สุขสันต์วันครบรอบ 1 ปี 6 เดือนของชีวิตการทำงาน เราตั้งใจจะเขียนรีวิวตัวเองเสมอในทุกก้าวของการทำงาน เผื่อว่าวันไหนลืมตัวจะได้กลับมาย้อนคิดว่าตัวเรานั้นผ่านอะไรมาบ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเพียงการรับรู้ รู้สึก และคิดไปเองของเราทั้งสิ้น ก่อนที่จะครบรอบ 2 ปีของการทำงานในที่แห่งนี้ เลยอยากจะมาบอกเล่าความรู้และประสบการณ์ที่พบเจอฉบับเด็กใหม่ ผู้ซึ่งไม่เคยผ่านการทำงานที่ไหนมาก่อน หัวข้อที่อยากเล่าก็จะมีทั้งสิ่งจำเป็นต้องมี ความผิดพลาดและข้อควรระวัง รวมไปถึงโอกาสต่าง ๆ ที่ได้จากการทำงานที่แห่งนี้ เราไปเริ่มกันเลย!
ส่วนแรกขอเสนอสิ่งเราจำเป็นต้องมีในการทำงาน เพื่อที่เวลาทำงานจริงแล้วตัวเราจะได้ไม่ตกใจมาก หรือช็อคจนลนลานตั้งสติไม่ได้ โดยมากอยากจะแนะนำทักษะที่จำเป็นในการทำงาน เพราะองค์ความรู้เป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้อยู่แล้ว สิ่งสำคัญแรกที่ควรมี โดยเฉพาะหากทำงานในส่วนราชการ ตามตำราซุนจื่อสำนวนไทย คือ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง (知彼知己,百戰不殆) หมายความว่า เราจำเป็นต้อง "รู้เขา" คือรู้เรื่องสำนักงานที่เราทำให้มากที่สุด ทักษะที่โดดเด่นคือ "การสังเกต" สังเกตว่าวัฒนธรรมการทำงานเป็นยังไง คนทำงานส่วนใหญ่มีลักษณะยังไง ทั้งเรื่องการแต่งตัว การพูด การทำงาน ลักษณะการกิน เราต้องดูภาพรวมทั้งหมดก่อน เพราะถ้าเราแตกต่าง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนที่นั่นจะมองเราเป็นคนละพวกกับเขา เดี๋ยวคงจะได้ขยายความในส่วนต่อไป และอีกทักษะที่ต้องมี คิือ "การใส่ใจ" บุคคลที่ต้องใส่ใจอย่างแท้จริง คือ เพื่อร่วมงานกับเรา คนที่นั่งข้างกันหรือกลุ่มเดียวกันกับเรานี่แหละที่ต้องมองให้ออก หาให้เจอว่าเค้ามีค่านิยมแบบไหน ชอบหรือไม่ชอบอะไร เพื่อที่จะได้ร่วมขบวนเดียวกับเรา ผลงานที่ออกมาจะราบรื่นแน่นอน
เมื่อรู้เขาแล้ว ก็ต้อง "รู้เรา" รู้ว่าตัวเราเป็นคนยังไง มีค่านิยมหรือแนวคิดแบบไหน สอดคล้องหรือแตกต่างจากคนในที่ทำงาน เพราะหากเราตัดสินใจจะร่วมขบวนกับเขาแล้ว ต้องอย่าลืมบรรทัดฐานที่เรายึดถือด้วย พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ อย่าเสียตัวตนเราไปกับสถานที่ทำงานที่เราไม่รู้ว่าจะอยู่นานแค่ไหน ดังนั้น ทักษะที่สำคัญของการรู้จักตัวเองคือ "ความกล้า" กล้ายอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น กล้าลองผิดลองถูกในสิ่งที่ไม่เคยทำ รวมถึงกล้าเผชิญกับความผิดพลาดเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น และหาทางแก้ไขให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้รู้ว่าเราทำอะไรได้ดี และอะไรที่เรายังต้องเรียนรู้ต่อไป สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้จากการวนเวียนในสิ่งแวดล้อมการทำงานเดิมมาเกือบ 2 ปี คือ ไม่มีใครสนใจตัวตนเราขนาดนั้น ทุกคนสนใจผลงานที่เราทำมากกว่า ที่เป็นแบบนี้ เราสันนิษฐานเอาเองว่าอาจเป็นเพราะช่วงชีวิตการทำงาน ทุกคนมีเรื่องที่ต้องใส่ใจของตัวเองทั้งนั้น ทั้งเรื่องครอบครัว เงินทอง การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง โรคภัยไข้เจ็บ บ้านรถที่ดิน และอื่นๆ อีกมากมาย สิ่งที่จะแสดงตัวตนเรามากที่สุดไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่เป็น "ผลงาน" ที่เกิดจากความกล้าทำของตัวเราเองทั้งสิ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรมีในตัวของทุกคน คือ "ทักษะการวิเคราะห์" เพราะการใส่ความเห็นหรือส่วนวิเคราะห์ลงไปในผลงาน จะทำให้งานเราโดดเด่น ลองคิดดูว่าการนำเสนอผลงาน หากจะใส่แต่ข้อเท็จจริงที่รวบรวมเอาไว้ มันดูน่าเบื่อไม่น้อย ออกแนวทื่อๆ ไม่มีชีวิตชีวา และไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงกับข้อเท็จจริงเหล่านั้น แต่เมื่อเราใส่ความคิดเห็น ทฤษฎี และข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิเคราะห์ลงไปในผลงาน จะทำให้ผู้รับสาร (ในที่นี้ก็คือผู้บังคับบัญชาของเรา) จะเริ่มมองเห็นภาพรวมและคาดการณ์อนาคตของข้อเท็จจริงเหล่านั้นได้ นับว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจในงานของพวกเขาอีกที สิ่งนี้แหละที่จะทำให้ชีวิตการทำงานของเราราบรื่นมากขึ้น ทั้งยังทำให้หัวหน้างานไว้ใจการทำงานของเราอีกด้วย แต่การวิเคราะห์ของเรานั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องมีทฤษฎีมารองรับ หรือมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือได้อย่างแท้จริง จะเป็นสถิติข้อมูล หรือการรวบรวมบทวิเคราะห์จากผู้น่าเชื่อถือทั้งหลายก็ได้ ซึ่งเราสามารถใช้องค์ความรู้ที่มีมาใช้ หรือจะครูพักลักจำจากผลงานที่ผ่านมาขององค์กรเรามาเป็นตัวตั้งต้นก็ได้เช่นกัน
เมื่อเรารู้ถึงสิ่งที่จำเป็นไปแล้ว สิ่งที่ต้องระวังในการทำงานนั้นกลับมากมายมหาศาลอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน ด้วยความที่เราทำงานในส่วนราชการ ข้อควรระวังแรกๆ ที่เพื่อร่วมงานคอยเตือน คือ การจับจ่ายใช้สอยจากงบประมาณของรัฐ เพราะทุกอย่างในสำนักงานเราไม่เคยเป็นของเราจริงๆ จะใช้ของหลวงต้องระวังให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์สำนักงาน โทรศัพท์ รถยนต์ อุปกรณ์เครื่องใช้ รวมไปถึงการจะเบิกเบี้ยเพื่อใช้ในภารกิจต่างๆ ด้วย คิดไว้เสมอไม่ว่าจะจบอะไรมาก ถนัดเรื่องอะไร เราต้องมีสกิล "นักบัญชี" ติดตัวไว้ อย่างน้อยก็ต้องดูความผิดปกติของบัญชีให้เป็น เพราะมันจะมีแน่ๆ ถือว่ามันเป็นเครื่องป้องกันเราขึ้นโรงขึ้นศาลในอนาคตก็แล้วกัน ขอบอกเล่าเก้าสิบสักหน่อย คือ บัญชีของงานราชการละเอียดมากถึงมากที่สุด ยิบย่อยจนไม่น่าให้อภัย คำกำกลวง ตัวเลขเฉลี่ยไม่มีที่มาที่ไป สิ่งที่อยากแนะนำเป็นสิ่งแรกเมื่อเข้าทำงาน คือ สนิทกับฝ่ายบุคคลและฝ่ายบัญชีเอาไว้ปรีกษาเรื่องข้อกฎหมายและกฎระเบียบเกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคลของเรา ซึ่งเป็นหน้าที่เค้าที่ต้องช่วยเรา (อาจจะมากกว่าหัวหน้าเราด้วยซ้ำ)
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องระวังให้ถึงที่สุด คือ "การเข้าสังคมการทำงาน" ที่หมายถึงไม่ใช่แค่มาทำงานแล้วพบปะผู้คน แต่มันโยงไปถึงการวางตัวในที่ทำงานต่างหาก ในการทำงานจริง จะมีธรรมเนียมและมารยาทมากกว่านั้นที่โรงเรียนไม่ได้สอน เราขอระบายตรงนี้เลยว่าในปีนี้เราเจอกับเบญเพศ (Quarter-life Crisis) เพราะเราไม่คุ้นเคยกับวัยผู้ใหญ่ที่ต้องมีสังคมกินเลี้ยง ให้ของขวัญ แสดงความยินดี ไปงานสีดำ หรืออะไรที่คล้ายๆ กันแบบนี้ที่จะแสดงความมีน้ำใจของเราต่อผู้อื่น มันทำให้เราสับสน ไม่อยากทำ ไม่ชอบที่จะเป็นแบบนั้น และไม่อยากสละเวลาส่วนตัวเพื่อไปแสดงความเห็นใจใครทั้งนั้น เลยเกิดการต่อต้านแบบเงียบๆ อาการพวกนี้เป็นอาการที่ไม่น่ารักเท่าไหร่และพวกผู้ใหญ่ในที่ทำงานเราก็อาจจะมองว่าเด็กคนนี้ใช้ไม่ได้เหมือนกัน ซึ่งก็ไม่ผิดเท่าไหร่หรอก (อาจจะคิดถูกด้วยซ้ำ) เราจึงอยากจะมาเตือนเด็กแรกจบเช่นเรา (ที่เติบโตมาพร้อมกับการหารทุกอย่างคนละครึ่ง หากสะดวกใจจะทำก็ให้ทำ) พร้อมกับปรับปรุงนิสัยตัวเองไปด้วยว่า เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน เวลาของเราอาจไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของที่ทำงาน ธรรมเนียมบางอย่าง เช่น การให้ของตอบแทน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการจดจำอย่างใส่ใจ ควรจะมีบันทึกไว้ว่าใครให้ของเรามาบ้าง แล้วเราตอบแทนเขาไปหรือยัง เพื่อไม่ให้เสียมารยาทและสร้างความผิดหวังแก่ผู้ให้จนเกิดความบาดหมางกันในอนาคต (we can assume that a gift giver expect to something in return) พูดสั้นๆ ของเราเลยคือ การจะวางตัวในที่ทำงานได้ดี จะต้องเอาใจใส่ผู้อื่นให้มาก (แต่ต้องไม่เอาเรื่องคนอื่นเก็บมาคิดไปพร้อมกับด้วย)
ข้อควรระวังสิ่งสุดท้าย คือ การแสดงตัวตนของเรา (self-expression) อย่างที่เราเกริ่นไปก่อนหน้าว่า ชีวิตการทำงานของเราจะดีได้ จะต้อง blend in ไปกับคนในสำนักงานนั้นด้วยส่วนหนึ่ง มิฉะนั้น ในสายตาของคนทำงานด้วยกันแล้ว เราจะแปลกแยกทันที ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของเราได้ไม่น้อย ขอยกตัวอย่าง กลุ่มคนที่เป็นปัญหาส่วนมากคือกลุ่มเด็กเนิร์ดที่ชอบปลีกวิเวก เก่งมาก ฉลาดมาก แต่เข้ากับสังคมส่วนมากไม่ค่อยได้ สิ่งพวกนี้อาจจะส่งสัญญาณมาตั้งแต่มหาลัยแล้ว แต่คงจะไม่เห็นความแตกต่างมากนัก ผิดกับที่ทำงานที่สังคมแคบลง และทุกคนในนั้นรู้จักกันทั้งหมด หรืออาจจะไม่รู้จักแต่คำว่า "ปากต่อปาก" นั้นมีจริง รู้คนหนึ่งคือรู้ทั้งทสำนักงาน ดังนั้น อย่าทำตัวแปลกประหลาดจนคนเขาเอาไปพูด เพราะเราต้องคำนึงเสมอว่าเราไม่มีทางรู้ว่าเราเป็นยังไงในสายตาคนอื่น ดังนั้นมันจึงย้อนกลับไปที่การวางตัวของเราให้เหมาะสม อย่าเป็นพวกรังเกียจสังคม เพราะเรายังอยู่ในสังคม และยังต้องทำงานอยู่ใต้ผู้บังคับบัญชาที่ต้องประเมินผลงานของเรา ดังนั้นทำตัวให้คนรักตั้งแต่แรกพบจะดีกว่า ระมัดระวังคำพูด มีสติอยู่เสมอ และต้องรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เพราะเมื่อคนเห็นและรักเราแล้ว ต่อให้ใครมาพูดจาไม่ดีหรือมองเราไม่ดี ก็เสมือนมีเกราะกำบังเราเอาไว้ อย่างที่เราต้องการสื่อจริงๆ คือ คนเราต้องมีกลยุทธ์ในสนามรบที่เรียกว่าการทำงาน ซึ่งต้องใช้หัวหน้าเรานี่แหละ เป็น safeguard คอยปกป้องเราจากคนอื่นที่มองเราไม่ดี
เมื่อพูดถึงสิ่งที่นักทำงานมือใหม่ควรมีและควรระวังไปบ้างแล้ว ก็มาถึงการฉกฉวยโอกาสจากความเป็นมือใหม่กัน โอกาสแรกๆ ที่มาพร้อมกับมือใหม่ก็คือ การได้รับความเอ็นดู และการคาดหวังที่น้อยกว่าผู้มีประสบการณ์ สิ่งเหล่านี้คือโอกาสสำคัญของเด็กใหม่อย่างเราที่ต้องฉวยโอกาสตรงนี้ในการเรียนรู้เนื้องาน องค์กร และวัฒนธรรมต่างๆ ขององค์กรให้ได้มากที่สุด เราสามารถถามได้อย่างหน้าซื่อตาใส หากเจอหัวหน้างานดี ภารกิจงานที่เราได้รับก็จะสมเหตุสมผล เราจะมีนักรีวิว (reveiwer) ผลงานเราแบบฟรีๆ ซึ่งหากเราสามารถแก้ไขจุดบกพร่องที่คนอื่นมองเห็นในตัวเราได้ ก็จะทำให้เราเติบโตอย่างสง่างามอย่างแน่นอน ในทางกลับกัน หากเราเป็นเด็กใหม่ผู้โชคร้าย พบเจอแต่คนแปลกๆ ในหน้าที่การงาน เช่น หัวหน้าไม่สอนงาน รีวิวงานของเราอย่างไร้เหตุผล โดนปฏิบัติไม่ดีจากผู้บังคับบัญชา ก็ขอให้มองเป็นอีกหนึ่งโอกาสทดสอบความอดทนของเรา รวมถึงพัฒนาการมองคนในอีกรูปแบบหนึ่ง แน่นอนว่ามันจะทำให้เรารู้สึกเครียดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ได้โปรดเคารพตัวตนและศักดิ์ศรีของเรา สิ่งที่เราทำได้ในสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงแต่ควบคุมตัวตนเราให้ได้ (self-control)
อีกหนึ่งโอกาสสำคัญที่มาพร้อมกับเด็กใหม่ คือการเข้าคอร์สต่างๆ ที่จะพัฒนาทักษะเราในหน้าที่การงาน โอกาสเหล่านี้อาจมาเฉพาะบุคคล เรา (ในฐานะผู้เขียน) ค่อนข้างโชคดีที่ได้หัวหน้างานที่เข้าอกเข้าใจเด็กแรกจบ เมื่อมีอบรมของสำนักงานก็มักจะส่งเราไปอยู่เรื่อยๆ (ข้อดีของราชการคือ มีคอร์สอบรมเยอะมาก เราไม่มีทางตกเทรนด์ได้เลย ถ้าเราใส่ใจน่ะนะ) การเข้าอบรมเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัวเรากับสำนักงาน บ่งบอกว่าเราทำงานที่นี่นะ สามารถติดต่อกันได้ โดยนัยก็คิือ เป็นการสร้าง Network ภายในหน่วยงาน สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นใบเบิกทางให้กับตัวเราในอนาคต เพราะเมื่อเราอยู่ในสังคมการทำงาน แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถอยู่แต่ที่เดิมได้ มักจะมีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การสร้างคอนเนกชั่นในที่ทำงาน โดยเฉพาะพวกเขารู้จักเราผ่านการอบรมนี้ จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้คนมองเห็นความสามารถของเรา และข้อดีของเราไว้ในใจอยู่แล้ว เมื่อการโยกย้ายมาถึง บุคคลพวกนี้ก็จะโอบรับเราอย่างเต็มใจ เป็นเสมือนเบาะนุ่มๆ ในยามที่เราต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งนั่นเอง ทั้งยังเป็นโอกาสทำคัญที่ทำให้เรานำทักษะต่างๆ ที่ได้อบรมมาพูดได้อย่างเต็มปากว่าเราเคยอบรมสิ่งนี้มา คิดว่าดี และคิดว่าทำได้ในสายงานเรา ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันความสามารถของเราให้เพื่อนร่วมงานเชื่อใจและไว้วางใจในผลงานของเรา
สุดท้ายนี้ ไม่ว่ายังไงทุกคนก็ต้องพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตอยู่ตลอดเวลา เราจะมองเห็นมันเมื่อเรานึกถึงมัน ตราบใดที่ไม่มีีโชคใหญ่เข้ามาหา เราก็ต้องวิ่งตมวงจรชีวิตนี้อยู่ร่ำไป แต่เราจะวิ่งไปในทิศทางไหน ก็ขอให้คำนึงถึงความสามารถที่เรามี เชื่อในสิ่งที่เราคิด กำลังใจที่เราได้รับ และมองเห็นโอกาสในชีวิตอยู่เสมอ อย่าเสียตัวตนเราให้กับสิ่งใด และอย่าลืมคิดถึงผลประโยชน์ส่วนรวมที่เราได้อยู่อาศัยด้วยเช่นกัน