดมตัน ฉันหวังว่าเราจะรอดไปด้วยกันนะ คนดี” แขนรอบลำคอเขาขยับเมื่ออีกฝ่ายย้ายมือขึ้น ลากนิ้วสางผ่านเส้นผมพร้อมฝังหน้าลงกับบ่า “เรื่องต่อไป นายอยากเขียนแนวไหน” เสียงทุ้มพรมลงบนหลังหัวไหล่ใหญ่แบน
“จาร์ค เอาเรื่องนี้ให้รอดก่อนเถอะ”
“ไม่ กลับไปหาบทสนทนาที่เหมือนพวกเราไม่มีปัญหาจริงข้างนอกรถเถอะ ดูนั่นสิ อีซรา” เขาปล่อยตัวเองโดนโอบไหล่โน้มไปจนศีรษะชิดกับศีรษะ สายตาไล่ตามมือผายสู่เบื้องหน้า
“กลางคืนน่ะเรอะ”
“มีกลอน นิยาย หนัง นิทาน โฆษณา การ์ตูนพูดถึงกลางคืนตั้งเยอะ”
“ฉันว่านายอินกับอาชีพนักเขียนเกินไปเยอะแล้ว”
“ฉันอินกับอาชีพนักเขียนของแรนเดมตันต่างหาก”
จะมีสักวันที่เขาไม่ต้องโดนอิงการ์ดย้ำว่ามีผลงานของแรนเดมตันไว้ในครอบครอง วันนี้ไม่ใช่วันนั้น
“นายรู้ใช่ไหม”
“หือ”
“เวลาพวกเราเกลียดผลงานตัวเอง เราไม่ได้แข่งเกลียดมันกับใครอื่นทั้งนั้น”
ตอนนี้เขาชักเกลียดจาร์ค อิงการ์ดชอบกล
“เหลือพื้นที่ว่าคนปกติเขินเป็นปกติไว้ในหัวนายบ้างเถอะ อิงการ์ด” อีซราตอบ “เหลือ…โอเค ห้ามล้อเชียวนะ ที่จริง ฟังเงียบๆ กลั้นหายใจด้วยเลยถ้าทำได้ ในหัวฉันตอนนี้มี...”
แล้วกลางคืนก็สั่ง แล้วกลางคืนก็บัญชา
จงมุ่งหน้าไป
เมืองที่เจ้าสร้างในฝันวิไล
ตื่นเช้าเมื่อใด ไม่มีอะไรให้อาวรณ์
ไม่มีใครแปลกใจที่พวกเขามาไม่ทันเฮอร์ชีย์ช็อกโกแลตเวิร์ลปิด อีซราค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าอิงการ์ดอยากมาให้ทันจริง คงไม่แวะกินพิซซ่าริมทางหรอก กระนั้นสีหน้าพึงพอใจคล้ายเคลิบเคลิ้มขณะขับรถไล่ชมเสาไฟซึ่งแต่งหลอดไฟเป็นทรงก้อนช็อกโกแลตชนิดคิสนั่นทำเขาสับสนกับทริปหนีบรรณาธิการนี้ไม่น้อย “นี่นายชอบช็อกโกแลตยี่ห้อนี้มาก หรือความอยากหนีความจริงของนายมันไปถึงขั้นที่ถ้ามีทอมกับเจอร์รี่วิ่งตัดหน้ารถเราตอนนี้ นายจะไล่ตามสองตัวนั้นไปเลย”
“อย่างหลัง”
“พระเจ้าช่วย”
“ถ้าฉันเป็นอลิสคงน่ารักน่าดู”
อีซราตามจินตนาการนั้นไปแทนกระต่าย อย่างไรก็ดิ่งลงโพรงอยู่ดี
“ความสุขของการเป็นนักเขียนคืออะไรกันนะ”
“ได้เสือกเรื่องของคนอื่นโดยชอบธรรมเพราะนายสร้างเรื่องพวกนั้นขึ้นมาเอง” เขาตอบแบบไม่คิดมาก แต่สุดท้ายก็คิดต่ออีก “ถ้าคนชอบ มันเหมือนกลายเป็นหน้าที่เลยใช่ไหม ถ้าอยากให้คนชอบ นายต้องตามเสือกเรื่องที่ว่ายังไงก็ได้ให้สนุก”
“ไม่ก็ที่จริงพวกเราเป็นผีพนัน” อิงการ์ดเลี้ยวรถอย่างไม่มีจุดหมายเท่าไร สายตาชมเมืองใต้แสงไฟไร้แสงดาว “แต่ถ้าพูดว่างานเขียนเป็นล็อตเตอรีของนักเขียน หลายคนคงโมโห”
“ฟังแค่นี้ยังชักจะหงิดเลย”
ถึงจุดหนึ่ง ทั้งสองก็มีช็อกโกแลตกินต่อจากพิซซ่าจริงๆ อีซราใช้สายตาหยุดไม่ให้อิงการ์ดเทเอ็มแอนด์เอ็มลงบนพิซซ่าที่เหลือ เสียงในเมืองเฮอร์ชีย์ไหลเข้ามาทางกระจกหน้าต่างรถที่ทั้งสองเอาลง แน่นอนว่ารถสะเปะสะปะของอิงการ์ดมีผ้าห่มให้คนเท้าเปล่ายืมห่ม อีซราขดขาขึ้นมาบนเบาะเพื่อให้เท้าอยู่ข้างใต้ผ้า
“เฮ้”
“หืม”
“ตรงไปทางนั้นหน่อย”
เขาชี้ทางอิงการ์ดไปทางเข้าสู่บริเวณลำห้วยใหญ่ของเดอร์รี ตัดเข้าไปยังบริเวณใกล้ตำแหน่งบ้านหลังเก่าของคุณป้า เจ้าตัวย้ายบ้านเข้าไปในเมืองนานแล้ว แต่ยิ่งรถมุ่งหน้า เส้นทางก็ยิ่งคุ้นตา อย่างสนามกอล์ฟและโบสถ์นิกายเพรสไบทีเรียน พอข้ามอีกฟากก็มีโบสถ์นิกายคาทอลิก สมัยยังต้องมาแถวนี้ เขามักได้ยินพวกญาติซึ่งเป็นเด็กโตกว่าเล่นโจ๊กเกี่ยวกับสองโบสถ์
สิ่งไม่คุ้นตาแรกที่โผล่เข้ามาคือแสงไฟแดงกับน้ำเงินวิ่งวนสาดเป็นวงกว้าง อิงการ์ดชะลอความเร็วลงจนแทบไม่เหยียบคันเร่ง หรี่ตาเพ่งดูรถตำรวจจอดไม่เป็นระเบียบเท่าไรนักรวมกับรถยนต์ธรรมดา ข้างนอกมีคนยืนมุงกระจัดกระจายไปทั่ว อีซราไม่อยากคิดว่าถ้าคุณป้าของตนยังอาศัยอยู่บริเวณนี้ ตนจะใจเสียขนาดไหน “เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เขาถามแม้ทราบดีว่าอิงการ์ดย่อมไร้คำตอบพอกัน
ชายอายุมากกว่าจอดรถ เปิดประตูลงไป อีซราลังเลที่ตนไม่มีรองเท้า
“ขอโทษนะครับ แต่เกิดอะไรขึ้นเหรอ” กระจกหน้าต่างยังเปิดไว้ ได้ยินเสียงอิงการ์ดถามคนมุงแถวนั้นชัดแจ๋ว
“ตอนแรกมีพวกวัยรุ่นมาเล่นพิเรนทร์กันแถวนี้น่ะ นี่ยังเมากันอยู่เลย แต่สองคนนั้นในนั้นพูดจาแปลกๆ”
เกิดเสียงฮือฮาดังมาจากส่วนที่เรียกได้ว่าเป็นข้างหน้าของวงสังเกตการณ์กับพวกตำรวจ อีซราขมวดคิ้ว ตัดสินใจย่ำเท้าเปล่าลงไป ปล่อยให้เสียงบอกเล่าแผ่วจางจากโสตประสาท อย่างไรตนคงได้คำตอบถ้าไปดูด้วยตาตัวเอง
แรงกระชากตรงแขน ดึงอีซราหันไปชนกับอิงการ์ด ก่อนอะไรก็ตามที่เจ้าหน้าที่สองคนกำลังจะยกขึ้นมาสูงพอให้เขามองข้ามไหล่คนข้างหน้าไปเห็นได้ เผยตัวแกส่ายตาอีซรา นักเขียนหนุ่มหมายจะเหลียวไปดู
มือใหญ่โอบตรงหลังคอ ไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้น อีซรามองอีกฝ่าย นิ่วคิ้วขมวดใส่แวบหนึ่ง “อิงการ์ด มี –”
สีหน้าอิงการ์ดซีดเผือด แววตาโหลหลอน กระทั่งแสงแดงกับฟ้าจากหลังคารถตำรวจยังกลบไม่มิด
“จาร์ค มีอะไรน่ะ” เขาถามด้วยเสียงนุ่มนวลขึ้นกว่าครั้งแรก
“มีศพอยู่ในแม่น้ำ”
เขาได้ยินเสียงอิงการ์ดก่อน แล้วเข้าใจทีหลัง
“…ศพ”
อีซราเอื้อมมือแตะมืออิงการ์ดบนคอตน อิงการ์ดยิ่งขยับเข้ามาใกล้ ไม่ยอมปล่อย “ขอโทษ แต่พอคิดว่านายเคยวิ่งเล่นสนุกแถวนี้” เขาไม่ยักรู้ว่าเสียงคนที่ตนคุยด้วยมาตลอดทางหลายชั่วโมงยังพร่าแหบได้กว่าที่เคยได้ยินทั้งหมดมา “คิดว่าอย่าหันไปดูเลย”
เขาจับมืออิงการ์ดให้คงไว้บนลำคอตัวเองแบบนั้น
“…อย่าปล่อยให้ฉันหันไปเชียวนะ”
ทั้งตัวเย็นเฉียบ จนเสียงเคลื่อนย้ายข้างหลังชัดเกินไป
ความรู้สึกเหลือแค่ใต้ฝ่าเท้า บอกว่าพวกเขายังยืนอยู่ตรงนั้น
เช้าวันต่อมา อีซราถึงเห็นจากรายงานข่าวในจอโทรทัศน์บ้านญาติ
‘เจมส์ คอลลิมอร์’
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in