เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Short StoriesHibernation
Songwriter (Part5 — Please Be My Shelter)
  • CONTENT WARNING: Domestic Abuse

    (พาร์ทนี้มีเนื้อหาที่ค่อนข้างหนักในช่วงต้นเรื่อง ถ้ารู้สึกไม่สบายใจสามารถกดปิดอ่านได้ทันทีนะคะ)


    ‘มันอยู่ไปก็มีแต่ผลาญเงินไปวันๆ ’

    ‘ทำไมพูดแบบนั้นออกมา นั่นน้องเธอนะ!’

    ‘อ้อ ใช่สิ อะไรๆ ก็โอ๋แต่มัน มันถึงเป็นแบบนี้ไง เป็นไอพวกเห็นแก่ตัวที่มุดหัวอยู่แต่ในห้อง ถ้ามันไม่มีกู ป่านนี้มันไม่มีที่ซุกหัวนอนหรอก’

    ‘น้องแค่ไปเรียนต่อนะ ทำไมต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้’

     

    โครม!

    เสียงกวาดข้าวของกระจัดกระจาย เหมือนใครสักคนโดนผลักเข้ากระแทกกับผนังอย่างแรง

     

    ‘เออ เพราะยังไงแม่ก็ต้องเอาเงินส่วนนึงของผมไปให้มัน เงินของกู มึงได้ยินมั้ย! กูจะไปลากมันออกมาจากห้อง ออกมาเดียวนี้! กูบอกให้มึงออกมา!’

    ‘หยุดได้แล้ว หยุดสักที’ เสียงร้องไห้จากผู้เป็นแม่ดังระงม

     

    ปัง!

    เสียงประตูถูกทุบอย่างแรง เด็กสาวกอดตัวเองไว้ด้วยความกลัว ตัวสั่นระริกกับน้ำตาที่ไม่ยอมหยุดไหลเสียที สองมือปิดปากตัวเอง พลางกัดริมฝีปากล่างแน่น ข่มความรู้สึกจุกล้นชวนคลื่นไส้ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เธอพยายามจะปิดเสียงสะอื้นไห้ไม่ให้เล็ดลอดออกมาแต่ก็ไม่เป็นผล มันดังขึ้นเรื่อยๆ แข่งกับความเกรี้ยวกราดนอกประตูห้องที่ปิดสนิท

    ‘ร้องเข้าไป ไม่มีใครสงสารมึงหรอก ถ้ามึงอ่อนแอขนาดนี้ ก็ไปตาย!’

    ‘วันนึงมึงจะซมซานกลับมาหากู มาร้องขอให้กูช่วย จำคำกูไว้!’

    ภาพทั้งหมดถูกตัดไปแต่เสียงยังสะท้อน ก้องไล่ตามหลังราวกับกำลังโดนไล่ล่า เสียงฝีเท้ายังคงวิ่งอย่างไม่ลดละ น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม

     

     

    ติ๊ดๆๆๆๆๆ

    เธอสะดุ้งเฮือก ยังคงหลับตาสนิทแน่น เหงื่ออาบไหลไปท่วมตัว มือเรียวยกมือกุมหัวทั้งสองข้างของตัวเองก่อนนวดที่ขมับเบาๆ ลูบหน้าตัวเองแรงๆ ให้ตื่นจากฝันร้าย

    ฝันแบบนี้อีกแล้ว

    เธอเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาปลุกที่ยังคงร้องไม่เลิก แข่งกับเสียงในอกที่เหมือนเพิ่งไปวิ่งมาราธอนมา ก่อนค่อยๆยกมือสองข้างโอบกอดตัวเองไว้ สองมือตบเข้ากับไหล่ที่สั่นเทาสลับไปมาช้าๆ

    “มันจะโอเค เคท มันจะโอเค….เธอเก่งแล้วนะ เก่งแล้วจริงๆ ...ฮึก” ความเปียกชื้นอาบไปทั่วใบหน้า สัมผัสอุ่นร้อนกระทบแขนเบาๆ แต่มันไม่เคยทำให้เธออบอุ่นใจเลยสักครั้ง


    มันก็เป็นแค่ฝันร้าย เป็นเรื่องในอดีตเท่านั้น มันผ่านมานานมากแล้วแต่เสียงเหล่านั้นยังไม่จางหายไปไหน มันตามหลอกหลอน วนเวียน เขย่าเธอให้ทุรนทุราย แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เธอพยายามย้ำเตือนกับตัวเองอยู่เสมอว่าเธอไม่ได้อยู่ในสถานที่นั้น ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นอีกแล้ว และตอนนี้เธอกำลังจะก้าวเดินต่อ เดินด้วยขาของเธอเอง ทำทุกอย่างด้วยมือสองข้างนี้ มันจะไม่มีคำว่า อ่อนแอ ปรากฏให้ใครเห็นอีกเป็นอันขาด

     

     

    8 AM

    หลังจากฝันร้ายเมื่อเช้า เธอไม่สามารถข่มตาหลับลงได้อีกต่อไป ยามที่สติเริ่มกลับมาครบถ้วน และน้ำตาที่เริ่มเหือดหายไปจนหมดสิ้น เธอรีบดันตัวลุกขึ้นจากเตียงทันที น้ำเย็นๆปะทะเข้ากับใบหน้าชโลมไปทั่วจิตใจอันร้อนผ่าว ถึงอากาศข้างนอกจะหนาวเย็นขนาดไหน นอกหน้าต่างที่เริ่มมีเกล็ดหิมะตกโปรยปรายไม่ต่างไปจากสายฝน แต่เธอต้องการน้ำเย็นๆที่ช่วยปลุกจากความรู้สึกที่ผสมปนเปจนปะติดปะต่อเป็นรูปเป็นร่างไม่ได้ในตอนนี้

    กางเกงยีนสีซีดถูกโยนลงบนเตียง เธอหยิบมันใส่ลวกๆ พร้อมกับเสื้อฮู้ดดี้สีเทาอ่อน ก่อนสะพายกีตาร์และรีบเดินออกจากหอทันที ไม่มีเวลาให้ได้คิดอะไรทั้งสิ้น การยิ่งทำอะไรเชื่องช้าไม่ต่างไปจากการยื้ออารมณ์ให้จมดิ่งมากกว่าเดิม เธอเริ่มวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆมุ่งตรงไปยังสถานีซับเวย์ ก่อนที่จะพบว่าเสื้อผ้าที่เธอสวมมา ช่างไม่ได้เหมาะกับอากาศตอนนี้จริงๆ กลุ่มควันสีขาวฟุ้งกระจายไปทั่วบรรยากาศเมื่อเธอหอบหายใจ ความเย็นปะทะเข้าที่ผิวจนขนอ่อนลุกชัน รองเท้าคอนเวิร์สหุ้มข้อกับถุงเท้ายาวไม่ได้ช่วยให้อุ่นขึ้นแม้แต่น้อย แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เธอสนใจในตอนนี้ แทบไม่ต้องรอให้เสียงประกาศบอกสถานีจบลง เธอรีบวิ่งไปยังร้านเครื่องดนตรีที่เธอคุ้นเคยทันที

    พอลทำหน้าฉงนใจเล็กน้อยเมื่อเธอเดินเข้ามาในร้าน มือหนาที่กำลังสลับป้ายสีแดงที่มีตัวอักษรสีขาวจากคำว่า ‘CLOSED’ เป็นคำว่า ‘OPEN’ ค้างไป ร้านเพิ่งเปิดทำการในไม่กี่นาทีที่ผ่านมาและมันไม่ใช่เวลาปกติที่เธอมักมาที่นี่ พอลไม่ได้พูดอะไรนอกจากทักทายเหมือนปกติ

    “Can I use the studio? ”

    “Sure! Go ahead”

    “Wait Kate, are you...alright? ” พอลถามออกมาระหว่างที่เธอกำลังจะเดินขึ้นไปชั้นสอง

    “I’m fine, Paul. No worries” เธอหันกลับไปยิ้มให้พอล เขาทำหน้ากังวลออกมาอย่างไม่ปิดบังแต่ก็ไม่ได้พยายามถามอะไรไปมากกว่านั้น

    เธอถนัดอยู่แล้วกับการฉีกยิ้มให้คนอื่น ทำเหมือนทุกอย่างปกติดี แม้ข้างในจะรู้สึกแตกสลายขนาดไหนก็ตาม เพียงหวังว่าใครจะไม่ต้องรู้สึกทุกข์ไปกับเธอ เพียงหวังว่าจะไม่มีใครเห็นความอ่อนแอเมื่อเธอเริ่มพรั่งพรูความรู้สึกที่บีบรัดในใจ

    วันนี้เธอเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะพูดคุยกับใครได้ และมันคงจะดีไม่น้อยถ้าไม่มีใครเห็นเธอในสภาพนี้


    เธอเปิดประตูเข้าไป ก่อนพบใครอีกคนที่นอนเหยียดขาอยู่บนโซฟา เขาสวมแจ็กเกตหนังสีดำทับกับเสื้อยืดสีขาวข้างใน รองเท้าบูตหนังที่เขาใส่เป็นประจำกับกางเกงสแล็คสีเทาที่ยับยู่ยี่เล็กน้อยจากการยืดเหยียดตัวบนโซฟาสีครีม

    เขาหันหน้ามาหาเธอช้าๆ

    “วันนี้คุณมาเร็วกว่าที่ผมคิดไว้นะ”

    “พอดี..ตื่นเช้ากว่าปกติน่ะ” เธอหัวเราะออกมาอย่างฝืนๆ พยายามทำตัวปกติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายผิดสังเกต หยิบกีตาร์โปร่งขึ้นมาก่อนฝึกการไล่สเกลในคีย์ต่างๆ ที่เธอต้องสอบภาคปฎิบัติก่อนปิดภาคเรียนช่วงวินเทอร์ในเร็วๆ นี้

    “ห่วย….” เธอพึมพำกับตัวเอง สติเหมือนไม่อยู่กับตัว มันล่องลอย ปนเประหว่างเสียงสะท้อนก้องในหัว กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ตรงหน้า ถึงจะกดสายกีตาร์ไปเรื่อยๆ แต่มือเธอไม่ได้สอดคล้องไปกับมันเลยแม้แต่น้อย เธอแทบไม่ได้นับจังหวะด้วยซ้ำ แต่เล่นมันราวกับกำลังระบายอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน

    “ห่วย... ห่วยอีกแล้ว”

     

    ‘วันนึงมึงจะซมซานกลับมาหากู มาร้องขอให้กูช่วย จำคำกูไว้!’

     

    “ฮึก ห่วย โคตรห่วยเลย...ฮึก” เธอก้มหน้าลง พยายามซ่อนคราบน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด เช็ดมันลวกๆ จนเกิดเป็นการขยี้เปลือกตาแรงๆ ดูเหมือนวันนี้พระเจ้าจะส่งบททดสอบให้กับเธอ เพราะความสามารถในการหยุดน้ำตาของเธอนั้นมีน้อยนิดเหลือเกิน

     

    รองเท้าบูตสีดำเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ

    เขานั่งยองๆ ก่อนเอื้อมมือมากุมมือที่สั่นเทาของเธอไว้

    “Look at me”

    “มองผม ได้โปรด”

    เธอค่อยๆเงยหน้าสบตาเขา นัยน์ตาสีดำแดงก่ำ เปลือกตาบวมช้ำจากการร้องไห้ตั้งแต่เมื่อเช้า มือแข็งแรงสัมผัสที่กรอบหน้าของเธอแผ่วเบา ปลายนิ้วไล้ลงมาหยุดที่ขอบตาหม่นคล้ำ เขาค่อยๆเกลี่ยน้ำใสๆออกจากใบหน้าเธอเบาๆ

    เขาไม่ได้ถามอะไร นอกจากนั่งอยู่ตรงนั้น ข้างๆเธอ แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและสบายใจจากการไม่ถูกคาดคั้นเอาคำตอบที่เธอเองก็ยังไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้

     

    “คุณอยากทำอะไรตอนนี้ครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    “ฉัน...อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย คุณไปเป็นเพื่อนฉันได้ไหม? ” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่ยังติดสั่นเครือ

    “ได้สิ ตามที่คุณต้องการ” เขาลุกขึ้นก่อนหยิบโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง

    “คุณ...เดี๋ยวก่อน” เสียงนั้นเรียกให้เธอหันกลับไปตอนที่กำลังจะหมุนลูกบิดประตู

     

    “Sorry…..” เขาเดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนสวมผ้าพันคอให้กับเธอ ลมหายใจและกลิ่นน้ำหอมที่ออกมาจากตัวเขาทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย ผ้าสีดำถูกผูกเป็นปมซ้อนทับไปมาเพื่อให้กระชับกับต้นคอเธอมากขึ้น

    “วันนี้ค่อนข้างหนาว คุณสวมนี่ไว้เถอะ” เขายิ้มให้เธอบางๆ

    มันเป็นเนื้อผ้ากำมะหยี่ นุ่มลื่นมือ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนกับคนตรงหน้าไม่มีผิด


    เราเดินกันไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย เธอสูดหายใจลึกๆ ก่อนผ่อนออกช้าๆ ให้อากาศภายนอกได้ไหลเวียน พัดพาความรู้สึกบีบรั้งให้หลุดลอยไป เธอสัมผัสถึงสายตาที่ยังคงลอบมองมาเป็นบางครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ราวกับแค่เช็กว่าเธอกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ไหน


    เสียงฝีเท้าเกิดเป็นเสียงสม่ำเสมอข้างๆ กัน หิมะยังคงตกโปรยปรายแต่ไม่ได้หนักจนเกินไป ส้นเท้าคอนเวิร์สสัมผัสได้ถึงเกล็ดหิมะเล็กๆ ราวกับก้อนกรวด เกิดเป็นเสียงกระทบไปมาล้อกับเสียงผู้คนรอบข้าง เธอมองผู้คนที่เดินผ่านไปมา บ้างก็รีบเดินเพราะความหนาว บ้างก็โอบกอดกับคนรักท่ามกลางความขาวโพลน ระยิบระยับ เมื่อแสงแดดตกกระทบกับหิมะที่ปกคลุมอยู่


    เสียงสุนัขพันธ์ุปอมเมอเรเนียนเห่าในอ้อมแขนของหญิงสาววัยกลางคนที่จูงมือกับลูกน้อยราวๆห้าขวบ เสียงหัวเราะคิกคักดังไปทั่วบริเวณยามที่เด็กน้อยมองไปยังหน้าร้านขนมหวานที่เริ่มตกแต่งด้วยไฟคริสต์มาส ในขณะที่สุนัขพันธ์ุโกลเด้น รีทริฟเวอร์ที่มีสายคล้องยาวๆ ของ Pet Partners กลับเงียบเชียบ และค่อยๆก้าวเดินอย่างช้าๆ ตามการเดินของผู้จูงที่ดูเหม่อลอย เธอเคยเห็นเพื่อนในคลาสจูงเจ้าสุนัขไปรอบๆรั้วมหาลัยมาก่อน แม้กระทั่งอาจารย์ในคณะ สุนัขของ Pet Partners ทุกตัวถูกเทรนด์มาเป็นอย่างดี เพื่อช่วยเหลือคนที่มีปัญหาสมาธิสั้น การควบคุมอารมณ์ หรือกลุ่มคนที่เคยประสบกับอดีตอันน่าเจ็บปวดมาก่อนอย่าง PTSD[1] สัตว์เลี้ยงน่ะ สามารถสื่อสารกับเราได้อย่างน่าทึ่ง มันช่วยปลอบโยนเราโดยไร้คำพูด แค่เพียงเราลูบหรือโอบกอดมัน เราจะรู้สึกดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยละ


    เธอล่องลอยไปกับความคิดตรงหน้า ฟ้าเริ่มอึมครึมขึ้นเรื่อยๆกับหิมะที่ตกอย่างไม่ขาดสาย ก่อนจะรู้ตัว เขาก็ปัดเศษหิมะออกจากผมของเธอเบาๆ

    “หิมะน่าจะตกอีกสักพักใหญ่ๆ ” เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กสภาพอากาศที่เตือนเสียงดังว่าจะมีพายุเข้าในช่วงเย็น

    “ไปหาที่หลบกันไหม ผมรู้จักร้านขายไวนิลอยู่ร้านนึงไม่ไกลจากตรงนี้ ถ้าคุณโอเค” เขาแบมือมาตรงหน้าเธอ และแทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ เธอกุมมือแข็งแกร่งนั้นทันที มันอุ่นวาบตัดกับความเย็นยะเยือกในตอนนี้ ทั้งอากาศและสภาพจิตใจของเธอ ความอบอุ่นที่ได้รับไม่ได้ต่างไปจากแสงเล็กๆปลายอุโมงที่ค่อยๆเด่นชัดขึ้นในความมืด


    เรามายืนหยุดที่ตึกสีเหลืองโดดเด่น อย่างร้าน ‘Kops Records’ ร้านขายไวนิล ที่มีหน้าปกอัลบั้มของวงร็อกอเมริกันอย่าง The Velvet Underground [2]กราฟิกรูปกล้วยสุดไอคอนิกจาก แอนดี้ วอฮอล์[3] ที่เด่นเตะตาเพียงแค่เดินผ่านหน้าร้าน

    ร้านเลือกที่จะคุมธีมสีเหลืองได้สดใสแต่ก็ดูคลาสสิกในเวลาเดียวกัน เราเดินผ่านไวนิลที่ถูกจัดเรียงเป็นระเบียบตามแนวเพลงต่างๆ พร้อมกับอาร์ตเวริ์คศิลปินดังๆ ประดับบนผนังสีขาว

    “คุณได้ฟังเพลงแนวอื่น นอกจาก Alternative rock บ้างหรือเปล่า? ” เขาถามขึ้นมาระหว่างที่เราเดินสำรวจไปรอบๆ ร้าน

    “ไม่เลย ฉันติดอยู่กับมันเป็นเวลานาน จนกลายเป็นความเคยชินไปแล้วละ” เธอหยิบแผ่นไวนิลของ Oasis ขึ้นมา อัลบั้ม Heathen Chemistry ที่เธอฟังเป็นประจำ

    “งั้นวันนี้เรามาฟังอะไรใหม่ๆ กันบ้างดีไหม? แนวเพลงที่คุณไม่ค่อยได้ฟังน่ะ—”

     

    “ถ้าคุณติดกับมันได้ คุณก็ปล่อยมันไปหาสิ่งใหม่ๆ ได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ” ประโยคสุดท้ายทำให้เธอหันไปสบตาเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลเฮเซลนัทไม่ได้ฉายแววล้อเล่นเลย ถึงมันจะเป็นการพูดอ้อมๆ อย่างไม่ตรงประเด็น แต่เธอรู้ว่าเขากำลังหมายถึงอะไร

     

    “งั้นแสดงมันให้ฉันดูที”

    มือของเธอยังถูกกุมไว้หลวมๆ เขาพาเธอขึ้นไปตามทางเดินตรอกแคบๆ อีกส่วนของร้าน แผ่นไวนิลสีดำแดงถูกติดสลับกันตรงผนัง มันถูกเรียงเป็นรูปหัวลูกศรชี้ไปข้างบน ห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่พอให้คนสองคนยืนได้ถูกเปิดออก ด้านหน้าของเธอ มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงหนึ่งตัว ก่อนเขาจะวางแผ่นไวนิลอย่างเบามือ และค่อยๆเลื่อนหัวเข็มเพื่อเริ่มเล่นเพลง

     

    เพลงแจ๊ซดังขึ้นในความเงียบ

     

    เขาเอนตัวพิงผนังไม้ข้างๆ ก่อนเอียงหัวเล็กน้อย นัยน์ตาสีน้ำตาลที่เธอไม่เคยอ่านออกเลยสักครั้ง ยังคงมองตรงมาที่เธอ

    “คุณว่ามันเป็นไง”

    “อืม...ก็ดี”

    “ก็ดี? ”

    “หมายถึง..มันฟังดูคาดเดาไม่ได้ ทิศทางของมัน การเดินคอร์ด” เหมือนเป็นการเล่นตามใจผู้เล่นไปมากกว่า ไม่ได้มีแบบแผนอะไรมากนัก

    “นั่นแหละ เสน่ห์ของเพลงแจ๊ซ คุณจะไม่มีวันเดาออกเลยว่าศิลปินจะเริ่มต้นหรือจบเพลงแบบไหน พวกเขาแค่ปล่อยไปตามความรู้สึก ตามจังหวะของเพลง”


    เธอหลับตาลงเพื่อซึมซับความรู้สึกที่เขาพูดถึง

    เสน่ห์ของมันคือการควบคุมไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?

     

    “ชีวิตก็เหมือนกับเพลงแจ๊ซ มันสามารถถูกอิมโพรไวส์[4]ได้ตลอดเลยละ และเราต่างก็ควบคุมมันไม่ได้ เพียงแค่ต้องเปลี่ยนวิธีการรับส่งที่นักดนตรีเลือกจะโยนมาให้เรา”


    “แล้วถ้าฉันควบคุมมันไม่ได้ ควบคุมตัวเองก็ไม่ได้ ฉันควรจะรับมือกับมันยังไง” แววตาสั่นระริกเล็กน้อย ขอบตาเห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้

    “คุณไม่จำเป็นต้องควบคุมมัน และอย่าปล่อยให้มันควบคุมคุณ เมื่อไหร่ที่คุณตั้งรับไม่ได้ มันก็เป็นแค่ความผิดพลั้งครั้งหนึ่งในชีวิต แต่คุณจะเรียนรู้มัน คุณจะรู้ว่าควรจะทำยังไงหลังจากนั้น หลังจากที่คุณต้องเผชิญกับมันอีกครั้ง”

    เธอหันหน้าไปทางอื่นก่อนเช็ดน้ำตาลวกๆ พยายามไม่ส่งเสียงอู้อี้ออกไป

     

    “ถ้าคุณอยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ”


    "ฉันดูอ่อนแอมากเลยใช่ไหมในตอนนี้"

    "ไม่เลย น้ำตาไม่ใช่ตัววัดว่าคุณเข้มแข็งหรืออ่อนแอหรอกนะ เราต่างคิดกันไปเองว่าน้ำตาเป็นสิ่งที่ทำให้เราดูอ่อนแอ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายสร้างมาให้เราหรอกเหรอ ถ้าความเชื่อที่ว่าพระเจ้าเลือกที่จะสร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้มนุษย์ สิ่งนั้นก็ควรรวมถึง น้ำตาของเราด้วย" 

    เขาจับไหล่เธอให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา 

    "อย่างน้อย สำหรับผม คุณไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด" คำพูดนั้นทำให้เธอร้องไห้ออกมาจนตัวโยน มือเรียวกำที่เสื้อยืดสีขาวของเขาจนแน่น เล็บจิกเข้าที่มือจนเจ็บไปหมด เขาจับมือเธอหลวมๆก่อนกุมมันไว้

    "อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย ได้โปรด..." นัยน์ตาสีน้ำตาลวูบไหวเล็กน้อย 

     

    ไม่รู้ว่ามันกินเวลานานเท่าไหร่ที่เธอใช้เวลาทั้งหมดไปกับการร้องไห้ และไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่มือของเขายังคงประสานเข้ากับมือของเธอ เสียงสะอื้นไห้ตัดสลับกับเพลงแจ๊ซที่เธอคาดเดาไม่ได้ แต่ไม่ได้รู้สึกอึดอัด สับสน เท่ากับตอนแรกที่ได้ฟัง เหมือนได้รับการปลดปล่อย และทุกอย่างก็เริ่มชัดขึ้นในความคิด 


    "หิมะเริ่มเบาลงแล้วละ" เขายิ้มให้เธอบางๆ 

    เธอชะเง้อมองออกไปนอกห้องและพบว่ามีคนรอใช้ห้องนี้ต่อจากพวกเขาอยู่สองสามคน

    "พวกเขาต้องได้ยินมันแน่ น่าอายชะมัด" เธอปิดหน้าตัวเองก่อนทำคอตก 

    “ห้องนี้เก็บเสียง ไม่มีใครได้ยินคุณหรอก”

    เธอหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา

    “คุณลืมไปหนึ่งคนนะ...ที่อยู่กับฉันในห้องนี้”

    “Whoops! My bad haha” เขายกมือขึ้นสองข้าง ก่อนหัวเราะไปพร้อมๆกับเธอ

     

    “คุณมีตัวเลือกเสมอ ยึดติด หรือ ปล่อยวาง คุณเลือกมันได้เสมอ”

     

    เพลงแจ๊ซเหรอ บางทีเธออาจจะต้องลองหาเพลงแนวอื่นๆ มาฟังบ้าง ลองอะไรแปลกใหม่อย่างที่เขาว่า เพราะมันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย อบอุ่น ต่อให้จะไร้ทิศทาง แต่เธอเริ่มเข้าใจว่าทำให้คนถึงชอบฟังเพลงแนวนี้เวลานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยที่บาร์คนเดียวกับเครื่องดื่มสักแก้ว ความรู้สึกของพวกเขาคงเป็นแบบนี้ ต่างกันแค่เครื่องดื่มที่ช่วยเยียวยาจิตใจเธอคือ 'เขา' ที่ยืนอยู่ตรงหน้า 

     

    และมันคงถึงเวลาที่เธอจะทลายกำแพง และหลุดจากกรอบที่เธอเป็นคนสร้างเสียที

     

     





  • เชิงอรรถ

    1. ^ PTSD (Post-traumatic stress disorder) คือสภาวะทางจิตใจที่ถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ร้ายแรงในอดีต จนทำให้เกิดความวิตกกังวล ความเครียด และหวาดผวาต่อสิ่งกระตุ้น

    2. ^ "The Velvet Underground" คือแบนด์ร็อกจากอเมริกา ที่อินสไปร์จากดนตรีแนว avant-garde และวรรณกรรมสมัยใหม่ ทำให้เพลงฟังดูลึกลับ น่าค้นหา ล่องลอย 

    3. ^ แอนดี้ วอฮอล์ คือศิลปินที่สร้างสรรค์ศิลปะแนว ป๊อปอาร์ต มีอิทธิพลต่อสื่อและมีเดียต่างๆในปัจจุบัน ถูกประยุกต์ใช้ทั้งในเชิงธุรกิจและไลฟสไลต์อย่างแพร่หลาย 

    4. ^ อิมโพรไวส์ คือการเล่นดนตรีที่ไม่ได้มีการตระเตรียมกันมาก่อน มักพบในเพลงแจ๊ซ

     

     

     

    Author's note:

    สิ่งหนึ่งที่อยากบอกในพาร์ทนี้คือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือโมโหขนาดไหนก็ตาม ไม่สมควรมีใครในโลกนี้ที่ถูก "ไล่ไปตาย" คำนี้ถือเป็นอะไรที่รุนแรงมากและมันสมควรเป็นคำต้องห้ามไม่ว่าในกรณีใดๆก็ตาม เราไม่สามารถบอกได้เลย ว่าคนหนึ่งคนต้องเผชิญกับอะไรมาบ้างกว่าเขาจะมายืนอยู่ตรงหน้าเราในตอนนี้ เราทุกคนในโลกนี้ล้วนสมควรที่จะถูกรัก ถูกเอาใจใส่ และมีความสุข ทุกคนมีค่าเสมอนะคะ


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in