เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Kill Him Before Christmas ComesPrywrytes
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน แล้วสองนักเขียนผู้พล็อตตันก็มุ่งมั่นหนีบรรณาธิการไป

  • คริสต์แตร์ยิ้ม แล้วอีซราก็อยากถอยหลังกลับออกไป แต่การกรีดกรายชี้นิ้วสั่งให้เขาไปนั่งของหล่อนน่ากลัวเกินจะทำแบบนั้น แถมเขามาเป็นคนแรกของกลุ่มอีกด้วย อีซราจึงรีบจองเก้าอี้นวมเบาะเดียวฝั่งตรงข้ามกับบรรณาธิการ แล้วหลบตาด้วยการทำเป็นสาละวนเปิดแล็ปท็อป


    หล่อนไม่ยอมปล่อยผ่าน “ได้ยินว่า…”


    “เออ คุณได้ยินมาถูก” อีซราขอดึงพลาสเตอร์รวดเดียว หน้าร้อนแดง


    แมเรียน คริสต์แตร์ไขว้แขนกอดข้อศอก โน้มตัวเหนือโต๊ะ ยิ้มกระหยิ่มเหมือนพวกตัวร้ายในการ์ตูนเด็กช่วงกลางเรื่อง โหนกแก้มคู่นั้นเหมาะอยู่หรอก


    “แล้วนี่เครน”


    “ไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลย”


    “ก็ว่าอยู่” เธอดูไม่กังวลหรือร้อนรนเท่าอิงการ์ด “ฉันไปถามเจ้าตัวมาด้วยน่ะ” เป็นบรรณาธิการต้องอ่านความคิดคนอื่นออกด้วยหรือไงนะ “หน้าคุณมันฟ้อง”


    “หยุดสักที ผมยังไม่ทันพูดอะไรเลย”


    “จ้า จ้า”


    “แล้วคุณไปถามเขามาแล้วจะมาถามผมอีกทำไม”


    “เขาเป็นเจ้านายฉันนะ ฉันต้องมองแง่ร้ายไว้ก่อนสิ” หล่อนไหวไหล่ ลุกขึ้นไปชงเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์จากโต๊ะวางกาน้ำชา กล่องผงชงเครื่องดื่มราวสามรึสี่ยี่ห้อ และจานขนม อีซราไม่ทันแวะดูก่อนนั่งว่าวันนี้มีช็อกโกแลตที่ตนชอบไหม ทว่าคริสต์แตร์ตอบให้แทนด้วยการหยิบใส่จานเล็กเอามาวางตรงโต๊ะกาแฟเบื้องหน้า อีซราพึมพำขอบคุณ ทว่าโดนหล่อนเสริมกลบ “ฉันแค่ – ถ้าเป็นเครน เขาไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไม่ว่าคนทำจะเป็นใครหรอก ที่นี่เคยมีคนแย่ๆ แบบเปิดเผยอยู่ แต่ตอนปู่ของยายนั่นเป็นเจ้าของ ไม่มีใครสนใจพอ ยายนั่นเป็นลูกคุณหนูก็ยังโดนลามปาม เจ้าตัวก็กังวลเหมือนกันว่าถ้าไม่ใช่แบบเดียวกับที่ตัวเองเดิม ก็จะบอกไม่ได้เลยหรือเปล่าว่าอะไรที่แย่”


    อีซราถอนหายใจ “ไซมอนต์แค่แบบ ถ้าผมกับเขาสนิทกันมันก็ไม่อะไรหรอก แค่นั้นแหละ” เขาเกาหลังหัวตัวเองเผื่อจะดูช่วยทำให้เธอเชื่อ


    “ถ้ามันไม่ใช่แค่นั้น คุณหรือใครจะบอกไซมอนต์ หรือฉัน หรือใครในสำนักพิมพ์ได้ คุณรู้ใช่ไหม”


    แวบแรกเขาตั้งใจจะเออออขานรับขอไปทีให้เรื่องนี้จบ แต่น้ำเสียงของคริสต์แตร์ฉุกให้อีซราเงยหน้าขึ้นไปสบกับแววตาจริงจังถึงขั้นหนักแน่นและกระด้างของหญิงอายุมากกว่า


    “นั่นมันก็…แน่นอนอยู่แล้วสิ” เธอไม่ขยับ “ผมจัดการเรื่องพวกนี้ให้ลูกค้าในร้านไม่รู้กี่ครั้งแล้วน่า แมเรียน” หนนี้เธอกะพริบตาแล้วมองไปทางประตู ก่อนจะเดินไปเก้าอี้ประจำตัว อีซรารีบทบทวนขณะหล่อนหันหลังให้ว่าตนเคยล้ำเส้นใครในกลุ่มหรือเปล่า ที่ผ่านมาเขาจำได้ว่าพวกความเห็นหยาบโลนอะไรก็ตามที่ผุดขึ้นมา ตนจะพูดอยู่แค่กับเทมส์เท่านั้น ในระดับเสียงกระซิบ พวกเขาไม่ค่อยสนิทกับคนอื่นในกลุ่มเท่าไรนัก ระหว่างแลกเปลี่ยนเรื่องงานกัน ทุกคนพูดคุยคล่อง ไหลลื่น ค่อนข้างจริงใจแถมเอื้อเฟื้อด้วยซ้ำ ทว่าพวกเขาไม่นัดดื่มด้วยกันหลังเดินออกจากห้องนี้ไป


    คริสแตร์กระแอม เอนหลังอิงเข้าไปในเก้าอี้นวมตัวใหญ่ ไขว้ขากางหนังสืออ่าน แต่กลับชวนเขาคุยต่อ อีซราทำแบบนั้นไม่ได้ “แล้วงานของคุณกับจาร์คเป็นยังไงบ้าง คืบหน้าดีไหม อยากเอามาแชร์กับในนี้หรือเปล่า”


    “เราเพิ่งเริ่มวางพล็อตกัน” อีซราตอบตามตรง “อย่าบอกเขานะ แต่ผมไม่คิดว่าพล็อตจะอยู่กับที่เร็วๆ นี้หรอก”


    “คุณคิดว่าจาร์คเป็นพวกยึดตามพล็อตที่วางไว้สามเดือนก่อนเขียนไปถึงฉากนั้นหรือไง”


    “เขาไม่เหรอ”


    “คนที่ทำแบบนั้นได้ ถ้าไม่เก่งมาก ความรู้เป๊ะ ก็อีโก้จัดเท่านั้นแหละ คนส่วนใหญ่ แค่กูเกิ้ลหาข้อมูลสายสถานีรถไฟในเมืองที่ตัวเองไม่เคยไป ก็เปลี่ยนพล็อตกันไปราวห้ารอบแล้ว”


    “งั้นก็เขียนถึงสถานีรถไฟที่ตัวเองอยู่สิ”


    “ถ้าอยากสนุกกับการเปลี่ยนพล็อตเก้ารอบก่อนเริ่มเขียนบทสองก็ทำแบบนั้นแหละ”


    อีซราลูบหน้า “เขียนอยู่คนเดียว เปลี่ยนพล็อต มันก็เรื่องของผมคนเดียวนะ แต่คนสองคนเปลี่ยนพล็อตไปมานี่ จะตกลงกันยังไง”


    “ด้วยการสื่อสารน่ะสิ” คริสต์แตร์กรีดหน้าต่อไปเปิด เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าหล่อนอ่านรู้เรื่อง แต่ก็ไม่คิดจะท้วงเรื่องนี้เพียงเพราะตนไม่มีปัญญาทำสองสิ่งขึ้นไปพร้อมกัน “แต่ระวังจาร์คด้วยแล้วกัน”


    “ระวังอะไร” อีซราเด้งตัวนั่งตรง ชะงักมือที่หมายจะหยิบช็อกโกแลตมากิน “พระเจ้า แมเรียน ผมเอาพล็อตศพของผมให้เขาไปแล้วนะ ถ้าหมอนั่นเป็นพวกชอบฮุบไอเดีย –”


    “อ๋อ เขาทำตรงข้ามเลยละ” คริสต์แตร์ชำเลืองขึ้นมามองแวบหนึ่ง จากนั้นก็อ่านหนังสือต่อ “จาร์คน่ะเชื่อในเรื่องไอเดียทุกไอเดียดีถ้าเล่าดี เขาไม่ค่อยจะอยากตัดอะไรทิ้งนักหรอก เขาจะชม ชม ชม อยากทำนู่น อยากทำนี่ นึกออกไหม ชมเพราะเห็นว่าดีจริงน่ะ ไม่ใช่เพราะเกรงใจแล้วมีแผนจะมาอ้อมแอ้มขอแก้ทีหลัง คุณต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายท้วง ไม่งั้นจะรู้สึกว่านี่มันชักเลยเถิดไปใหญ่แล้ว เราจะเข้าเรื่องได้ยัง แต่คุณก็จะระแวงว่าคุณตัดส่วนที่ดีออกไป สุดท้ายแล้วคุณจะมานั่งสงสัยว่างานมันจะดีกว่านี้ไหมถ้าคุณไม่ขัดคอเขา”


    “คุณเคยเขียนงานกับเขาเหรอ”


    “ฉันเคยเป็นเบต้าให้เขา สมัยเขายังไม่ดัง”


    อีซรากินช็อกโกแลตเพื่อหันเหความกลัวตัวเองไปทางอื่นแล้วถาม “คุณอายุเท่าไรนะ”


    คริสต์แตร์ปิดหนังสือเสียงดังดุดัน เขาเลยรีบลุกแล้วจ้ำอ้อมจากเก้าอี้เธอให้ไกลเพื่อไปชงเครื่องดื่มสำหรับตัวเองบ้าง พอเจ้าหล่อนลุกตามมายืนด้วย อีซราแทบสะดุ้ง ฝ่ายบรรณาธิการและผู้ดูแลกลุ่มคริสต์แตร์กลุ่มนี้เท้าสะเอว แวบหนึ่งเขาคิดว่าตนจะโดนบิดหูหลุดเสียแล้ว อย่างตอนตนเคยชมว่ามารดากับคุณป้าเลือกแป้งทำแพนเค้กเก่งและเอาของออกจากไมโครเวฟคล่องดี


    แต่เธอแค่เท้าสะเอว มือจับปกหนังสือปิดโดยเอานิ้วคั่นหน้าไว้ “คุณเอาพล็อตนั้นไปใช้เขียนกับเขาหรือเนี่ย”


    “ใช่ มัน – มันดูพอดีน่ะ” น้ำร้อนเทละลายผงเครื่องดื่มกึ่งสำเร็จรูป เขาพูดต่อตอนวางกาลง “นี่เท่ากับต่อไปผมต้องทำงานอื่นส่งคุณหรือเปล่า”


    “นั่นมันก็แล้วแต่คุณ ยกเว้นว่าคุณอยากไอ้นั่นไอ้นี่กับศพของคุณต่อในคอร์ส”


    “เรียกว่าเจมส์เถอะ”


    “แต่ถ้าคุณตันกับเจมส์มาพักใหญ่ ถ้าเอาไปเขียนกับจาร์คแล้วไปต่อได้ ฉันคิดว่าคุณก็เริ่มไอเดียใหม่ของคุณเองเถอะ น่าจะดีกว่า”


    “ใครไปต่อกับใครนะ”


    ด้านหลังพวกเขา เทมส์เดินเข้าประตูห้องมา ตามด้วยสมาชิกกลุ่มคนอื่นอีกสองคน อีซรากลอกตามมองเพดานเมื่อหมอนั่นแย่งที่นั่งเขาหน้าตาเฉย แต่ก็ยอมเดินไปกระถดก้นนั่งบนพนักวางแขนของเก้าอี้ตัวเดิมแทนพร้อมแก้วเครื่องดื่มร้อนในมือ


    “อีซราเริ่มเขียนนิยายกับจาร์ค อิงการ์ด และตาเจมส์ ศพของเขาได้ไปผจญภัยต่อกับสองคนนี้แล้ว”


    “อิงการ์ดเนี่ยนะ เธอยังมาทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ ไปเขียนงานไป๊!” สมาชิกในกลุ่ม ผู้เขียนแฟนฟิคเชอร์ล็อค โฮล์มส์ปรบมือพร้อมไล่เขา


    “ใจเย็น คุณตา ไม่ใช่ทุกคนจะเขียนคล่องพิมพ์ลื่นแบบคุณกันหมด” อีซราจิบเครื่องดื่ม ซึมซาบรสกับกลิ่นสังเคราะห์ในไอน้ำร้อน


    “ฉันชอบจาร์ค อิงการ์ดมาก” อีกคนซึ่งเขียนงานแนวไฮแฟนตาซีร่วมวง


    “พวกเรารู้” คริสต์แตร์ขบขัน


    เทมส์บีบหัวเข่าเขา “เดี๋ยว แล้วหมายความว่าไง นายยกเจมส์ให้หมอนั่นเหรอ”


    “ไม่เชิงยกให้ แต่ฉันย้ายบ้านให้เจมส์ไปแล้ว” ช็อกโกแลตอีกชิ้นเข้าปาก “เจมส์ย้ายจากนอนแช่น้ำในทะเลเป็นนอนแช่น้ำในทะเลสาบเมืองแฟนตาซี แค่นั้น ตอนนี้มีเท่านี้”


    “เกิดนายเลิกเขียนกับเขาไปก่อน หมอนั่นไม่ยึดเจมส์ไปเลยรึไง”


    “โว้ว ปาก” ถ้ามือเขาไม่เปื้อนช็อกโกแลต อีซราคงเอานิ้วป้ายปากเทมส์สักที แต่ช็อกโกแลตของว่างรสดีเกินจะเอาไปใกล้


    “นายอยากเลาะฟันฉันทิ้ง เพราะมันไม่มีคำบรรยายว่าฉันพูดด้วยความกังวลจากใจจริงหรอก” เทมส์หัวเราะ มือยังไม่ปล่อยเข่าอีซรา “นายยึดติดกับพล็อตนั้นจะตาย อยากยกให้ไปอยู่ในงานคนอื่นแน่เหรอ”


    “มันจะเป็นงานของอีซราด้วย เจสัน เผื่อคุณเข้าใจอะไรผิด” คริสต์แตร์ขัดคอ สายตาไม่ค่อยชอบใจยิงมาทางพวกเขาสองคน


    เทมส์พ่นก้อนขำอันแผ่วเบา ลอบมองกับเขาด้วยสายตาแบบเดิม อีซรายกถ้วยแตะปาก ปล่อยไอร้อนบังทัศนวิสัยสักครู่หนึ่ง



    ชาในแก้วข้างต้นขาอิงการ์ดส่งกลิ่นหอมเป็นพิเศษเมื่อเพิ่งชง และพวกเขามีแค่แสงจากไฟจอคอมพิวเตอร์ส่องสว่างอยู่บนชานพักบันไดตำแหน่งเดิม จากการพบกันตรงกลาง อีซราชักชอบที่ได้มานั่งคุยกันตรงนี้ตามลำพัง ผู้อาศัยชั้นเดียวกับเขาไม่ค่อยออกไปไหนเท่าไร และคนอื่นก็ไม่มีธุระให้เดินผ่านตรงนี้นัก เสียงตัวเมืองข้างนอกแว่วสะกิดโสตเป็นระยะเหมือนเสียงเครื่องซักผ้า


    อากาศเย็นลงพรวดพราดทันทีที่หมดแสงของวัน อีซราเพิ่งรู้สึกถึงอุณหภูมิต่ำพอไม่มีมื้อค่ำหรือจานต้องล้างดึงดูดความสนใจ เขาทำความสะอาดห้องทั้งที่ไม่มีทางทำใจชวนอิงการ์ดเข้าไปในนั้นเร็วๆ นี้ ตราบใดที่ชุดหนังสือหุ้มปกผ้าชั้นดีปักชื่อเจ้าตัวยังอยู่ในห้อง เด่นหราบนชั้น อีซราบอกตัวเองว่าตนพยายามทำตัวเป็นสมาชิกสังคมเปี่ยมความรับผิดชอบในวันที่ไม่ต้องยืนขาแข็งยันตีสี่ แล้วมองคนเดินสะโหลสะเหลตามท้องถนนยามเมืองกึ่งหลับกึ่งตื่นก่อนปล่อยความฝันตัดสินว่าเขาจะได้หลับสนิทหรือตื่นมาเหนื่อยกว่าเก่า


    “ตอนแรก พล็อตสำหรับเจมส์คืออะไร”


    นิ้วชะงักเนื้อแป้นพิมพ์ ประโยคอธิบายความเป็นมาตัวละครในช่องการ์ดข้อมูลสำหรับใช้ร่วมกันยังไม่จบดี แต่อีซราคิดว่าอิงการ์ดจงใจเลือกคำถามที่ตัวเองเชื่อมั่นว่านักเขียนทุกคนต้องอยากตอบกันทั้งนั้น


    “ไม่มีตายตัวเป็นพิเศษหรอก”


    “ฉันไม่ได้ถามถึงตรงนั้นสักหน่อย” อิงการ์ดย้ายความสนใจจากคอมพิวเตอร์มาที่เขาอย่างไม่เสแสร้งหรือเล่นตัว ถึงขั้นย้ายเครื่องลงจากตักเพื่อให้ตัวเองเท้าคางได้สะดวก


    “ก็แค่ฉากเปิด ตัวเอกว่ายน้ำอยู่ในทะเล – แล้วมองนานไป จนเกือบขาดอากาศ”


    ทะเลวันนั้น


    “ไม่ทันคิดว่าเป็นศพ?”


    อีซรากับเจสัน


    “ตอนแรกคิดว่าจะให้เป็นรูปปั้นอะไรทำนองนี้”


    ผิวราวงานปูนปั้นในน้ำกับแสงแดดส่องผ่านลงมา


    “แล้วก็ตัน เพราะคิดไม่ออกว่าศพจะเหมือนรูปปั้นยังไงในทะเลหลังจากตายมานานแล้ว ยกเว้นว่าตัวละครเอกสายตาสั้น เลยจินตนาการไปก่อนจะเห็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร” อีซราโบกมือไปมาเหมือนไล่ภาพในหัวไปด้วย “ถึงไม่ได้คิดจะเขียนสืบสวนก็เถอะ แต่คงต้องมีความเป็นจริงบ้าง อย่างน้อยถ้าฉันไม่อยากขายแมเรียนว่าฉันอยู่ลัทธิเหนือจริง ใดๆ -มหัศจรรย์”


    “ฟังดูเหมือนก็ยังตัดสินใจไม่ได้”


    “นายคิดว่า ‘ล่องลอย’ เป็นคำชมหรือเปล่าล่ะ”


    “ถ้าพูดถึงความรู้สึกหลังดูหนังก็ใช่ ถ้าพูดถึงแผนการเงินก็ไม่” อิงการ์ดตอบทันควัน


    “ฉันไม่ได้อยากพาใครลอย ฉันไม่ใช่ตัวตลกที่โดนผนึกด้วยเซ็กส์หมู่ของผู้เยาว์”


    “แล้วแรนเดมตันอยากพาคนอ่านไปที่ไหน”


    เขาหรี่ตา


    “อีซรา” อิงการ์ดยอมแก้ จงใจจนเขาอยากยอมแพ้


    อีซราเอามือขวาแตะบ่าซ้ายตัวเอง แสงฟ้าจากจอมากพอให้เห็นสีหน้างวยงง


    “มองข้ามไหล่ของตัวเอก”


    อิงการ์ดเหยียดหลังขึ้น หยิบแก้วจ่อปาก ท่าทางอยากฟังต่อ อีซราแกล้งทำเป็นว่าตนแบ่งสมาธิไปให้งานในคอมพิวเตอร์ได้ “นายน่าจะเห็นใช่ไหม ที่คนชอบพูดกันบ่อยๆ ว่า 'ผจญภัยเข้าไปในเรื่องกับตัวละคร' แล้วมันไม่ได้เกี่ยวกับว่าใช้มุมมองแบบไหนเล่าหรอก” ถึงแม้อีกฝ่ายย่อมสังเกตว่าเขาไม่ขยับนิ้วพิมพ์สักตัวอักษรเดียว “ฉัน” อีซรากระแอม ขึ้นต้นประธานที่หมายถึงตัวเองด้วยความกระดากปากเขินเล็กน้อย เสียงยิ่งต่ำลง แบน แผ่เหมือนผ้าขาดวิ่นถูกดึง “อยากเขียนงานที่ให้ความรู้สึกว่า กำลังมองข้ามไหล่ไปเห็นสิ่งที่ตัวละครเผชิญหน้าอยู่ ต่อให้เรื่องมันหนาสักหกร้อยหน้า คนอ่านก็รู้สึกเหมือนยืนรอต่อแถวอยู่ข้างหลัง หรือเดินผ่านกันหน้าจัตุรัส แล้วมองเห็นเสี้ยวหนึ่งที่เข้าใจคนแปลกหน้าขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”


    แล้วพอพวกเขาปิดเล่มลง ก็คือตอนที่พวกเขาเดินผ่านไปยังที่อื่น


    แล้วเมื่อพวกเขาหวนคิดถึงหรือหยิบขึ้นมาอ่านใหม่ คือตอนที่มองย้อนกลับมา และพบว่าคนแปลกหน้าคนเดิมแวะมาตรงนั้นเสมอ


    “จนมันกลายเป็นมุมประจำหนึ่งในชีวิตพวกเขา ที่พวกเขาคุ้นเคยดี” อีซราเม้มปาก หาทางจบประโยค 


    “ประมาณนั้น” อิงการ์ดเอ่ย


    อีซรานวดคอตัวเอง เสมองรอยยิ้มละไมเหนือฝ่ามือที่รองใต้คางไว้แถบหนวดสามวัน จากค่อยกลับมาดูแป้นพิมพ์ที่ไม่ได้กำลังทำงานอยู่


    “ประมาณนั้น” เขารอหมอนั่นวางแก้วลง “แล้วจาร์ค อิงการ์ดล่ะ”


    “ใต้ผ้าห่ม”


    “ทะลึ่งชะมัด”


    “แรนเดมตัน จิตใจลามกไปหรือเปล่า คนเราหนอ” ครั้งนี้เขายอมให้เรียกนามปากกา ถ้าเรียกชื่อตัวอาจไม่เข้าชอบกล


    อีซราเม้มปาก กลั้นยิ้มเอาไว้ “นายจงใจของนายเองนี่หว่า”


    “ออกจะน่าซึ้งใจ นี่หมายความว่าพวกเราสนิทกันกว่าที่นายสนิทกับเครนไง”


    “ฉันสนิทกับไซมอนต์ได้ก็พิลึกแล้ว”


    “ไม่พิลึกเท่าที่หวังหรอก แต่ฉันคิดว่าใต้ผ้าห่มเหมาะที่สุดแล้วจริงๆ นึกภาพดูสิ หนังสือหกร้อยหน้าที่ว่าของนาย หรือจะแปดร้อยหน้า พันหน้า เท่าไรก็ได้ ต่อให้แค่แปดสิบหน้า รึร้อยห้าสิบหน้า ขอแค่พาคนที่อ่านเข้าไปในโลก ที่เขาเห็นทางออกอยู่ข้างหลังตลอดเวลา แต่เขาไม่อยากออกไป ขออีกนิดหนึ่งน่า อีกแป๊ปแล้วกัน เฮ้ แวะกลับไปตรงตะกี้ก่อนดีกว่า จนเขาไปทุกแห่ง ค้นทุกซอกทุกมุมที่ฉันสร้างเอาไว้ รู้ทุกอย่างดีพอจนช่วยแต่งเติมได้ด้วยซ้ำ ขณะเขาเดินทาง เขาพาหนังสือไปด้วย จากตรงเก้าอี้ ไปตรงระเบียง กำลังจะมืดแล้ว แต่ไม่อยากลุกไปเปิดไฟเลย รีบอ่านต่อแล้วพลิกอีกสักหน้าก่อนแล้วกัน จนไม่อยากวางขณะแปรงฟัน กระทั่งห้องมืดสนิทแล้ว บ้านทั้งหลังกรน เขานอนมุดใต้ผ้าห่ม ลอดอุโมงค์ระหว่างผ้าห่มกับหมอนกลับมาหาโลกของฉัน แสงสลัวทำให้ภาพในหัวดูสีไม่ตรงกับคำบรรยายนัก อาจจะมืดกว่า เขาลืมเวลาที่ฉันบรรยายเอาไว้เมื่อสามหน้าที่แล้วเรียบร้อย แต่ตัวละครทุกตัวชัดเจนต่อให้ต้องวางหนังสือลงจนได้สิ”


    “แล้วก็เขียนแฟนฟิค”


    อิงการ์ดทำหน้าชื่นมื่น ผงกศีรษะ


    “แล้วก็เขียนแฟนฟิค”


    ข้อสันนิษฐานในหมู่แฟนคลับได้รับการยืนยัน จาร์ค อิงการ์ดอ่านแฟนฟิคของงานตัวเอง


    “นายเขียนเหมือนกันหรือเปล่า”


    “หือ”


    “แฟนฟิค”


    อีซราตบฝาแล็ปท็อปปิด เขินแป๊ด


    “แรน-เดม-ตัน”


    “ไม่ร้องเป็นเพลงเลยล่ะ”


    “ฉันร้องได้แต่เพลงคริสต์มาส” อิงการ์ดรั้งตัวเขากลับลงมานั่ง ในขณะที่คนอื่นรวมถึงอีซราคุ้นเคยกับการหัวเราะจนหมดแรง โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อตรงลำตัวตีลังกาหลายตลบ อิงการ์ดดูจะยิ่งแรงเยอะขึ้นเวลาหัวเราะ อีซราปล่อยน้ำหนักเอนไปข้างหลัง ชนกับอกชายอายุมากกว่าเมื่อตนโดนท่อนแขนอุ่นรัดไหล่กับคอไว้หลวมๆ เขาถือโอกาสนี้ดึงเนื้อผ้าตรงแขนเสื้อ สำรวจว่าทำไมถึงนุ่มนิ้วนักหนา “ฉันอยากรู้ทั้งแฟนฟิคที่นายเขียนกับแรงบันดาลใจเบื้องหลังเจมส์จัง เล่าอันใดอันหนึ่งให้ฟังทีได้ไหม ใกล้คริสต์มาสแล้ว ใจป้ำหน่อยน่า”


    “แล้วนายจะเลิกสนใจว่าอีกอันหนึ่งมีอยู่ไหม”


    “ก็ได้ อีซรา ก็ได้”


    อิงการ์ดปล่อยแขนห้อยพาดบ่าอีซราไว้เช่นนั้น พวกเขานั่งเหยียดขาไปข้างหน้า ขาขวาอีซราเกยข้ามขาซ้ายคนข้างกาย เขาเอาฝ่าเท้ายันพื้นข้างน่องของอิงการ์ดไว้ไม่ให้ทับมากไป ผนังปูไม้ใต้หน้าต่างอุ่นกำลังดีเชียว นอกจากไม่อยากพูดถึงแฟนฟิคให้เจ้าของเรื่องต้นฉบับฟังแม้แต่น้อย ความยาวประเด็นนั้นอาจทำทั้งคู่หลับตรงนี้เลยกระมัง


    “ฉันไม่รู้ว่ามันมาจากไหนแน่” เขาสารภาพ “ตอนนั้นฉันอยู่กับ – เพื่อน – เพื่อนใหม่ เราลงทะเลกัน แล้วฉันก็นึกถึงนี่ขึ้นมา ครอบครัวฉันมีธรรมเนียมรวมญาติอย่างน้อยปีละครั้ง ที่เฮอร์ชีย์”


    “นายเกิดและโตที่นี่ไม่ใช่เหรอ”


    “จำแม่นนี่ แต่ ไม่ พวกเราไปรวมญาติกันที่นั่นเพราะครอบครัวของป้าฉันใหญ่สุด พวกเขาย้ายไปเฮอร์ชีย์ ฉันไปที่นั่นตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนั้นบ้านของป้าอยู่ใกล้ลำห้วย ธีมเลยมักจะออกไปทาง ปล่อยเด็กเล่นกันแถวนั้นจนกว่าจะถึงเวลาเรียกกลับเข้าไปล้างมือกับนั่งร่วมโต๊ะ ซึ่งเด็กเยอะฉิบหาย อย่างกับเข้าค่าย มีเด็กจากแถวนั้นด้วย ไม่รู้ทำไม แต่ตอนนั้นฉันว่าฉันนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา พวกเด็กโตขู่เด็กเล็กว่าถ้าลงไปในน้ำนานเกิน นายจะโดนดูดออกทะเล – นั่นละมั้ง”


    “ไม่เคยมีอุบัติเหตุอะไรใช่ไหมนั่น”


    “นอกจากวิ่งชนกันปากแตกเข่าแหกก็ไม่มี” เขาแตะเข่าตัวเอง ย้อนหวนยังความจำเก่าสมัยตนคือหนึ่งในเด็กที่หกล้ม “ทีนี้ตอนอยู่ในทะเล ฉันมองเพื่อนคนนั้นดำลงไปใต้น้ำ แล้ว…นึกถึงขึ้นมา เพราะว่าเขาน่ามองมาก”


    ผมขยับพลิ้วใต้น้ำ ผิวและกล้ามเนื้อสวยงาม รูปทรงปากที่ไม่ยิ้มแต่ไม่ได้บูดบึ้งเป็นเส้นตรง เผยอไว้เล็กน้อย ราวกับมีอะไรจะกระซิบบอกตลอดเวลา แล้วคุณจะรู้สึกว่าตัวเองพิเศษที่ได้ยิน รู้สึกพิเศษที่ได้มีริมฝีปากคู่นั้นแนบชิดใบหู เป่าพร่ำเสียงหัวเราะกับแววรู้กันเพียงสองคนลับหลังสายตาทั้งหลาย


    พวกเขาสองคนจิกกัดกันสารพัดสารเพ ปากร้ายใส่กัน แต่อีซราไม่เคยปฏิเสธว่าเจสัน เทมส์เป็นคนรูปงามตามแบบฉบับโปสเตอร์ภาพยนตร์ยุคเก่า


    “แล้วฉันก็นึกถึงถ้าร่างนั้นเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่เคลื่อนไหว เขาถูกพัดมาจากไหนให้มานอนอยู่ตรงนั้นล่ะ เขากำลังจะไปไหนล่ะ เขามองอะไรอยู่ สายตาที่แหงนมองผิวน้ำกับม่านฟ้าเห็นอะไร แล้วรอคอยให้บางอย่างเกิดขึ้น แต่เขาเป็นผู้ตามหรือผู้นำของเรื่องราว ฉันคิดไม่ออก เขาแค่สะกิดใจฉันขึ้นมา”


    “เขียนได้ไหม”


    อีซราชะงัก รออิงการ์ดขยายความ


    หมอนั่นไม่ยอม รอเขาถามก่อน


    “เขียนอะไร”


    “เขียนฉากเปิด”


    “ไม่” เอซาปฏิเสธทันควัน ใจเต้นระรัว บอกตามตรงว่าคืนนี้เขายังโล่งใจที่งานมีแค่เขียนการ์ดตัวละครเอาไว้ใช้ด้วยกัน ถือว่าเลื่อนงานเริ่มเขียนไปได้อีกคืน


    “เขียนซะ แรนเดมตัน”


    “พวกเราจะทำงานนี้ยังไง ตอบมาก่อน”


    “ผลัดกันเขียนไปคนละบท? ช่วยกันแก้ ช่วยกันเติม ช่วยกันเกลา แต่นายลองเขียนฉากเปิดก่อน สัญญาว่าคืนนี้จะใส่ตัวละครพื้นฐานทั้งหมดให้ครบ ตกลงนะ” คราวนี้เป็นตาอิงการ์ดทำทีเริ่มลุก มือเกี่ยวหูแก้วหมายจะไปเติมชาจากในห้อง อีซราใช้ขาเกี่ยวต้นขารั้งหมอนั่นกลับลงมา “ให้ตัวละครสักตัวเป็นยิวยิตสูด้วยไหม ท่าทางนายมีประสบการณ์นะ”


    “เลิกทำตัวเป็นอาจารย์ฝึกสอนศิษย์สักที”


    “ฉันเปล่าสักหน่อย”


    “จะให้ฉันเชื่อว่านักเขียนระดับนายไม่มีอีโก้หวงชื่อ พร้อมสละให้คนอ่านเปิดมาหน้าแรกอ่านงานส่วนที่มือสมัครเล่นเขียนเนี่ยนะ” เขาถามหน้าตาย ไม่ขำขันกับแววประกายทะเล้นในดวงตาสีฟ้าที่พาตนพรรณนามาถึงจุดนี้


    “นายต้องเลิกมองว่าฉันหรือเครนเป็นพวกสั่งได้ดั่งใจจะให้งานไหนดังสักทีนะ ชอบอะไร พวกเราก็เขียนลงไป แล้วภาวนาให้มันรุ่งทั้งนั้นแหละ นักวิจารณ์ตั้งกี่คนรอถลกหนังพวกเราแล้วบอกว่าจาร์ค อิงการ์ดยังคงทำได้เพียงเกาะชื่อจากงานเก่าแล้วสร้างงานที่ไม่เคยเทียบเงาตัวเองได้”


    เขาอิงศีรษะเข้าหามือติดกลิ่นชาหอมที่ขยับมายีผมให้ยุ่ง ปลายเส้นผมน้ำตาลแหลมบางกระจุกเลื่อนลงมาแทบทิ่มตา อีซราสะบัดหน้า เป่าลมขึ้นไล่ผมก่อนลืมตามองอิงการ์ดซึ่งยังโดนขาเพื่อนร่วมงานคนใหม่ยึดตัวติดกันเอาไว้


    “เขียนออกมาที แรนเดมตัน เขียนเข้า อีซรา ฉันอยากอ่าน”



    จะอีซราหรือแรนเดมตัน เขาก็เขียนไม่ออก ไฟล์นิยายของเขาขาวสะอาดส่องสว่างจ้าตั้งแต่หัววันยันเที่ยงคืน เขาไปทำงานแล้วกลับมา มองหน้าจออย่างไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีถ้อยคำอันใดผุดขึ้นมาเลยระหว่างที่ตนไม่อยู่ในห้อง จากนั้นก็ทิ้งตัวลงแผ่ไปกับเตียงนอน


    วังวนของการพิมพ์หนึ่งคำ สลับหน้าจอไปทำอย่างอื่น แล้วสลับหน้าจอกลับมาลบคำที่พิมพ์ไปบังเกิดหลอกหลอนจะยามนั่งหน้าโต๊ะ หรือตอนเบี่ยงความสนใจไปเล่นโทรศัพท์มือถือจนตัวเลขบอกเวลากับร่างกายกรีดร้องไม่ให้อภัย อีซราขดตัวใต้ผ้าห่ม กำหมัดกดทุบใส่หมอนด้วยความเบื่อหน่าย


    แล้วเขาก็ต้องหลบหน้าอิงการ์ด ด้วยความรู้สึกผิดสลับกับอยากเอานิยายของหมอนั่นไปป้าบหน้าหมอนั่น


    “เหอ อารมณ์ไหนน่ะ คราวนี้”


    นั่นไม่อธิบายว่าทำไมเขาถึงเอานิยายของอิงการ์ดมาอ่านที่ร้าน ดังนั้นเขาไม่มีคำตอบจะให้เพื่อนร่วมงานที่มาถามเช่นกันว่าทำไมอีซราจึงมานั่งอ่านนิยายผลงานจาร์ค อิงการ์ดก่อนเข้ากะในห้องพักพนักงาน เขาไม่เคยเอาหนังสือนิยายมาอ่านที่นี่มาก่อน แสงไม่เหมาะ เวลาไม่เหมาะ เสียงรอบด้านยิ่งไม่เหมาะ


    “หนีความจริง”


    “สีหน้านายไม่เหมือนคนกำลังหาอะไรสบายใจอ่านเลยนะ”


    “ออกไปทางลงโทษตัวเองมากกว่า” อีซราปิดหนังสือยัดเก็บลงเป้ ลุกขึ้นเหยียดแขนคลายล้า


    “ฉันไม่เคยเข้าใจเลยว่าคนเราเขียนอะไรมากมายขนาดนั้นได้ไง” เพื่อนร่วมงานชี้ “มันไม่ใช่แค่เพราะนายวาดรูปไม่เป็นใช่ไหม”


    “ฉันไม่อยากพูดงี้เลย แต่อิงการ์ดวาดรูปสวยด้วยนี่สิ” เขาหยิบหนังสือกลับขึ้นมาเปิดภาพประกอบข้างในอวด เพื่อนร่วมงานเดินมาพินิจใกล้ๆ พลางทำเสียงชื่นชม “มันก็แล้วแต่คน ไม่ใช่ทุกคนอยากอ่านหนังสือ ไม่ใช่ทุกคนอยากดูหนัง ไม่ใช่ทุกคนอยากฟังเพลง มันก็มีคนที่ไม่ได้อยากวาดเป็นรูป หรืออยากเขียนเป็นหนังสือ”


    “พระเจ้า ฉันแค่อยากนอนเอกเขนกบนโซฟาแพงๆ หน้าเตาผิง แล้วคุยเรื่องเท่ๆ ใต้เพดานกระจก ข้างบนเป็นฝนดาวตก แล้วฉันพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้คนที่ฉันนอนมองหน้าอยู่ขอฉันแต่งงาน”


    “ครั้งเดียวหรือทุกครั้งที่พวกคุณนอนคุยกัน”


    “ช่างหัวฉันเถอะ”


    อีซรายกแขนบังผ้าที่เพื่อนใช้ฟาดหยอก


    พระเจ้า ไม่ใช่อุทาน แต่ 'พระเจ้า' แบบ เรียกหา ฟังหน่อย เขาอยากเขียนถึงฟ้าท่วมแสงดาวยามกลางวัน ที่ทำให้ใครสักคนเห็นโลกใบใหม่ในยามกลางคืน


    รุ่งสางวันนั้น เมื่อกลับถึงห้อง อีซราได้ย่อหน้าแรกเสียทีหนึ่ง เขากดบันทึกพร้อมภาวนาขออย่าให้ตนอยากลบมันทิ้งภายหลัง


    เขาลืมภาวนาขอให้ได้ตื่นตอนพร้อมตื่น ไม่ใช่ก่อนนั้นจากเสียงสัญญาณออดตรงทางเข้าตึก


    “นี่นายโดนไล่ออกจากงานรึไง” อีซราทักตอบคำเอ่ยอรุณสวัสดิ์เมื่อเทมส์เดินขึ้นบันไดมาพร้อมกาแฟสองแก้ว หูถุงกระดาษร้านขนมปังห้อยท้องแขน


    “ยัง แต่ฉันคงได้ย้ายที่ทำงานเร็วๆ นี้ ในตึกวุ่นวายกันน่าดู ท่าทางจะมีชื่อใหญ่แยกตัวแล้วเขาจะเอาคนไปด้วย เมื่อวานฉันก็ได้อีเมลเสนองาน”


    “แล้ว…”


    “ฉันเลยลองทำเป็นไม่เข้างานวันนี้ เผื่อว่าที่เดิมจะเสนออะไรเพิ่ม ถ้าไม่ ฉันก็ย้ายตามไปเหมือนกัน”


    “แล้วถ้านายไม่ได้รับเสนองานใหม่?”


    “วันนี้ฉันอาหารเป็นพิษ”


    อีซรารับแก้วมาดม กลิ่นกาแฟ กลิ่นขมผสมกลิ่นไหม้ในอากาศ เขากระดกอึกหนึ่งแล้วทิ้งตัวคืนสู่เตียง วางแก้วลงบนเก้าอี้ข้างๆ เทมส์ถอดรองเท้าแล้วปีนมานั่งข้างลำตัวเจ้าของห้อง หย่อนถุงขนมปังลงบนอก อีซราพลิกตัว เทให้ถุงนั้นตกลงไปข้างกาย


    “นิยายของนายกับอิงการ์ดเป็นไงบ้าง”


    “ช้า”


    เทมส์ขำออกจมูก


    “หมอนั่นอยากให้ฉันเขียนเปิดเรื่อง”


    “โว้ว” นั่นจริงใจด้วยความตกใจ อีซราบอกได้ ตามมาด้วยแรงตีเข้าหลังเขา “นี่คือเรื่องของนักเขียนชื่อดังฝึกนักเขียนน้องใหม่ไปอย่างอบอุ่น หรือคาวโลกีย์กว่านั้น”


    เขาพยายามเตะแขกไม่ได้รับเชิญลงจากเตียง เทมส์จับขาเขาขึ้นไปพาดตัก ลากตัวอีซราให้ขยับไปบนเตียง จนศีรษะเขาหวิดตกพ้นขอบ เขาลุกขึ้น เขยิบเข้าไปหาจนเกือบนั่งคร่อมตักคนตรงหน้า “นายไม่ได้มาเพราะคิดถึงกลิ่นหายอ้อมกอดห่าเหวอะไรระหว่างเราแน่ มีอะไร” เจ้าห้องถามเสียงงัวเงีย ยังคงไม่หายล้าหรือสลัดความรู้สึกหนักอึ้งจากห้วงหลับพ้นหมด


    “อิจฉาน่ะสิ แปลกตรงไหน จู่ๆ นายก็โดนนักเขียนดังดึงตัวไปทำงานด้วยกัน ฉันเลยต้องมาดูให้แน่ใจว่าเรายังยืดยาดเป็นเพื่อนกัน หรือนายกลายเป็นพวกเขียนได้วันละสิบห้าหน้าขึ้นมาแล้ว จะได้ปรับทัศนคติเวลาอยู่ใกล้ๆ นายถูก”


    “ขอเถอะ ผ่านมาสี่วันตั้งแต่อิงการ์ดบอกให้ฉันเขียนฉากเปิด แล้วฉันเพิ่งเขียนได้ย่อหน้าเดียว” ซึ่งมีแค่สามบรรทัดครึ่ง


    “คิดจะให้ฉันอ่านบ้างไหม”


    “ไม่ละ” เขากลับไปนอนหนที่สอง เทมส์กดน้ำหนักลงมา ผ้าห่มอยู่ไม่สุข มนุษย์ยุกยิกปกคลุมตัวเขา โดยเฉพาะตรงมือกับริมฝีปาก “เรื่องนี้ก็ไม่เช่นกัน พวก” เขางัดเสียงแบบที่ไม่มีทางใช้เรียกคู่นอน มืองัดสู้น้ำหนักเทมส์ขึ้นไปยันหน้าหมอนั่นออกจากซอกคอ


    “งั้นขอยืมอ่านนิยายสักเรื่องแล้วกัน จนกว่านายจะยอมตื่นมาอู้กับฉัน”


    “ฉันอู้เป็นเพื่อนนายด้วยการนอนหลับก็ได้”


    “มันไม่เหมือนกัน เชื่อฉันสิ”


    “ฉันไม่เชื่ออะไรจากปากนายตั้งแต่วินาทีที่นายบอกว่าพิซซ่าต้องกินกับมายองเนสแล้ว”


    กาแฟชืดจนมีกลิ่นเย็นตอนอีซราตื่น นาฬิกาบอกเวลาบ่ายโมง


    เทมส์ไม่อยู่ในห้อง อีซรามองหาซ้ำสองหนก่อนลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างสัมผัสเหนียวแห้งของน้ำลายในปาก ภาพสะท้อนในกระจกพาให้เขาต้องวางแปรงสีฟันลง แล้วเอาปลายนิ้วแตะรอยแดงช้ำจ้ำใหญ่บนลำคอ


    มือรีบวิดน้ำเย็นลูบผิว ทว่าไร้ประโยชน์ ทั้งยังระบมแปลบเพียงขยับคอหรือเอาปลายนิ้วแตะ “แม่ง…” อีซราสบถเจ็บ กดมือลงบนรอยเอาไว้จนความรู้สึกช้ำเบาลงครู่หนึ่ง เขาปราดกลับเข้าห้องนอน คว้าแก้วกาแฟเททิ้งอ่างล้างจานอย่างไม่สบอารมณ์โดยไม่ลดมือจากรอย


    ถ้าเขาเขียนถึงรอยจูบแล้วใส่ว่า ‘มันเป็นรอยจูบก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายจูบริมฝีปากที่ทิ้งรอยไว้ตอบ ไม่อย่างนั้นมันก็แค่รอยกัดหยาบกร้าน’ เขาคงจะอยากให้เจสัน เทมส์ได้อ่านขึ้นมาบ้างหรอก


    อีซราย้อนเข้าห้องน้ำ เปิดกระจกดูหยูกยาข้างในตู้ มีเจลว่านหางจระเข้ที่เคยซื้อไว้เมื่อหกเดือนก่อนสำหรับผิวไหม้ครั้งกลับจากทะเล เขาวางหลอดเอาไว้จนอาบน้ำเสร็จค่อยละเลงสัมผัสเย็นทับไปบนรอยนั่น


    อีกสองชั่วโมงหมดไปกับเน็ตฟลิกซ์และความคิดว่าอิงการ์ดอาจไม่ชอบสามบรรทัดครึ่งที่มีนี่ด้วยซ้ำ อีซรากลับไปที่เตียงนอน ห่มความรู้สึกเกลียดสิ่งที่ตนเขียนแทนผ้าห่ม หนุนความอยากเขียนไม่หยุดแต่กลับเขียนอะไรไม่ออกเลยแทนหมอน เขาสงสัยว่าอิงการ์ดหรือนักเขียนดังทั้งหลายในโลกเคยมีช่วงเวลาเช่นนี้จริง หรือคนที่รู้สึกแบบนี้ล้วนเป็นคนที่ไม่มีวันกลายเป็นนักเขียนดัง


    ความกลัวทำให้ชายนักเขียนขดตัว


    ความหงุดหงิดพาเขาออกไปข้างนอกห้อง --


    “จาร์ค! เปิดประตูนะ!”


    “ไม่อยู่!”


    “นายคิดว่าฉันโง่เหรอ!”


    เครน ไซมอนต์


    เครน ไซมอนต์อยู่ชั้นล่าง หน้าห้องของจาร์ค อิงการ์ด กำลังกระหน่ำทุบประตู ยากจะบอกว่าหล่อนเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของประตู หรือไม่สนต่อให้แผ่นประตูจะเกิดหลุดจากบานพับขึ้นมาจริง


    “หยุดให้แมเรียนกระหน่ำส่งข้อความหาฉันสักที เครน! พวกเธอมันโคตรโรคจิต!”


    “ก็ตอบข้อความแรกสิยะว่าเอาท์ไลน์ถึงไหนแล้ว ไอ้ตัวแสบ!”


    นักเขียนดังกับนักเขียนควบตำแหน่งเจ้าของสำนักพิมพ์ควบตำแหน่งหัวหน้ากองบรรณาธิการกำลังโวยวายใส่กัน อีซรามองภาพนั้นด้วยกรอบเดียวกับละครตลกใส่เสียงหัวเราะปลอม


    ถ้าหลับตารวมถึงดูดเสียงตรงชื่อออก อีซราคงไม่อยากเชื่อว่านี่คืออิงการ์ดกับไซมอนต์กำลังแผดเสียงใส่กันเป็นเด็กๆ ทะเลาะกันว่าใครจะเอาจักรยานไปใช้คืนวันฮาโลวีน หรือคาดคั้นว่าใครละลายตุ๊กตาบาร์บี้แล้วเอาไปซ่อนในห้องใต้หลังคา พวกเขาทุบประตูไปมา สบถล้อเลียนเสียงดังแบบที่ไม่ใช่บรรณาธิการคนไหนจะพูดกับนักเขียนแล้วไม่เสี่ยงกลายเป็นปัญหาในที่ทำงานภายหลัง หล่อนเรียกอิงการ์ดแบบเพื่อนรัก คนสนิท ชายข้างในห้องบ่ายเบี่ยงหนีไซมอนต์ แบบคนที่เขินจะเอางานให้ใครดูกระทั่งกับเพื่อนรักที่ตนไว้ใจ กระนั้นก็ยังไว้ใจว่าเพื่อนจะไม่เมินหนีด้วยความรำคาญ


    นั่นควรตอบความกลัวของเขา แต่ทำไมอีซรายังยืนนิ่งขยับไม่ออก


    “ถึงตึกนี้กำแพงจะเก็บเสียง -- ดีก็เถอะ แต่เธอจะทำฉันโดนไล่ออกจากตึกถ้าพังประตู!” อิงการ์ดยอมเปิดประตูออกมาจนได้ ไซมอนต์เกือบฟาดมือลงหน้าเข้าให้ ยังดีว่าหล่อนหยุดมือทันกลางอากาศ แล้วย้ายไปเท้าสะเอวแทน ช่างเป็นคนที่ขยับแขนได้ไหลลื่นน่าดูชม ทั้งตัวคุณเธอเหมือนเส้นตวัดปากกาโค้งสลวยด้วยฝีมือศิลปินอักษรวิจิตร


    “แล้วใครพูดเสียดิบดีเรื่องพล็อตที่ได้ ฉันต้องอ่านก่อนนายจะเกลียดมัน แล้วฝังมันไม่ให้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน แล้วทิ้งฉันไว้กับงานที่ไถลจากแก่นเดิมไปสามพันไมล์ แต่สุดท้ายนายจะเอาธีมแรกสุดมาขายฉัน จากนั้นมันก็ไม่มีอะไรไปด้วยกันเลยระหว่างงานที่พวกนายเขียนกับสิ่งที่นายสัญญากับฉันไว้แต่แรกน่ะเหรอ ไม่มีทาง อิงการ์ด อย่างน้อยถ้าจะให้ฉันไปกับความย้อนแย้งอะไรก็ตามของนาย เอาทุกขั้นของวิวัฒนาการพิสดารทั้งหลายมาให้ฉันเข้าใจด้วย”


    สองคนนี้ทำเอาอีซราชักมองว่าบางที ตนกับเทมส์อาจเป็นเพียงคนแปลกหน้านั่งข้างกันในโรงภาพยนตร์ซึ่งฉายเรื่องที่เลวร้ายกว่าในตัวอย่างภาพยนตร์ก็เป็นได้ แล้วทุกการกอด สัมผัสที่มีระหว่างพวกเขาเป็นแค่การหยิบถังข้าวโพดคั่วราดคาราเมลผิดข้างของมือเท่านั้นเอง


    อิงการ์ดเห็นอีซราตอนมองรีหันไปมา ดั่งว่ามีคำเถียงให้หยิบสรรจากผนังสองข้าง “อีซรา พอดีเลย ได้เวลาแล้วใช่ไหม ใช่ ตกลง ไปกันเถอะ”


    “นายรู้ตัวใช่ไหมว่าไม่ได้กำลังแกล้งคุยโทรศัพท์อยู่” ไซมอนต์ขัดคอไม่ไว้หน้ากัน ซึ่งอิงการ์ดไม่แยแสสักนิด พ่อนักเขียนดังคนสนิทของหล่อนเดินปราดมาหาอีซราแล้วดึงแขนเขาเดินลงบันไดด้วยกัน “จาร์ค! ส่งไฟล์มาให้ฉันก่อน!”


    “ไปก่อนนะ พวกเรามีธุระ”


    “พนันกันไหมว่านายมันไอ้โกหก!”


    “ห้าเหรียญแล้วกัน!”


    อีซราได้แต่ตามอิงการ์ด เขาเหลียวมองหลังแล้วทันเห็นเครน ไซมอนต์กระฟัดกระเฟียดเดินเข้าห้องของเพื่อนเจ้าหล่อน ส่วนเพื่อนคนนั้นดึงแขนลากเขาไปข้างนอกตึกทั้งสภาพเสื้อยืดกางเกงวอร์ม เท้าเปล่า ตัวหมอนั่นเองสวมเพียงเสื้อแขนยาวคอวี กางเกงยีน และรองเท้าใส่ในบ้าน


    “นั่นดูเจ็บนะ” คือประโยคแรกที่อิงการ์ดทักหลังจากพวกเขามานั่งตั้งสติในรถยนต์ด้วยกัน สายตาหยุดตรงแถวลำคอ อีซรานั่งข้างคนขับ ยังคงทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


    “นายลากฉันมานี่ทำไม”


    “เพราะถ้าฉันปล่อยนายไว้บนนั้น เครนมีหวังได้จับนายเป็นตัวประกันจนกว่าฉันจะส่งทุกอย่างที่มีให้น่ะสิ”


    “ไม่ใช่นั่นคือสิ่งที่นายควรทำเหรอ เขาจะเป็นเสมือนคนดูแลของพวกเราใช่ไหม”


    “ไม่ใช่แบบที่ใครเคยเห็นนักเขียนการ์ตูนญี่ปุ่นกับผู้ดูแลเป็นกันในการ์ตูนหรอก อย่างน้อยเครนหรือแมเรียนไม่ใช่ประเภทนั้น พวกเราไม่ได้จ้างพวกเขามาดูแลงานพวกเรา พวกเขาจ้างพวกเราเขียนงานให้สำนักพิมพ์เขา เครนจะจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ค่าพิมพ์ ค่าปก จัดหาตัวแทนให้นาย แต่อันที่จริง พวกเราไม่มีบรรณาธิการหรอก จนกว่าจะเขียนเสร็จแล้วส่งให้คุณเธอดูเอาเองว่าจะตีพิมพ์งาน หรือจะไล่พวกเรากลับไปเขียนใหม่”


    “งั้นเขามาทวงอะไรจากนาย”


    “ความคืบหน้าเฉยๆ ในฐานะเพื่อนที่จะเอาข้อมูลไปประเมินการลงทุนภายหลัง นี่คืออุตสาหกรรมครัวเรือน อีซรา เพราะฉันกับเครนเป็นมืออาชีพระหว่างกันไม่ได้หรอก พวกเราจะขาดใจตายเอา ยายนั่นมีคนต้องไปทำตัวเป็นมืออาชีพด้วยอีกเยอะแยะ ฉันก็เหมือนกัน” จาร์คโขกหลังหัวกับเบาะคนขับ “ฉันยังไม่ได้ส่งโครงเรื่องทั้งหมดให้เครนด้วยซ้ำ”


    “เพราะ”


    “ตัน”


    “โอเค เข้าใจ” อีซราเอนตัวไปทางกระจกหน้าต่าง ไขว้แขนกอดอกอย่างช่วยไม่ได้ “แล้วเราจะทำยังไงกันต่อ”


    “เพื่อนรักของฉันคงคิดว่าเราจะหนีไปซื้อเครื่องดื่มเข้ากับเทศกาลมาจิบให้ผ่อนคลาย ดังนั้นห้องฉันคงโดนยึดไปแล้ว และนายไม่อยากให้ฉันเข้าห้องนาย ดังนั้นก็ไม่รู้เราจะหาทางดอดผ่านชั้นห้องของฉันไปทำไม ตรงมุมโปรดของเราสองคนก็ไม่ได้พ้นจากเครนเลย”


    “มุมโปรดใครนะ” อีซราท้วงแม้ไม่มีเหตุผลต้องท้วง เขาชอบมุมนั้น ต่อให้หลังจบงานนี้ อิงการ์ดไม่อยากเขียนงานด้วยกันอีก อีซราก็คิดว่าตนจะยังคงหาเหตุผลไปนั่งตรงชานบันไดนั่นแม้จะตามลำพัง


    “นายยืนอยู่ตรงนั้น วันนี้เราไม่ได้นัดคุยกันตรงนั้นด้วยซ้ำ”


    “ฉันแค่ชอบต้นคริสต์มาส”


    ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องบอกอิงการ์ด


    “อือฮึ นี่วันที่ยี่สิบเข้าไปแล้ว ห้องนายเป็นไม่กี่ห้องที่ไม่แต่งอะไรตรงประตูเลย”


    แทบทุกห้องในตึกประดับพวกถุงเท้าแดงขาวเป็นขั้นต่ำของการอุทิศแก่วันหยุดฤดูหนาว


    “ฉันชอบต้นคริสต์มาสหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับฉันจะแต่งห้องฉันไหม”


    “มันไม่ส่งเสริมกันด้านลักษณะภายนอกกับภายในตัวละครแล้วก็ฉาก นายก็รู้”


    “ฉันอยากเขียนนิยายเพราะฉันจะได้ไม่ต้องเป็นตัวละครนี่แหละ”


    “นักเขียนทุกคนเป็นตัวละครกันทั้งนั้น แต่พวกเราแค่บ้าอำนาจไปด้วย” อิงการ์ดบิดกุญแจ ติดเครื่องยนต์ “ไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำกันไหม”


    “อิงการ์ด ฉันไม่ได้ใส่รองเท้า”


    “นั่นเป็นข้อห้ามรึ”


    “นึกอยากมโนว่าฉลามกัดต้นฉบับนายกระจุยหมดรึไง”


    “เปล่า ฉันแค่อยากมองฟองอากาศในน้ำขึ้นมา”


    นั่นฟังดูจริงใจ พิลึก ทว่าจริงใจ


    “แล้วก็ฉันอยากปล่อยเครนรอจนหลับ ยายนั่นถ่างตาตื่นได้แค่ถึงเที่ยงคืนเท่านั้นแหละ”


    “ไม่อยากขัดศรัทธาหรอกนะ แต่นี่ยังไม่ห้าโมงเย็นด้วยซ้ำ ขับไปเฮอร์ชีย์แล้วกลับมาสิ คงได้สักแปดหรือเก้าชั่วโมง”


    “ตกลง”


    อีซราเอาศอกยันลงบนขอบหน้าต่าง เอนหัวพิงกับฝ่ามือ


    แล้วเด้งตัวนั่งตรง เพิ่งเอะใจ


    “นายหมายถึง ตกลงจะไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หรือจะไปเฮอร์ชีย์”


    “ที่นั่นมีพวกช็อกโกแลตที่ไม่มีวางขายทั่วไปในนิวยอร์กอะไรแบบนี้บ้างไหม”



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in