บทสนทนามันเริ่มต้นจากอะไรที่มันฟังดูแล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาจากจานอาหารที่สนใจอยู่ตรงหน้าแทนอย่างช่วยไม่ได้
“นี่ เวลาที่หิวนายคิดถึงอะไรอยู่”
"อ้าว ทำไมถามแปลกๆอ่ะ"
"คิดอะไรอยู่ล่ะ"
"ก็ต้องคิดถึงอาหารดิ"
"อยากกินเกี๊ยวซ่า ไปกินกัน"
“แต่...นี่นายกำลังกินบูแดจิเก ?”
“ก็บอกว่าอยากไปกินเกี๊ยวซ่า ลุก!”
ผมถอนหายใจอย่างหนัก แน่นอนครับผมวางเงินค่าบูแดจิเกไว้บนโต๊ะก่อนจะลุกตามคนเอาแต่ใจไปติดๆ
เราคบกันมาได้2เดือนแบบงงๆ เป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มจากการกินอาหาร เขาเป็นเพื่อนที่บริษัท อยู่คนละแผนกแต่เพราะช่วงหลายเดือนมานี้แผนกของเราสองคนต้องทำงานด้วยกันตลอด ผมกับเขาเลยได้เจอกันบ่อยๆ
เสียงรถไฟใต้ดินนำพาเราไปยังสถานีอิแทวอน ตามที่เจ้าตัวเขาเปิดหารีวิวในเน็ตว่ามีร้านเกี๊ยวซ่าเจ้าไหนอร่อยเด็ดบ้าง แล้วก็พบว่าพวกเราต้องถ่อมาไกลเปลี่ยนรถใต้ดิน2สายเพื่อให้ได้มากินเกี๊ยวซ่าเจ้าดัง ในขณะที่ในท้องผมแทบลุกเป็นไฟ เราสั่งบูแดจิเกมายังไม่ทันซดน้ำซุปด้วยซ้ำ หมอนี่ก็ลุกออกจากร้านเลย ยังไม่นับเสียงด่าสาปแช่งของป้าเจ้าของร้านที่น่าจะดังตามหลังมาแต่ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“นี่...”
“หิวเหรอ”
“เออสิวะ”
“ขอโทษนะที่จู่ๆก็บอกให้ลุกออกมา แต่มันอยากกินจริงๆอ่ะ”
ผมโบกมือเป็นเชิงว่าช่างมัน พอเห็นสีหน้าหงอยๆของคนที่ชอบทำหน้าตาสดใสเป็นประจำ ผมเลยค้านไม่ออก ไม่รู้จะด่าอะไร จริงๆควรจะด่าออกไปสักคำสองคำเพื่อไม่ให้บรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วนนี่มันยังคงลอยล่องอยู่ในอากาศแท้ๆ แต่ผมก็ไม่ได้ทำ
เรานั่งเงียบๆมองดูอากัปกิริยาต่างๆ ของผู้คนบนรถไฟใต้ดินไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีบทสนทนาร่วมกันเท่าไหร่จนกระทั่งมาถึงสถานีอิแทวอน พวกเราลงจากรถไฟและเดินขึ้นมาบนถนน ผมตัดสินใจแวะซื้อคิมบับในร้านสะดวกซื้อ
“ช่วยเลือกหน่อยว่ากินไส้อะไรดี”
“ไส้กิมจิ”
ผมมองหน้าหมอนั่นอย่างหาเรื่องก่อนที่เขาจะหัวเราะเสียงดัง แล้วหยิบคิมบับไส้หมูย่างมายัดใส่มือผม ผมถอนหายใจออกไปแรงๆ แต่มุมปากกลับยกยิ้มขึ้นมาได้อย่างไม่อยากจะเชื่อ
ความสัมพันธ์สองเดือนของเรามันงงมากจริงๆ ครับ แต่รวมๆ มันเป็นสองเดือนที่มีสีสันที่สุดแล้วตั้งแต่ผมใช้ชีวิตทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนมา5ปี
คิดเงินเสร็จเดินออกจากร้าน GS25 มาผมก็เจอเขายืนรออยู่หน้าร้าน ผมแกะห่อคิมบับแล้วกัดหัวกัดท้ายของมันก่อน เขาทำหน้าปูเลี่ยนๆ ก่อนจะถามผมขึ้นมา
“ทำไมกินแบบนั้นอ่ะ”
“ติดแล้วอ่ะ เวลาแม่ทำคิมบับให้กินแม่ไม่ชอบผ่าเป็นท่อนๆ แม่ชอบม้วนเสร็จก็เอามาให้กินเลย”
“อ๋อ ชอบที่ไส้มันล้นออกมตรงหัวกับท้ายล่ะสิ”
ผมพยักหน้าตอบเขาก่อนจะกัดเข้าให้อีกคำ เขาเหม่อมองออกไปยังถนน รถยังคงวิ่งกันจอแจเพราะพึ่งเลยเวลาเลิกงานมาได้ไม่กี่ชั่วโมง การจราจรยังไม่คลี่คลายดีเท่าไหร่ จู่ๆเขาก็พูดขึ้นมาแทรกเสียงจราจรที่แสนหนวกหูบนถนน
“จำวันแรกที่เราตกลงคบกันได้มั้ย”
“จำได้ดิ ใครจะไปลืม”
“ฮ่าๆๆ ยังจำต๊อกบกกี10จานที่กินวันนั้นได้ ขอบคุณนะที่เลี้ยง”
“ผ่านมาสองเดือนแล้วพึ่งจะมาขอบคุณกันรึไง”
“จำได้ด้วยแฮะว่าคบกันมาสองเดือน”
ผมเหม่อมองคิมบับในมือแทนการมองหน้าเขา ไม่รู้ว่าตอนนี้สายตาที่เขามองมาทางผมมันเป็นสายตาแบบไหน แต่ผมกลับรู้สึกถึงรอยยิ้มบนใบหน้าตัวเองที่มันคลี่ออกนิดๆ แต่แทนที่จะต่อบทสนทนาที่คล้ายจะโรแมนติกนี่ เผื่อให้มันหวานพอจะเป็นการแซวกันของคู่รัก ผมกลับเปลี่ยนเรื่องคุยเสียเอง
“เมื่อไหร่จะเลิกเครียดแล้วต้องได้กินอะไรที่อยากกินด้วย อย่างกับคนท้องเลยไม่ใช่รึไง”
“ไม่รู้สิ รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคนแบบนั้นไปแล้ว”
“....”
“แต่ถ้าวันนั้นไม่โดนด่าตอนพรีเซนท์โปรเจ็คต์เราก็คงไม่ได้ไปกินต๊อกด้วยกันวันนั้นนะ”
“นั่นสิ”
ผมพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะกัดคิมบับเข้าไปอีกคำ ในหัวนึกถึงหน้าเขาตอนที่กินต๊อกบกกีทั้งน้ำตา กระดกโซจูหมดไป3ขวดและพ่นคำหยาบแบบที่กองเซ็นเซอร์ทำงานหนักมากๆใส่หัวหน้าแผนก แบบที่ถ้าไม่ใช่ผมที่เป็นคนฟัง เรื่องนี้อาจจะถึงหูของคุณหัวหน้าแผนกไปแล้ว
“ถามจริงวันนั้นได้กลับไปล้วงคออ้วกมั้ย กินไปเยอะขนาดนั้น”
“ไม่ กลับไปถึงก็หลับเลย ตื่นมาตาบวมฉึ่ง จำไม่ได้เหรอที่ถ่ายรูปส่งไปให้ดู วันนั้นเลยขอลาครึ่งวัน”
“อ่อ อย่างงั้นเอง”
“ถามหน่อย”
“หืม”
“นายชอบฉันตอนกินต๊อกบกกีหรอวะ”
“ฮ่าๆๆๆ จะบ้าหรอวะ”
ผมขำออกดังลั่นหน้าร้านสะดวกซื้อ ก่อนจะปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะขำแรงเกินไป หมอนั่นทำหน้างงใส่ผม
“ขำน่าเกลียดมาก”
“ก็ถามอะไรอ่ะ”
“เอ้า ก็อยู่ๆวันนั้นพอกินไปได้สัก4จานมั้ง...จู่ๆนายก็บอกว่าคบกันมั้ย”
ผมพยักหน้าให้กับความจำดีเลิศของหมอนั่น ในขณะที่เขากินต๊อกบกกีทั้งน้ำตา ผมทำหน้าที่เพียงหยิบทิชชู่ให้เช็ดน้ำตาให้เขาและก็เช็ดปากที่เปื้อนซอสต๊อกบกกีเหมือนเด็ก 3 ขวบหัดกินข้าวเองไม่มีผิด จู่ๆผมก็พูดออกไปแบบนั้น...
ที่จริงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมแตะโซจูไปอึกเดียวเท่านั้นไม่ใช่ความเมาแน่ๆแต่ว่านะ...
“เงียบเลย”
“แล้วทำไมนายตกลงล่ะ”
“เมามั้ง”
ผมขำออกมาอีกรอบอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนยัดคิมบับคำสุดท้ายเข้าปากแล้วโยนห่อมันทิ้งขยะไป คว้ามือเขามาจับไว้แล้วพาเขาเดินออกมาจากหน้าร้านสะดวกซื้อเพื่อจะมุ่งหน้าไปยังร้านเกี๊ยวซ่าแทนการต่อบทสนทนากับเขา
“ทำเป็นเปลี่ยนเรื่องป่ะเนี่ย”
“ขอคบมันก็ต้องชอบสิวะ”
“ชอบตั้งแต่เมื่อไหร่ถามได้มั้ย”
“ทำไมอยู่ดีๆถึงถามอ่ะ”
“ก็เพราะนายยอมมากินเกี๊ยวซ่ากับฉันถึงที่นี่ไง”
ผมหันกลับไปมองหน้าหมอนั่น ก็พบว่าเขาเองก็กำลังมองมาทางผมอยู่เหมือนกัน คำตอบของเขาฟังเผินๆมันอาจจะธรรมดาจนดูตลก แต่มันคงเป็นมาตรฐานความไว้วางใจที่เขามีให้จากความทุ่มเทของผมล่ะมั้ง อันที่จริงมันไม่ใช่ความทุ่มเทอะไรเลย เขาอยากไปไหนก็ไปผมก็แค่จะไปด้วยเท่านั้นเอง
มันคงจะไม่ค่อยโรแมนติกเท่าไหร่ถ้าผมบอกออกไปแบบนั้น ช่างมันก็แล้วกัน
“คงตั้งแต่ช่วงที่ต้องทำงานด้วยกันบ่อยๆมั้ง...ตอนนั้นพอรู้สึกตัวอีกทีก็มีเสียงนายวนเวียนอยู่ในหัว เสียงนายน่ะ เข้าใจนะ มันแหลมหน่อยๆน่ะ พออยู่ในที่เงียบๆทำงานแล้วมันเลยเหมือนหลอนหูนิดๆ”
“นี่ชมป่ะวะ”
“ก็เวลาประชุมนายมักจะออกความเห็น หัวเราะเสียงดังเวลามีเรื่องตลก เคี้ยวเสียงดังด้วยเวลาได้กินขนมที่ชอบและก็อะไรอีกวะ....อย่ามองแล้วกดดันกันน่า”
“เอ้า ก็...แล้วไงต่อ”
สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความคาดหวังแบบนั้นกับคำพูดที่ดูติดขัดของเขา มันเหมือนกับว่าเขาคงเขินอยู่หน่อยๆล่ะมั้งครับ
“ไม่รู้สิ หมดแล้วมั้ง”
“ยังไม่เห็นข้อดีเท่าไหร่เลย”
“อืม....”
“คิดนาน”
“อ่า ร้องไห้แล้ว...ดูน่าสงสาร”
“โห ”
"แล้วถามคืนบ้างได้มั้ยอ่ะ"
"แน่นอน ของนายหรอ ง่ายมาก มีเหตุผลเดียว”
“อย่าบอกนะว่าเพราะฉันยอมจ่ายค่าต๊อกบกกีสิบจานให้น่ะ”
“อันนั้นเป็นเรื่องรอง จริงๆเป็นเพราะ....”
“...”
“เพราะวันนั้นนายเช็ดน้ำตาให้ฉัน....”
ผมอึ้งไปเหมือนกันตอนที่ได้ยิน มันเป็นเพียงสิ่งเล็กๆที่ผมทำ แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องเล็กๆของเรามันกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ของใครอีกคนหรืออีกๆ หลายๆ คน มันกลายเป็นความรู้สึกที่ท้วมท้นจากความประทับใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อาจเป็นเพราะในวันนั้น ขณะที่จานเปล่าของต๊อกบกกีเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขามันก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
ในที่สุดเราสองคนก็มาหยุดยืนที่หน้าร้านเกี๊ยวซ่าเป้าหมายของเรา ป้ายไฟขนาดใหญ่แสดงให้เห็นความเป็นเจ้าดังของแถบนี้และคนที่นั่งในร้านกันหนาแน่น ผมทำท่าจะเดินเข้าไปในร้านแต่แล้วก็โดนเขารั้งแขนไว้ มองเหม่อขึ้นไปยังป้ายไฟหน้าร้าน
“มีอะไร”
“นี่...”
“....”
“ไปกินจกบัลที่ซิตี้ฮอลล์กัน”
“ว๊อท!?”
“ไปด้วยกันนะ...นะ”
อย่างน้อยๆเขาก็เปลี่ยนจากการบังคับให้ลุกจากร้านเป็นการขอร้องที่ดูอ่อนโยนขึ้น เราเดินออกจากหน้าร้านกลับไปยังสถานีรถไฟใต้ดินในเวลา3ทุ่ม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in