แสงสีส้มจากดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า
ทำให้ท้องฟ้าในตอนนี้เหมือนดั่งความฝัน
เสียงดนตรีจากนักร้องชื่อดังที่กำลังบรรเลงทำให้ผมล่องลอย
ต้นปาล์มต้นสูงที่ขึ้นเรียงราย และชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่
ซึ่งถือเป็นซิกเนเจอร์ของงานดนตรี ทำให้ผมหลุดจากชีวิตเวิร์คกิ้งแมนที่เคยเป็น
แต่สิ่งสำคัญที่สุด ในขณะนี้ นาทีนี้ และวินาทีนี้
คงไม่ใช่ท้องฟ้าหรือบรรยากาศรอบตัว
แต่เป็นคนตรงหน้าที่กำลังเอาแขนมาคล้องคอผมอยู่
รอยยิ้มน่ารัก ดวงตาระยิบระยับ และเสียงหัวเราะที่แสนสดใส
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อ 2 วันก่อน ในคืนอันเงียบสงบ เพลง Jazz ถูกเปิดขึ้นให้ทำหน้าที่คลอเบา ๆ
เพื่อไม่ทำให้ห้องแห่งนี้เงียบจนเกินไป กาแฟอุ่น ๆ ที่ในขณะนี้เหลือเพียงแต่แก้วเปล่า แก้วแล้วแก้วเล่า ผมกำลังใช้เวลาสุดสัปดาห์อยู่กับเอกสารกองโตที่มองไปมองมาก็แทบจะสูงเลยหัวผมไปอยู่แล้ว แต่ก็เอาเถอะ ใช้ชีวิตแบบนี้มาสองสามปีแล้วนี่น่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนเป็นผู้บริหารใหญ่นั่นแหละ
ชีวิตในวัย 20 ตอนปลายของ ‘เจสัน วิลนีย์’ หนุ่มนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แห่งเมืองซานดิเอโก
ณ รัฐแคลิฟอร์เนีย ยอมรับเลยว่าช่างแสนน่าเบื่อ… วัน ๆ ก็มีแต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เอกสารกองโต ประชุมบริษัท แต่ก็ยังดีหน่อยที่มีกาแฟอุ่น ๆ
ถึงผมจะบ่นว่าน่าเบื่อ แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นงานที่ผมต้องรับผิดชอบ
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คือ ธุรกิจที่เลี้ยงผมมาจนโต และทำให้ครอบครัววิลนีย์ของเราอยู่อย่างสุขสบาย ธุรกิจของเรากำลังรุ่งเรือง ตั้งแต่ผมรับช่วงต่อมาจากคุณพ่อ พูดกันตามตรง ผมยังไม่มีวันหยุดที่แปลว่าหยุดพักผ่อนจริง ๆ เลย ได้พักมากสุดก็คงเมื่อปีก่อนที่คุณพ่อคุณแม่บังคับให้ผมไปเที่ยวอีตาลีด้วย แต่สุดท้ายก็จบลงที่โน๊ตบุ๊คหนึ่งเครื่องและตัวผมที่นั่งอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรม เนื่องจากที่บริษัทมีงานด่วนเข้ามา
ในขณะที่ผมกำลังปวดหัวอยู่กับการอ่านเอกสารสรุปยอดไตรมาสแรกของบริษัท ทันใดนั้นเองก็มีเสียงออดที่ดังขึ้นจากประตูคอนโดทำให้ผมต้องลุกขึ้นไปยังประตูเพื่อดูว่าใครมากดออดเรียกผมในเวลาเกือบเที่ยงคืน ภาพที่เห็นจากจอมอนิเตอร์ทำให้ผมอึ้งจนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรรีบเปิดประตูให้คนข้างนอกเข้ามา
“น้องอัล มาที่นี่ได้ยังไงครับ” ผมถามคนตัวเล็กตรงหน้าที่มาพร้อมกระเป๋าลากสีเงินใบใหญ่
“อัลขับรถมา ฮึก พี่เจสัน อัลขอมาอยู่ด้วยซักพักได้ไหม” ว่าแล้วน้ำตาหยดใสของคนตัวเล็กก็ค่อย ๆ หยดลงบนแก้มขาว ๆ ของเจ้าตัว
ให้ตายเถอะ หัวใจผมแทบเหลว
ภาพของคนตัวเล็กตรงหน้า ร้องไห้ คือภาพที่ผมไม่อยากเห็นที่สุด
‘อัลเลน เบอร์เกสส์’ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของมาดาม เอลี่ ผู้เป็นเพื่อนสนิทของคุณแม่ผม
ผมกับอัลเลนเราสนิทกันมาก เพราะตั้งแต่เด็กเราสองคนก็วิ่งเล่นด้วยกันมาตลอด พอโตขึ้นก็ได้มาอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน จนเพิ่งมามีเมื่อ 3 ปีก่อนที่อัลเลนตัดสินใจไปเรียนต่อด้านศิลปะการแสดงที่ออสเตรเลีย อัลเลนอายุน้อยกว่าผม 2 ปีเป็นเด็กที่น่ารักและสดใสที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ เพราะอย่างนั้นผมจึงตกใจมากที่วันนี้ต้องมาเห็นคนตัวเล็กของผมมายืนร้องไห้อยู่หน้าประตู
หลังจากปลอบกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดคนตัวเล็กก็หยุดร้อง จากที่ผมถามน้องจนได้ความมาว่าน้องเพิ่งกลับจากออสเตรเลียเมื่อเช้า น้องกะว่าจะมาเซอร์ไพร์สผมเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้มาเนื่องจากทะเลาะมีปากเสียงกับมาดามเอลี่เสียก่อน
โดยปกติแล้ว ครอบครัวเบอร์เกสส์เป็นครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่น สมาชิกอยู่ด้วยกันอย่างเข้าใจซึ่งกัน โดยเฉพาะมาดามเอลี่กับอัลเลน ทั้งคู่เป็นทั้งแม่ลูกและเพื่อนสนิทของกันและกัน เพิ่งมามีก็วันนี้แหละที่ผมได้ยินว่าทั้งคู่ทะเลาะกันจนเป็นเรื่องใหญ่โต
“แล้วคุณน้ารู้ไหมว่าน้องอัลมาอยู่ที่นี่” ผมถามขึ้นหลังจากไปเตรียมจัดแจงห้องพักให้อีกฝ่ายเสร็จเรียบร้อย
“อืม อัลไม่รู้แต่อัลก็ไม่ได้บอกมอมมี่ว่าจะไปไหน” เสียงเล็ก ๆ ตอบพรางส่ายหน้าเบา ๆ
“งั้นเดี๋ยวพี่โทรไปบอกคุณน้าให้” ยังไม่ทันที่จะลุกขึ้น ผมก็ต้องหยุดเพราะมือของอัลเลนที่ดึงผมเอาไว้
“ไม่เอา เดี่ยวมอมมี่ก็รู้สิว่าอัลอยู่ไหน” เด็กน้อยตอบอย่างน่าเอ็นดู
“แต่คุณน้าจะเป็นห่วงนะครับ งั้นเอาอย่างนี้เดี๋ยวพี่โทรบอกคุณแม่พี่ให้ แล้วให้คุณแม่พี่ไปคุยกับคุณแม่น้องอัลดีไหม” ผมตอบพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวคนตัวเล็ก
“อื้อก็ได้ พี่เจสันบอกคุณป้าจีน่าด้วยว่าห้ามบอกมอมมี่เด็ดขาด”
น่ารัก
มันอดไม่ได้จริง ๆ ที่ผมจะยิ้มออกมา
ก่อนจะตอบตกลง และเดินออกไปยังระเบียงห้อง เพื่อโทรหาคุณแม่
“อ่า คุณแม่ครับ” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร เสียงของแม่ก็พูดตัดผมเสียก่อน “รู้แล้วจ๊ะเรื่องน้องอัลใช่ไหม นี่ตอนนี้แม่ก็อยู่กับน้าเอลี่ ว่าแล้วเชียวว่าต้องไปอยู่กับเจสันแน่ ๆ ”
“เอ่อ ถ้างั้นคุณแม่บอกน้าเอลี่ได้ไหมครับว่าไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมจะดูแลน้องเอง แต่ขอว่าอย่าเพิ่งตามมาเลยนะครับ ตอนนี้น้องยังไม่พร้อม อีกอย่างผมรับปากไปแล้วด้วยว่าจะไม่บอกคุณน้าเอลี่” ผมเอ่ยออกไปตามตรง
“ได้อยู่แล้วจ๊ะแม่จะบอกเอลี่ให้นะ ยังไงก็ฝากดูแลน้องด้วยนะลูก” คุณแม่ของผมบอกก่อนจะวางสายไป
ถึงคุณแม่ไม่ขอ ผมก็พร้อมดูแลน้องอัลอยู่แล้ว
สารภาพกันอย่างตรงไปตรงมา น้องอัล คือคำตอบของคำถามที่ผู้ใหญ่หลายคนชอบถามผมว่าทำไมยังไม่มีแฟนซักที ความรู้สึกในใจที่ชัดเจนมาตลอด 9 ปี ผมไม่ได้รักอัลเลนเพียงเพราะอัลเลนเป็นลูกชายของเพื่อนสนิทคุณแม่ผม และไม่ใช่ความรักแบบพี่ชายที่มีต่อน้องชาย แต่เป็นความรักที่บุคคลสองคนจะมีต่อกันได้ แต่ผมก็ยังไม่เคยบอกความรู้สึกที่ผมมีต่อน้องอัลให้เจ้าตัวรู้ซักที
อีกใจก็อยากบอกเพราะแอบเข้าข้างตัวเองว่าน้องอัลก็คิดเหมือนกัน
แต่อีกใจนึงก็กลัวว่าบอกไปแล้วน้องอัลจะหายไปจากชีวิต
คราวนี้ไม่ใช่แค่ 3 ปีแต่อาจจะตลอดไป...
“เป็นไง เซอร์ไพร์สไหม อัลเลนกลับมาแล้ว” อัลเลนพูดด้วยน้ำเสียงที่สดใสขึ้น หลังจากผมกลับเข้ามาจากระเบียง และบอกเขาว่าคุณน้าเอลี่จะไม่ตามมาที่นี่
“เซอร์ไพร์สมาก มีเด็กมายืนร้องไห้หน้าห้องพี่ตอนเกือบเที่ยงคืน” ผมตอบด้วยน้ำเสียงทะเล้น
“โหยพี่เจสันอ่ะ” อีกฝ่ายตอบหน้ายู่ ก่อนจะเดินไปแถวโต๊ะทำงานของผม “โห นี่งานทั้งหมดเลยหรอ” เขาถามพร้อมกับชี้ไปยังกองเอกสาร
“ใช่ครับ อ่าน ๆ เซ็น ๆ พี่นะเบื่อจะแย่” ผมตอบด้วยสีหน้างอแง
“เอ๊ แต่ว่านะ อัลได้ยินมาจากคุณป้าว่าพี่เจสันเองนั่นแหละที่ชอบหักโหม ทำงานหนัก ไม่ยอมหยุดพัก”
“อ่า ก็ใช่แหละ แต่พี่ต้องทำนี่น่า ไม่ทำ งานก็ไม่เดิน” ผมถอนหายใจ
“อัลเข้าใจ แต่ถ้าหนักไปก็ไม่ไหว แบ่งเวลาพักผ่อนหน่อยสิคุณผู้บริหารใหญ่” คนตัวเล็กเดินมานั่งข้าง ๆ ผม ก่อนจะพูดต่อ “งั้นเอาอย่างนี้ไหม 3 วัน 2 คืนนับจากพรุ่งนี้ น้องอัลขอสั่งให้พี่เจสันหยุดทำงานแล้วพาน้องอัลไปเที่ยว”
“มีมาสั่งผู้บริหารด้วย เป็นใครครับคนเนี้ย” ผมหันไปจ้องหน้าอีกฝ่าย ก่อนที่คนที่ถูกจ้องเมื่อสักครู่จะรู้ตัว และหันมาจ้องหน้าผมกลับ พร้อมฆ่าผมด้วยคำพูด และ รอยยิ้มนั่น
“เป็นน้องอัลของพี่เจสัน แค่นี้พอไหมครับ”
“พอครับ เพราะพี่ก็เป็นพี่เจสันของน้องอัลเหมือนกัน”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in