(1)
เสียงเพลงของวงโคล์ดเพลย์ยังคงดังในหูฟังตอนที่คุณเดินเข้ามาถามผมในวิชาศิลปะว่าที่นั่งข้างๆ ผมว่างมั้ย ผมตื่นตระหนก ทำยางลบหลุดมือโดยไม่ได้ตั้งใจ รีบพยักหน้าแทนคำตอบเพราะผมไม่มีความกล้ามากพอที่จะส่งเสียงอะไรออกมา เห่ยเป็นบ้า ผมก่นด่าตัวเองในใจ ได้แต่แสร้งทำเป็นมองกระดาษปอนด์ที่มีรอยดินสอขีดเขียนราวกับว่ามันน่าสนใจกว่าคุณทั้งๆ ที่มันตรงกันข้าม
คุณยังไม่นั่งลง ดวงตาคมคู่นั้นกำลังมองแดดเจิดจ้าท่ามกลางหมู่เมฆ เส้นผมเงาวาวใต้ความปราณีของพระอาทิตย์และเอาตามตรง คุณดูเป็นอิสระ ประหนึ่งว่าคุณไม่เป็นหนี้อะไรกับโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้ จนผมนึกอิจฉา
จริงๆ แล้วผมไม่เคยชอบฤดูร้อน ฤดูร้อนนั้นมักจะมากับความเหนียวเหนอะหนะ กลิ่นเหงื่อที่เหม็นอับ ผิวที่ถูกเผาไหม้ แถมอากาศอบอ้าวยังลดเวลาทานไอศครีมรสเฮเซลนัทจากร้านข้างมหาลัยของผมลงเสียมากโข
ใช่ ผมไม่เคยชอบฤดูร้อน
ผมนึกย้ำในใจก่อนจะชำเลืองไปมองคุณ ผมไม่เคยชอบมันจนกระทั่งแสงแดดที่ส่องผ่านแมกไม้โลมเลียใบหน้าคุณเมื่อคุณตัดสินใจทิ้งตัวลงนั่งข้างกาย ผมถึงเปลี่ยนใจว่าฤดูร้อนนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายเสียเท่าไหร่หากผมได้เห็นภาพนี้ทุกๆ วัน
(2)
ผืนหญ้าเขียวขจีที่มีความยาวเพียงแค่หนึ่งคืบคือระยะห่างระหว่างผมกับคุณ
เราสองคนนั่งอยู่บนเนินเขาเล็กกลางสวนสาธารณะประจำเมือง ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ผมประหม่าจนไม่สามารถจดจ่อกับดินสอในมือที่กำลังสเก็ตวิวของตึกเล็กใหญ่ตรงหน้าได้อย่างเต็มที่ ผมต้องใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีในการควบคุมตัวเองไม่ให้หลุดมาดทั้งๆ ที่มีความรู้สึกไม่ต่างอะไรไปจากการมีผีเสื้อบินอยู่ในท้อง
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นรอยแผลเป็นเล็กๆ บนแก้มข้างซ้ายใต้รอยกระที่ประปรายไปบนผิวสีแทน ผมไม่คิดว่ามันคือจุดตำหนิ หากแต่ผมเชื่อว่ามันคือร่องรอยที่บ่งบอกว่าคุณผ่านอะไรสักอย่างมา ผมจินตนาการว่ามันอาจจะเป็นรอยแผลจากสมัยคุณยังเด็ก แน่นอนว่าผมก็ทำได้แค่คาดเดาเรื่อยไป โดยที่ลึกๆ แล้วผมหวังว่าวันนึงผมจะมีโอกาสได้ฟังเรื่องเล่าจากปากของคุณเสียเองว่ามันมาจากอะไร
(3)
ผมเหล่มองคุณอีกครั้งพลางอมยิ้มเล็กน้อยเพราะคิ้วเข้มของคุณกำลังขมวดเข้าหากันอย่างยุ่งเหยิง มือเล็กละเลงฝีมือบนกระดาษปอนด์ขนาดเอสามที่ถูกตั้งขึ้นมาบนตักอย่างขมักขเม่น คุณดูธรรมดา จับต้องได้ แต่สำหรับผม คุณชั่งห่างไกลจากคำนั้นเสียเหลือเกิน คุณงดงามอย่างไม่ต้องพยายามและผมได้แต่คิดว่ามันไม่มีทางที่คนธรรมดาจะใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบไปมากกว่าคุณ แม้ว่าความสมบูรณ์แบบนั้นจะไม่มีจริงก็ตาม
ดวงตาสีเข้มของคุณเหลือบมามอง ผมรีบก้มหน้ามองงานตัวเองเมื่อโดนจับได้ว่าแอบมองคุณไปนานเกินไป ผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอท่ามกลางเสียงของคริส มาร์ตินร้องคลออยู่ในหูฟังสองข้าง แรงสะกิดที่ไหล่ทำให้ผมหันกลับไปมองคุณอีกครั้ง รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของคุณขโมยแรงเต้นของหัวใจผมไปอย่างง่ายดาย
“ลายเส้นสวยดีนะ”
คุณเอ่ยปากชมเมื่อคุณเอื้อมมือมาดึงหูฟังข้างขวาผมออกโดยไม่บอกกล่าว เสียงงึมงำเบาๆ หลุดออกมาจากปากผมว่า ขอบคุณ ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือความร้อนที่แล่นขึ้นมาบนใบหน้าอย่างไร้การควบคุม ผมได้แต่นึกโทษพระเจ้า หรือใครก็ตามที่สร้างเราขึ้นมาว่าทำไมเวลามนุษย์เขินอายใบหน้าเราถึงต้องแดงก่ำเพราะนี่มันน่าอับอายเป็นบ้า
(4)
แน่นอนล่ะว่าคุณเห็นมัน
เห็นใบหน้าผมที่แทบจะกลายเป็นเฉดสีเดียวกับเวลาพระอาทิตย์ตกดินในเย็นวันศุกร์ เพราะคุณก้มลงมามองผมใกล้ขึ้นอีกนิดก่อนจะอมยิ้มบ้าง ยิ่งผมย่นคอหนีมากเท่าไหร่คุณก็ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเท่านั้น ใกล้เสียจนผมสามารถนับขนตายาวที่เป็นส่วนหนึ่งของอาวุธร้ายที่อันตรายต่อผู้ที่ได้มอง ใกล้เข้ามาเสียจนผมมองเห็นกระพรวนดาวที่ส่องแสงในดวงตาคู่สวย มันระยิบระยับท่ามกลางมวลอากาศสีน้ำตาลที่ล้อมรอบดาวเคราะห์สีดำสนิทอยู่แกนกลาง ใกล้เสียจนผมเห็นตัวเองสะท้อนกลับมาจากนัยน์ตาของคุณที่มีจักรวาลซ่อนอยู่ภายใน
ปลายจมูกเราสัมผัสกันอย่างแผ่วเบาพร้อมกับแผ่นหลังของผมที่สัมผัสกับผิวกระด้างของต้นโอ๊คสูงใหญ่ ผมไม่สามารถถอยหนีไปได้อีก ความรู้สึกที่มันปะทุขึ้นกลางใจนั้นยากจะอธิบายว่ามันคืออะไร มันคับแน่นไปทั่วทั้งอก ประหนึ่งว่าผมโดนเวทมนตร์อะไรบางอย่างร่ายเอาไว้ซึ่งแม่มดที่ว่าคงเป็นใครไม่ได้นอกจากคุณ และเวทมนตร์นั่นก็ถูกร่ายด้วยริมฝีปากนุ่มที่ประทับลงมา
ผมได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ผสมปนเปกับเปปเปอร์มินต์จางๆ ในขณะที่สองมือเล็กของคุณประคองหน้าผมไว้แผ่วเบาราวกับว่าคุณกลัวผมจะแตกหัก มันไม่มีทางเลยที่ผมจะหนีไปไหนรอดเพราะคุณต้อนผมให้จนมุม ไม่สิ มือผมถือธงขาวพร้อมกับโบกมันไปมาตั้งแต่วินาทีที่ผมได้เห็นคุณแล้วด้วยซ้ำไป
หากนี่เป็นสงคราม ผมคงไม่ใช่หนึ่งในผู้รอดชีวิต หากนี่เป็นการแข่งขันวิ่งแข่ง ผมคงยอมแพ้ก่อนที่กรรมการจะเป่านกหวีด หากนี่เป็นการทดลองสารเคมีในห้องแลปขององค์กรลับที่ไหนสักที่ ผมคงสะดุดล้มหน้าคะมำและทำให้ทุกอย่างลุกเป็นไฟ และหากนี่เป็นการที่คุณอยากลิ้มลองริมฝีปากของผมที่โหยหาเพียงแต่คุณ ผมจะหลับตาลงและปล่อยให้คุณทำตามอำเภอใจใต้แสงแดดที่ส่องประกายผ่านแมกไม้ในวันศุกร์ของฤดูร้อนที่ผมเคยรำคาญ
เพราะผมพ่ายแพ้ให้กับคุณอย่างราบคาบ
(5)
ผมลืมตา
ปอดทั้งสองข้างเรียกร้องหาอากาศจนเสื้อลายวงดนตรีตัวโปรดกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด เหงื่อไหลไปตามไรผมจนเปียกชุ่ม ผมดันตัวเองขึ้นมาจากผืนหญ้า นั่งนิ่งโดยไม่คิดจะปัดเศษดินและใบไม้ที่ติดตามตัว ใจยังคงบีบรัดราวกับมันอยากจะระเบิดตัวเองและผมคงไม่แปลกใจหากมันตัดสินใจทำแบบนั้น
เสียงเพลงโคลด์เพลย์ยังคงดังอยู่ในหูฟังทั้งสองข้าง ครั้งนี้ผมคิดว่าคริสกำลังร้องเพลงนี้ให้กับผมโดยตรง ผมยังคงนั่งบนเนินเขาเล็กกลางสวนสาธารณะประจำเมืองใต้ต้นโอ๊คสูงใหญ่หากแต่ถัดจากผมไปหนึ่งคืบคือความว่างเปล่า ผมยังจดจำทุกรายละเอียดราวกับว่ามันคือเมื่อวาน สุดท้ายแล้วผมก็ได้รู้ว่ารอยแผลเป็นเล็กๆ บนแก้มข้างซ้ายใต้รอยกระนั่นเกิดจากตอนคุณสะดุดล้มเมื่อเยาว์วัย คุณเล่าให้ผมฟังด้วยเสียงหัวเราะและผมตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านแมกไม้ที่คุ้นเคยปลอบโยนน้ำตาร้อนที่ไหลลงมาอย่างไร้การควบคุม สองมือขยุ้มเสื้อที่คุณเคยชมจนยับประหนึ่งว่ากำลังกอบกุมเศษความรู้สึกที่ยังคงหลงเหลือเพราะมันแตกสลาย กระจัดกระจายจนยากเกินกว่าจะตามหาและเก็บขึ้นมาประกอบ ผมสะอื้น มองตึกเล็กใหญ่ตรงหน้าที่ถูกท้องฟ้ากลืนกินไปด้วยสีส้มผ่านม่านน้ำตา
พระอาทิตย์ในฤดูร้อนกำลังบอกลา และคุณเองก็เช่นกัน
ผมสะอื้นอีกครั้ง
ใช่ ผมไม่เคยชอบฤดูร้อน
(End)
ถึงผู้อ่าน,
ลองฟังเพลงประกอบไปด้วยแล้วอ่านไปด้วยดูนะ
ด้วยรัก,
m.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in