นั่นมีหลายวิธี ทั้งการซื้อทั้งกิจการต่อจากผู้อื่น การร่วมลงทุนในStartup การลงทุนในหุ้น และอื่นๆอีกมากมาย แต่จากอดีตที่ผ่านมาพบว่าในระยะยาว การลงทุนในหุ้นคือการลงทุนที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับวิิธีัและสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ (แต่ต้องเลือกหุ้นให้เป็นด้วย)
ซึ่งการลงทุนในตลาดหุ้นมีข้อดีเหนือกว่าการซื้อบริษัททั้งบริษัทอยู่ 6 ข้อ
- ถ้าซื้อกิจการทั้งหมด เราจะต้องบริหารหรือไม่ก็ต้องหาคนที่มีความสามารถมาบริหารบริษัท
- การซื้อหุ้น เราจะได้เป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของกิจการนั้นๆ แล้วยังมีผู้บริหารและการดำเนินงานอยู่แล้ว สภาพคล่องการซื้อขายหุ้นก็สูงด้วย
- การซื้อขายกิจการ ทั้งสองฝ่ายมักจะรู้ว่า ราคาที่เหมาะสมเป็นเท่าไหร่ แม้บางครั้งที่บริษัทหรืออุตสาหกรรมอยู่ในภาวะลำบาก ผู้ซื้อก็จะได้สินทรัพย์ในราคาถูก (ถือเป็นข้อดีสำหรับคนที่เห็นโอกาส)
- การซื้อหุ้นเริ่มต้นด้วยเงินก้อนเล็กๆได้
- มีบริษัทให้เลือกซื้อเยอะแยะ
- ต้นทุนในการเป็นเจ้าของกิจการต่ำ เสียค่าคอมมิชชั่นนิดหน่อย
2.ซื้อธุรกิจเรียบง่ายในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก
▪️มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจ คำนวณจากการนำกระแสเงินสดไหลเข้าและออก มาคิดลดด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม
Ex
ปี | กระแสเงินสดอิสระ | มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคต (10%) |
2007 | 100,000 | 90,909 |
2008 | 100,000 | 82,645 |
2009 | 100,000 | 75,131 |
2010 | 100,000 | 68,301 |
2011 | 100,000 | 62,092 |
2012 | 100,000 | 56,447 |
2013 | 100,000 | 51,315 |
2014 | 100,000 | 46,650 |
2015 | 100,000 | 42,410 |
2016 | 100,000 | 38,554 |
2017 | ราคาขาย 400000 | 154,217 |
รวม | | 774,701 |
ถ้าราคาเสนอขายต่ำกว่า774,701 ก็ควรซื้อ (แต่ก็ควรซื้อที่ราคาต่ำลงไปอีก เพราะเผื่อส่วนความปลอดภัย)
▪️ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทอย่างมาก ---> ควรซื้อหุ้นของบริษัทนั้น
▪️วิธีนี้ใช้ได้กับธุรกิจที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน เช่น อาหาร โรงแรม ค้าปลีกอื่นๆ เป็นต้น เพราะจะคำนวณกำไรได้ไม่ยาก
▪️
ธุรกิจที่ซับซ้อนก็คือพวกเทคโนโลยี เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว3.ซื้อธุรกิจที่มีปัญหาในอุตสาหกรรมซึ่งกำลังอยู่ในภาวะยากลำบาก
▪️โดยส่วนใหญ่ตลาดมีประสิทธิภาพแต่ไม่ใช่ตลอด (และนั่นคือโอกาส)
▪️อ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจเพื่อติดตามข่าวสาร (เพิ่มเติมอ่านหนังสือ The Little Book That Beats the Market) ว่าบริษัทหรืออุตสาหกรรมไหนกำลังแย่ อาจเป็นโอกาสในการซื้อของถูก
▪️ตัดธุรกิจที่ซับซ้อนและไม่อยู่ในความเข้าใจของเรา
เพิ่มเติมเอง เช่น KTB ก็มีปัญหาเรื่องลูกหนี้ EARTH ช่วงนั้นราคาตกแต่สุดท้ายก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม หรือ AOT ที่เคยมีปัญหาเรื่องการเมือง มีการปิดสนามบิน รวมถึงคนเดินทางน้อยลงในช่วงนั้น ก็ทำให้ราคาตกอย่างหนักเช่นกัน และปัจจุบันราคาก็เพิ่มขึ้นไปมาก
เพิ่มเติมเอง Part 2 การซื้อธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีปัญหาต้องดูให้ดีว่ากิจการมีการปรับตัวอย่างไรด้วย เช่น Se-ed ที่มีการปรับตัวไปจากการขายหนังสือไปขายพวก Non-book มากขึ้น ก็เห็นได้ว่ามีการปรับตัวที่ผิด ซึ่งต่างจาก RS ที่ได้เปลี่ยนแผนธุรกิจมาเน้นกลุ่มเครื่องสำอาง เกิดจากการได้เห็นโอกาสจากการที่ได้ลองเข้าสู่ตลาดได้สำเร็จ ก็จากตัวอย่างก็เห็นแล้วว่าไม่ใช่จะซื้อได้ทุกกิจการ ต้องวิเคราะห์ให้ดีๆก่อน
Lifestar BiZ ธุรกิจสุขภาพและความงาม ของ RS
4.ซื้อธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอันยั่งยืน
▪️Ex ต้นทุน สิทธิพิเศษจากกฎหมาย เชิงความรู้สึก เป็นต้น
▪️ดูได้จากงบการเงิน ผลตอบแทนต่อเงินลงทุน กระแสเงินสดอิสระ
▪️ควรคำนวณกระแสเงินสดคิดลดไม่เกิน 10 ปี และราคาขายของบริษัทในปีที่10 ไม่ควรเกิน15เท่าของกระแสเงินสดในตอนนั้น (บวกเงินสดส่วนเกินของบริษัท)
เพิ่มเติมเอง อยากรู้ว่าความได้เปรียบเชิงการแข่งขันคืออะไร ต้องอ่านเล่มนี้เพิ่มเติม
5.เดิมพันหนักๆเมื่อเรามีแต้มต่ออย่างชัดเจน
▪️เมื่อเจอบริษัทหรืออุตสาหกรรมใดที่เกิดวิกฤตแล้วเราวิเคราะห์แล้วว่าจะกลับมาดี (ราคาหุ้นจะตกลงมาก แสดงให้เห็นว่าตลาดไม่ได้มีประสิทธิภาพตลอด) ให้ลงทุนไปเยอะๆเลย(ใช้ Kelly Formula ถ้าต้องการเปอร์เซ็นต์การลงทุนที่ชัดเจน)
วิธีการใช้ Kelly Formula
https://library.jitta.com/th/blogs/calculating-investment-proportions-with-loss-chance-th?fbclid=IwAR32zZWRsNuQKwm28O7SHJqRj1fEn18lzNWvoBkEoXje7JxGnPRcu1HZ19Y
6.มองหาโอกาสทำอาร์บิทราจ
มี4รูปแบบ
▪️การทำอาร์บิทราจสินค้าโภคภัณฑ์
เช่น ทองคำซื้อขายที่ตลาดลอนดอนที่600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเปลี่ยนมือกันที่ออนซ์ละ610 ดอลลาร์ในนิวยอร์ค ทำกำไรจากส่วนต่าง
▪️การทำอาร์บิทราจหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกัน
ในไทยยังไม่มีหุ้นในรูปแบบนี้
▪️การทำอาร์บิทราจการควบรวมกิจการ
เมื่อบริษัท A ประกาศ ว่าจะซื้อบริษัท B ที่ราคาหนึ่ง ก็ขายทำกำไรจากผลต่างที่ซื้อมากับราคาที่บริษัท A เสนอ
▪️การทำอาร์บิทราจแบบ Dhandho
คือเป็นประเมินการเข้ามาของคู่แข่งใหม่ยากหรือไม่ ถ้ายากช่องว่างอาร์บิทราจก็กว้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี และเราควรประเมินว่า ช่องว่างการทำธุรกิจนั้นๆจะอยู่ได้นานแค่ไหนด้วย(ไม่ง่ายเลยที่จะสามารถทำอาร์บิทราจในเวลานี้ได้)
7.ซื้อธุรกิจในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างมาก
▪️ใช้ Kelly Formula ในการคำนวณเงินที่จะลงทุน
▪️ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย ต้องซื้อธุรกิจที่ราคาตลาดอยู่ในระดับต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงแบบอนุรักษ์นิยมมาก (น้อยกว่า1/2ยิ่งดี)เพิ่มเติมเอง ส่วนนี้สำคัญมาก เพราะยิ่งซื้อที่ราคาถูกมากเท่าใด อัตราผลตอบแทนก็จะมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าราคาหุ้น +แค่1-3%จากราคาที่จะซื้อก็ซื้อไปเลย อย่าไปเกี่ยงราคา เพราะบางทีราคาหุ้นอาจจะขึ้นไปเรื่อยๆจนเราไม่กล้าซื้อ
8.มองหาธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำแต่มีความไม่แน่นอนสูง
คือธุรกิจที่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยแต่มีปัจจัยที่ส่งผลต่อการประกอบการเยอะ
?ธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงบ่อย เช่น พวกเทคโนโลยีเหตุผลว่าทำไมต้องเลือกธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ไม่มีความแน่นอนสูง เพราะส่วนใหญ่แล้วราคาหุ้นกลุ่มนี้มักมีราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เนื่องจากตลาดเกลียดความไม่แน่นอนและจะแสดงความเกลียดโดยการเทขายหุ้น จึงทำให้มีโอกาสสูงที่เราจะได้หุ้นในราคาถูกซึ่งสร้างผลตอบแทนที่ดี
9.การเลียนแบบดีกว่าการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
Ex ▪️McDonald's เรย์ ครอคซื้อสิทธิการใช้ชื่อและข้อมูลการดำเนินงานธุรกิจร้านแฮมเบอร์เกอร์ของพี่น้องตระกูลแมคโดนัลด์มาต่อยอดโดยแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย
อยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ก็ดูจากหนังละกัน
▪️Microsoft ก็ลอกเลียนแบบโปรแกรมจาก Apple
macintosh ของApple ทำให้บิลเกตส์นำแนวคิดมาใช้กับนวัตกรรมของตนเอง
สรุป การเลียนแบบจะเสี่ยงน้อยกว่า เพราะสิ่งที่เป็นต้นแบบได้รับการพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้จริง ดังนั้นไม่ต้องกลัวเลยว่าจะล้มเหลว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in