เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
31 days, 31 kissesCyanxweek
Day 13 - Promise
  •    เหมือนกับตอนที่เราจูบกันครั้งแรก..



       ผมรู้จักกับพี่เอ๊ะตั้งแต่อยู่ ม. 4 ส่วนรายละเอียดที่ว่ารู้จักกันได้ยังไงจะขอข้ามๆ ไป การที่คุณจะมีโอกาสได้รู้จักกับคนแปลกหน้าสักคนหนึ่ง  มันเป็นไปได้หลายทาง และส่วนใหญ่มันก็ไม่ได้มีความพิเศษหรือน่าจดจำอะไรเลย

       กว่าเรื่องราวของเราจะกลายเป็นเรื่องพิเศษ กว่าที่คุณจะคิดว่า 'เอาล่ะ เราควรจดจำทุกช่วงเวลาต่อไปนี้เอาไว้' นั่นก็หลังจากที่คนแปลกหน้าคนนั้นกลายเป็นคนพิเศษสำหรับคุณไปซะแล้ว

       และมันจะยิ่งพิเศษและน่าจดจำยิ่งกว่า หากคุณรู้ตัวว่าเราทั้งคู่อาจเหลือเวลาเพียงไม่นาน เชื่อผมเถอะว่าทุกวินาทีหลังจากนั้นมันจะติดแน่นอยู่ในความทรงจำ  แม้ว่าสมองของคุณจะหมดพื้นที่ไปกับการอ่านหนังสือสอบ ท่องชีท ท่องคำศัพท์.. สักที่ใดที่หนึ่งในสมองมันจะยังคงเว้นว่างไว้ให้แก่เขาคนนั้นเสมอ

       หลังเลิกเรียนวันนั้น กว่าจะติวหนังสือเสร็จ  ฟ้าก็ใกล้จะมืดเต็มที ออกจากโรงเรียนได้ก็รีบบึ่งวินไปหาพี่เอ๊ะที่ร้านอาหารที่อีกฝ่ายทำงานอยู่ ตอนนั้นพี่เอ๊ะเป็นแค่นักร้องร้านอาหาร ส่วนผมก็แค่นักเรียนม.ปลายที่กำลังจะบินไปเรียนในประเทศซึ่งอยู่ฟากฝั่งของโลกในปีหน้า

       ผมเพิ่งบอกเรื่องนี้กับพี่เอ๊ะเมื่อคืนใน MSN

       ร้านอาหารในเวลาเกือบทุ่มเริ่มคับคั่งด้วยผู้คน  ส่วนผม พอกระโดดลงจากวินได้ก็เดินเข้ามายืนบื้ออยู่หน้าร้าน พนักงานสาวเข้ามาถามไถ่ก็ไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป

       เธอทำหน้างง แน่สิ เด็ก ม.ปลายจะมาทำอะไรในที่แบบนี้คนเดียว ไม่ใช่ฟาสต์ฟู้ดตามห้างสักหน่อย

       "คุณพ่อคุณแม่จองโต๊ะไว้เหรอคะ?" เธอเอ่ยถาม คงคิดว่าผมนัดเจอกับพ่อกับแม่ที่นี่

       ผมส่ายหน้า

       "อ่า.. แล้ว -"

       "ทอม?"  เสียงทุ้มที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกจนทำให้ผมสะดุ้งโหยง เจ้าของเสียงนั้นเดินออกมาจากประตูที่อยู่ด้านหลังของพนักงานสาว ชายหนุ่มพูดคุยอะไรบางอย่างกับเธอก่อนจะเดินมาคว้ามือผมและพาเข้าไปข้างใน.. ซึ่งผมก็เดินตามไปอย่างมึน ๆ

       ข้อสอบคณิตศาสตร์เมื่อบ่ายที่ผ่านมาทำให้สติของผมไม่กลับเข้าร่างสักที

       เราผ่านห้องนั้นซึ่งมีพวกผู้ชายวัยหนุ่มหลายคนนั่งอยู่  ก่อนจะตัดสินใจใช้ประตูอีกบานในห้องนั้นทะลุมายังห้องน้ำแขกที่มันอาจจะเงียบและเป็นส่วนตัวที่สุดในเวลานี้

       เราสองคนยืนอยู่ด้วยกัน ถอนหายใจออกพร้อมกันโดยที่มือหนาของพี่เอ๊ะยังไม่ปล่อยไปจากข้อมือของผม

       "พี่เอ๊ะ.. เรื่องที่ทอมบอกเมื่อคืน.."  ผมตัดสินใจเปิดประเด็น  แม้จะยังไม่รู้ว่าควรพูดอะไร นี่เรากำลังจะเคลียร์กันเรื่องอะไร แต่สิ่งเดียวที่ผมมั่นใจคือมันต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แหละ

       "อ้อ.. ที่ทอมจะไปเรียนต่อหลังจบ ม.6 น่ะเหรอ?"

       "อืม.." ผมพยักหน้า ดวงตาหลุบมองพื้นกระเบื้องสีขาวที่เลอะคราบสีน้ำตาลเขรอะขระ  ไม่รู้ว่ามันเป็นคราบอะไร แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอีกคน ผมขอเลือกจ้องไอ้คราบนี่จนกว่าจะได้คำตอบดีกว่า

       "ทำไมล่ะ?"

       "มันเป็นความฝันของทอม -"

       "พี่ไม่ได้ถามเรื่องนั้น" เสียงทุ้มของคนอายุมากกว่าเกือบรอบเอ่ยขัดขึ้นมา ตอนนั้นผมเงยหน้ามองเขาอย่างเผลอตัว "พี่จะถามว่า..  แล้วทำไมทอมถึงคิดว่าพี่จะไม่โอเค?  ในเมื่อมันเป็นความฝันของทอม เป็นความสุขของทอม ก็ไปเถอะ"

       ผมควรจะยิ้มออกมาเหมือนตอนที่พ่อตอบตกลง.. แต่ทำไม่ได้เลย

       สิ่งเดียวที่ผมทำได้ในเวลานี้คือการกลั้นน้ำตา.. เพราะหากผมเลือกทำอย่างอื่น  น้ำตาคงไหลพรากออกมาจนเราคุยกันไม่รู้เรื่อง

       ผมโผกอดเขาน้ำตาคลอ ซุกหน้าลงกับไหล่แกร่งของคนที่ส่วนสูงไล่เลี่ยกัน  มือหนาของเขาเลื่อนมาลูบหัวผม เหมือนเสียงกระซิบที่ดังข้างหูว่า 'จะร้องก็ร้องออกมา.. ไม่ต้องกลั้นเอาไว้แล้ว'

       มันยากนะ การเลือกระหว่างความฝัน กับคนที่คุณรักและอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วย

       ผมเริ่มลังเลนิดหน่อยว่าการไปอเมริกาจะทำให้ผมมีความสุขได้จริง ๆ เหรอ.. การได้เรียนและได้ทำในสิ่งที่ผมรัก จะทำให้ผมมีความสุขมากไปกว่าการซุกตัวในอ้อมกอดของคนที่ผมรักจริง ๆ เหรอ..

       คุณคงเข้าใจนะว่าในยุคนั้น  การอยู่ไกลกับคนที่คุณรักมันเป็นเรื่องยาก  ไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์คที่จะคอยเฝ้าดูการเคลื่อนไหวกันแบบเรียลไทม์ สิ่งที่เร็วที่สุดก็มีแต่ MSN ที่ต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอรอให้อีกฝ่ายขึ้นสีเขียวว่าออนไลน์ ตัวหนังสือที่พิมพ์ทิ้งไว้ก็เย็นชืดราวกับก้อนขนมปังที่ถูกทิ้งเอาไว้นาน ไม่ว่าคนส่งจะพิมพ์มันออกไปด้วยอารมณ์ไหน แต่กว่าคนรับจะได้เห็น ไออุ่นของอารมณ์ก็แทบเหือดแห้งไปหมดแล้ว ไอ้ครั้นจะโทรข้ามประเทศก็นาทีละหลายสิบบาท

       ถ้าคิดว่าผมร้องไห้เพราะผมอ่อนแอ คนในยุคนั้นก็คงอ่อนแอกันหมด 

       ความห่างไกลทำให้เราอ่อนแอ แต่ความคิดถึงและความโหยหา โดยไม่สามารถทำอะไรได้ทำให้เราอ่อนแอยิ่งกว่า

       นั่นแหละ.. ผมร้องไห้

       ร้องออกมาจนได้

       "พี่เอ๊ะ.." ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้น "เหลืออีกแค่ปีเดียวแล้วนะ"

       แฟนหนุ่มของผมกำหมัดหลวม ๆ และเคาะข้อนิ้วกับหัวผมดังโป๊ก  ก่อนจะผลักร่างของผมที่เอาแต่ซุกไซ้อย่างกับลูกแมวให้ออกมาห่าง ๆ ในระยะที่เราจะสบตากันได้

       "เด็กบ๊อง.. ปีเดียวอะไร? ถ้าทอมกลับมาเมื่อไหร่ เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปเลยต่างหาก" เขาคลี่ยิ้มบาง ๆ - รอยยิ้มที่ผมคิดว่ามันดูเศร้านิดหน่อย

       ผมพยักหน้า ปาดน้ำตา สูดน้ำมูกอย่างกับคนเป็นภูมิแพ้

       "ทอม.." รอยยิ้มบนใบหน้าของพี่เอ๊ะหายไป ดวงตาคู่นั้นกลับกลายว่ามีความกังวลแฝงตัวเข้ามาแทนราวกับมวลเมฆบังเงาจันทร์ เขาหลุบตาไปอีกทาง และพึมพำออกมา "พี่.. ขอจูบทอมได้ไหม?"

       ผมนิ่งไปสักพัก.. คิดหนักอยู่ เพราะมันเป็นจูบแรกของผม

       แต่ท้ายที่สุดผมก็พยักหน้า.. เพราะหากจะต้องยกจูบแรกให้ใครสักคน ก็ต้องเป็นชายที่ชื่อจิรากรนี่ล่ะ

       พี่เอ๊ะขยับตัวเข้ามาใกล้ เขาทำให้ผมรู้สึกเกร็งนิดหน่อย ก่อนริมฝีปากที่แสบอบอุ่นและนิ่มยวบยาบเกินกว่าที่ผมเคยจินตนาการจะทาบทับลงมา และปัดเป่าความเกร็งให้สลายหายไปในทันที

       ผมหลับตาอย่างไม่ได้ตั้งใจ 

       เคยคิดว่าเพราะอะไร ทำไมคนส่วนใหญ่เวลาจูบกันถึงต้องหลับตา แต่นาทีนี้ผมเข้าใจแล้ว นั่นก็เพื่อทำให้ตัวเองกลายเป็นคนตาบอด.. เพื่อจะได้ดื่มด่ำกับรสจูบที่แสนหวานหอมนั้นโดยไม่ต้องสนใจสภาวะแวดล้อมรอบข้าง

       หูของผมอื้ออึงขนาดที่ว่าต่อให้ใครเปิดประตูพรวดเข้ามาก็คงไม่รู้ตัว 

       ต่อให้ตะโกนโหวกเหวกว่าไฟไหม้เลย..

       เพราะสิ่งเดียวที่ผมรู้คือริมฝีปากของผมเผยอขึ้น  และลิ้นร้อนของพี่เอ๊ะก็เริ่มชอนไชเข้ามาอย่างซุกซน ร่างกายของผมอ่อนยวบยาบ แทบจะทรุดลงไปกับพื้นถ้าไม่ได้ฝ่ามืออุ่นข้างหนึ่งที่ประคองข้างใบหน้ากับอ้อมแขนอีกข้างที่โอบรัดไว้รอบเอว

       มันแปลก.. ใช่.. แต่มันก็รู้สึกดีมาก 

       เด็ก ม.ปลายด้อยประสบการณ์อย่างผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำอะไร ผมควรจะจูบตอบ? แต่แบบไหนล่ะที่เรียกว่าจูบตอบ ระหว่างทีี่ในหัวของผมกำลังนึกคิด ลิ้นร้อนสากก็ไล่กวาดต้อนไปทั่วทุกที่ มันเหมือนเวลาถูกตัดไป รู้สึกตัวกลับมาอีกทีก็ตอนที่ริมฝีปากอุ่นนั่นถอนออกไปซะแล้ว

       ผมคิดว่ามันเป็นเวลาสั้น ๆ  แต่เอาเข้าจริงมันนานมากเลยนะ..  อาจเป็นเพราะเขาที่ลากพาผมให้หลุดเข้าไปอยู่ในอีกมิติหนึ่ง และในมิิตินั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเวลา..

       ถ้าเครื่องบินที่จะทะยานขึ้นจากสนามบินพาผมหลุดเข้าไปอยู่ในมิิตินั่นได้ก็คงจะดี

       เพราะเพียงไม่กี่อึดใจ.. ผมก็คงได้กลับมาเจอเขาอีกครั้ง

       เราสองคนสบตามองกันอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่พี่เอ๊ะจะระบายยิ้มออกมาเหมือนอยากให้ผมยิ้มตาม แต่ผมทำไม่ได้หรอก..

       และผมรู้ว่าข้างในของเขาก็ไม่ได้ยิ้มด้วย

       เหมือนกับจูบเมื่อกี้.. เรามีความสุขกับมัน แต่ในที่สุดแล้วก็ต้องกลับมาเผชิญกับความจริง.. 

       แต่ไม่เป็นไร.. ถ้ารู้สึกแย่เมื่อไหร่ก็ค่อยจูบกันใหม่ก็ได้

       "ไม่กี่ปีทอมก็กลับมาแล้ว" ผมให้สัญญากับเขา

       ก่อนที่เราทั้งสอง.. จะ 'รู้สึกแย่' ขึ้นมาอีกครั้ง
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in