เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Mes mémoiresMon Cherie
เมื่อฉันครบทดลองงานราชการ
  • หลังจากห่างหายไปนาน เราได้เข้าสู่กระบวนการทำงานอย่างเต็มตัว ตื่น 6 โมงเช้า ออกจากบ้าน 7 โมง และกลับถึงบ้าน 6 โมงเย็น ในช่วงระหว่างวันก็ทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งทุกอย่างล้วนแต่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหัวหน้างานทั้งสิ้น นั่นเป็นสิ่งที่เราคับข้องใจอย่างมาก ไม่สามารถเลือกสรรสิ่งที่อยากทำได้ และที่สำคัญคือ เพื่อนร่วมงานไม่ได้มีสิ่งที่สนใจร่วมกันเลย อาจด้วยเพราะเติบโตกันต่างที่ ช่วงวัยที่ห่างกันเกินไป หรือต่างการศึกษาที่ต่างกัน นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่อยากมาทำงานทั้งสิ้น 

    แต่เมื่อได้เข้ามาทำงานที่แห่งนี้แล้ว ไม่ได้พบแต่ข้อกังวลใจเท่านั้น ยังมีข้อดีอีกหลายอย่างที่เราพบเจอ ตั้งแต่เครือข่ายดี ๆ เช่น เราพบเพื่อนร่วมงานทั้งในและนอกหน่วยงาน ทุกคนล้วนแต่เป็นคนเก่งเกินคาด ทำให้เรา drive ตัวเองอยู่เสมอ จะอยู่แต่จุดเดิม ๆ ไม่ได้ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราได้ฝึกหัด เพราะไม่มีอะไรแน่นอนในวงการราชการ วันนี้ชิวมาก วันต่อมางานท่วมก็ยังมี โชคดีที่เราได้อยู่สังกัดของหัวหน้าที่มีความเป็นผู้ใหญ่ (สนง.เราหัวหน้าส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเมื่อเทียบกับอายุราชการ) ท่านสามารถจัดการและวางแผนงานได้ดี งานที่มาถึงเราจึงเป็นงานที่เรานั้น "พอทำได้" และไม่กระทบต่องานส่วนใหญ่เกินไป 

    สิ่งที่ชอบที่สุดสำหรับงานนี้คือ เนื้อหาสาระของงาน และการได้เข้าร่วมประชุมและรู้เนื้อหาในสิ่งที่แต่ละหน่วยราชการกำลังทำ (เราทำเกี่ยวกับนโยบายด้านความมั่นคง ซึ่งค่อนข้างตรงกับสายที่เรียนมาด้วยส่วนหนึ่ง) ทำให้รู้ได้บางส่วนว่า หน่วยงานราชการ "พูดเก่งและอธิบายเหตุผลเก่งมาก" ซึ่ง ณ ที่ประชุมนั้น เราไม่ได้มีเวลามากพอที่จะไตร่ตรองความสมเหตุสมผลนั้นหรอก ก็ได้แต่ อือ-ออ ค่ะ/ครับ กันไป พอกลับมาทำรายงานการประชุมนั้นก็พบว่า บางจุดนั้นเป็นการใช้ตรรกะวิบัติ หรือมีความไม่สมเหตุสมผลของคำตอบอยู่บ้าง แต่ความแม่นยำของข้อมูลนั้นนับว่ามีค่อนข้างสูง (ถือว่าเป็นโชคดีที่หน่วยงานราชการไทยทำงานกันจริงๆ ก็แล้วกัน) ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ หลายหน่วยงานไม่ค่อยรับงานจากความเห็นของที่ประชุม เช่น ขอให้หน่วยงานทำส่วนนี้เพิ่มเติมได้มั้ย ส่วนใหญ่ก็จะตอบว่า"ขอรับความเห็นไปปรึกษาผู้บริหารก่อน" ซึ่งนั่นเป็นการป้องกันตนเองให้ไกลจากภาระงานที่เพิ่มเข้ามาในเบื้องต้น ทำให้ภารกิจที่จัดประชุมนั้นส่วนใหญ่จะล่าช้า และไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือได้ตามเป้าหมายนั่นแหละ แต่ไม่มีประสิทธิผลชัดเจน (ปล. นั่นเป็นสิ่งที่เราหงุดหงิดอย่างยิ่งเมื่อสุดท้ายเราก็ต้องทำตามแบบนั้น เพื่อที่จะไม่สร้างภารระงานกับเพื่อนร่วมงาน) 

    อ้อ ข้อดีอีกอย่างของการทำงานที่นี่คือ ทักษะการเข้าสังคม ซึ่งเราพัฒนาขึ้นมาก จึงอยากจะเขียนสิ่งที่เราพยายามพัฒนามาตลอดหนึ่งปีไว้เป็นเครื่องแสวงหาโอกาสใหม่ๆ กล่าวคือ  

    1. การนำเสนองาน: เราอาจโชคดีหนึ่งอย่างคืออยู่ในสายงานที่ผู้บริหารต้องการเห็นความสามารถของเด็กใหม่ทุกคน สายงานของเรามักจะให้เด็กหาเรื่องไปนำเสนอที่ประชุมสายงานทุกๆเดือน ลักษณะการพูด วาทศิลป์ กราฟฟิกดีไซน์ หรือแม้กระทั่งบุคคลิกภาพ เราเห็นได้ชัดเลยว่าพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด นับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวตนของเราที่เพิ่งค้นพบ เรารู้สึกว่าเราโดดเด่นและเป็นตัวเองอย่างมากเวลาอยู่หน้าเวที (แม้โอกาสจะน้อยมาก)

    2. ความกล้า: เรากล้าพูด กล้าคุย ไม่อายที่จะบอกความคิดเห็นออกไป หรือแม้กระทั่งเข้าหาผู้ใหญ่ คนต่างเพศหรือต่างภาษา เรียกได้ว่า เรากลายเป็นคนกล้าที่แม้บางทีอาจมีความไม่มั่นใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้สร้างผลกระทบให้ใครเดือดร้อนกับความรู้สึกของเรา มีอยู่งานหนึ่งที่เราประทับใจที่สุด คือ ตอนที่ไประดมความเห็นกับหน่วยงานอื่น ซึ่งเป็นวงเล็กๆ ทุกคนต้องแสดงความคิดออกมาพิจารณากัน เราสามารถพูดได้ ตอบโต้ได้ และไม่ได้ทำให้กลุ่มงานเดือดร้อนใด ๆ ทั้งยังได้เครือข่ายดี ๆ ที่แม้จะไม่ได้ติดต่อกันแล้ว แต่ก็เป็นงานที่เรารู้สึกภูมิใจอยู่เสมอเมื่อนึกถึง

    3. การจัดการความคิด: ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่าเราเป็นคนคิดเยอะ คิดมาก ใส่ใจทุกการกระทำของคนอื่นสุดๆ และทำทุกอย่างไปพร้อมกันเหมือนกันตัวเองมีพันมือ แต่พอได้มาทำงานแล้วเรารู้สึกเหนื่อยกับคน และว่างงานจนน่าหงุดหงิด เลยพยายามจะเลิกกังวลในสิ่งที่คนอื่นคิด หรือเก็มแต้มงานของแต่ละวัน พูดง่ายๆ  คือพยายามไม่ให้ตัวเองคิดมากหลังจากพูดหรือเสนออะไรออกไป คนอื่นจะคิดหรือรู้สึกอย่างไรกับเราก็ปล่อยให้เป็นความคิดของคนนั้น เราห้ามความคิดใครไม่ได้ และหันมาจัดระบบความคิดของตัวเอง โดยเฉพาะการกระทำในสิ่งที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นหรือตัวเอง เราพยายามจัดลำดับงานตามแต่สถานการณ์ คือ ทำงานที่เร่งด่วนก่อน (แม้ว่าในความเป็นจริงจะไม่มีอะไรเร่งด่วนเลยก็ตาม) แต่สำหรับเราในตอนนี้ เลือกทำงานให้เสร็จเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่สนใจ 

    4. ความละเอียดรอบคอบของงาน: เราทำงานรอบคอบมากขึ้นนับตั้งแต่มาทำงานที่นี่ กล่าวคือ จากที่เป็นคนใจร้อน ทำงานเร็ว แต่ความละเอียดของเนื้อหางานนั้นไม่ต้องพูดถึง คือหาไม่ได้เลย พิมพ์ผิด พิมพ์ถูก วรรคคำแปลกๆ ชวนให้คนตรวจงานรู้สึกหงุดหงิดใจ แต่เมื่อเราได้เขียนงานบ่อยขึ้น ต้องเสนองานให้คนอื่นเห็นมากขึ้น เราได้ใส่ใจกับรายละเอียดของเนื้องานอย่างไม่เคยทำมาก่อน ต้องคิดอยู่เสมอว่าตรงนี้ควรเขียนมั้ย คนอ่านจะรู้เรื่องมั้ย เขาเข้าใจในความหมายเดียวกับเรารึป่าว สิ่งที่ตระหนักรู้จากการทำงานนี้คือ "เสียเวลาสักนาทีเพื่อตรวจสอบรายละเอียดของงานก็ไม่ใช่เรื่องแย่เลย"

    เมื่อพูดถึงข้อดีไปบ้างแล้ว ข้อเสียกลับเป็นสิ่งที่เราอัดอั้นจนตั้งหัวข้อนี้ขึ้นมา สิ่งที่เรากังวลมาตลอดการทำงานที่นี่ คือ การทำงานร่วมกับคนในกลุ่มงาน ซึ่งบางส่วนอาจเป็นเพราะลักษณะนิสัยส่วนตัวของเราเองไม่เข้ากับนิสัยของเพื่อนร่วมงานภายในกลุ่มกอง อธิบายให้ชัดคือ ด้วยภาระงานที่กลุ่มงานเรารับผิดชอบไม่ได้มากมายจนแต่ละคนรับไม่ไหว ผสมกับนิสัยของเพื่อนร่วมงานที่ค่อนข้างเก็บตัว ไม่ค่อยพูดสิ่งที่อยู่ในใจ รวมไปถึงมีความเกรงใจต่อกันเองสูงมาก ทำให้งานบางอย่างที่ "ใครทำก็ได้" เลยมาจากการ "อาสาทำ" เป็นส่วนใหญ่ คำพูดที่ว่า "พี่... มีอะไรให้หนูช่วยมั้ยคะ" เป็นคำพูดติดปากของกลุ่มงานนี้ ในขณะที่เราเป็นคนเปิดเผย ชอบการคุยเป็นที่สุด และมักจะรอให้หัวหน้ามอบหมายงาน (เพราะยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง หากเลือกงานนี้ ไม่รับงานนั้นก็จะดูเป็นคนไม่เอาไหนอีก) สิ่งเหล่านี้ ทำให้เรารู้สึกเหมือนดูกีดกันออกจากลุ่ม พวกเค้ากำลังพูดสิ่งนี้อยู่  แต่เรากลับไม่รู้เรื่องและพูดคุยร่วมกับเค้าไม่ได้ เราคิดว่านี่อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เราชอบไปประชุมข้างนอก ได้รู้จักคนใหม่ๆ ได้แสดงออกความเป็นตัวเองอย่างแท้จริง หากเราตั้งข้อสันนิษฐานไม่ผิด สิ่งที่ขาดไปของกลุ่มงานนี้คือ การขาดการสื่อสาร และความพยายามสร้างสรรค์งานที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มนั่นเอง 

    อีกหนึ่งประการ บุคลาการในกลุ่มงานนี้ มักชอบทำงาน "ตามหน้าที่" นั่นหมายความว่า หากผู้บริหารสั่งงาน ถึงจะทำ หากไม่สั่งงาน ก็ยากที่จะคิดได้ว่าต้องทำ ส่วนนี้ต้องออกตัวก่อนว่า หัวหน้ากลุ่มของเรานั้น มีความรับผิดชอบเยอะมากอยู่แล้ว คือท่านดู 2 กลุ่มย่อย ที่มีภาระหนักทั้งคู่ พี่ ๆ ในกองจึงไม่อยากไปเพิ่มภาระงานให้กับหัวหน้างานอีก ซึ่งสำหรับตัวเราเองนั้น ถูกมองว่าเด็กที่สุดในกลุ่ม (ซึ่งก็เด็กสุดจริงๆ) ภาระงานจึงน้อยกว่าพี่ๆ มากกว่าครึ่ง ซึ่งพี่ๆ เขาก็ไม่ได้มอบงานให้เรารับผิดชอบแบบตรง ๆ อาศัยการถามไถ่แบบที่กล่าวไปก่อนหน้านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ความสามารถของเราหยุดอยู่กับที่อย่างมากในด้านผลงาน และเราไม่ได้ทำงานที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย กล่าวให้ชัดขึ้นไปอีก ค่ิือ สิ่งสำคัญที่สุดคือเราทำงานมาได้เกือบปีแล้ว แต่ผลงานที่เด่นชัดและเป็นรูปธรรมกลับหาไม่ได้เลย

    จากที่ได้กล่าวมา ดูเหมือนว่าการทำงานที่นี่จะมีความคับข้องใจมากกว่าข้อดีเสียอีก ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับผู้ร่วมงานมากกว่า อย่างไรก็ตาม สาระสำคัญของงานเป็นสิ่งที่เราประทับใจอยู่เสมอ การได้รู้ได้เห็นว่าประเทศไทยกำลังไปทางไหนเป็นสิ่งเดียวที่เราคิดถูกที่เลือกทำงานราชการ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in