เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าของความรักRed Panda
หยาดหิมะ
  • “ไอช่า วันนี้คุณกินอะไรน่ะ” เธอถาม

    “ช็อกโกแลตเย็นครับเดอา” เขาตอบ

    “คุณนี่กินไม่เหมือนกันสักวัน”

    “ผมกำลังตามหาครับ” เขาอธิบาย ใบหน้ามีรอยยิ้ม

    “ตามหา” เธอทวนคำเขาเป็นเชิงถาม

    “ครับ หารสชาติที่ผมชอบที่สุด”



    หลังอุบัติเหตุเพลิงไหม้ เมื่อวันจันทร์ที่ 1 มกราคม เดอา เฮนนา มักตื่นขึ้นในสถานที่ที่เธอไม่รู้จัก บางครั้งเธอตื่นขึ้นกลางทะเลทราย บางครั้งบนม้านั่งในพิพิธภัณฑ์ บางครั้งกลางสุสาน บางครั้งก็เป็นในน้ำพุของสวนสาธารณะ ที่เธอไม่เคยไปมาก่อน


    แรก ๆ หญิงสาวเข้าใจว่าตนนอนละเมอเดินออกไปนอกห้องเช่าของตนเท่านั้น เพราะที่แรกที่เธอตื่นขึ้นมา คือหน้าสถานีรถไฟในละแวกที่พักของตน แต่นับวัน สถานที่ที่เธอตื่นขึ้นก็ยิ่งอยู่ห่างไกลจากที่พักของเธอขึ้นเรื่อย ๆ


    จากสถานีรถไฟ กลายเป็นเมืองข้าง ๆ

    จากเมืองข้าง ๆ กลายเป็นจังหวัดอื่น

    จากจังหวัดอื่น กลายเป็นประเทศอื่น


    เดอาเริ่มจำไม่ได้ว่าตนเดินทางกลับมาที่เดิม ตรงจุดที่เธอนอนหลับไปได้เช่นไรตั้งแต่เธอเริ่มตื่นขึ้นมาที่เมืองข้าง ๆ เพราะทุกครั้งที่เธอคิดว่า ต้องกลับได้แล้ว หรือวิตกกังวลว่าตนจะกลับที่เดิมได้เช่นไร หญิงสาวจะรู้สึกว่าเปลือกตาของตนหนักจนไม่อาจฝืนลืมตาไว้ได้ สุดท้ายก็ต้องหลับตาลง และเมื่อเธอเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง เธอก็กลับมาอยู่ที่เดิมที่เธอเคยนอนหลับไป


    เกิดอะไรขึ้นกับฉันเดอาถามตัวเองทุกวัน เธอไม่บอกใครเรื่องนี้ เพราะมั่นใจเหลือเกินว่าไม่มีใครเชื่อเธอ กระทั่งบางครั้งตัวเธอเองยังไม่เชื่อเลย แล้วใครกันจะเชื่อเธอ ในเมื่อตัวเธอเองยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเป็นเรื่องจริง แม้ทุกสัมผัสที่รับรู้ ทั้งสายลม และแสงแดดในสถานที่เหล่านั้น จะบาดผิว และแสบร้อนเพียงไรก็ตาม


    เธอต้องการใครสักคน...ใครสักคนที่จะรับฟังเรื่องราวที่เธอประสบ และให้คำแนะนำในเรื่องเหนือธรรมชาติเกินจริงเช่นนี้ได้ แต่ใครกันเล่าคือคนผู้นั้น ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา เธอพยายามตามหาคนแบบนี้ ทั้งเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังวัดในต่างแดน โบสถ์ในต่างถิ่น สำนักศาสนาต่าง ๆ เธอเพียรหาข้อมูล ทั้งจากคัมภีร์ หนังสือ และอินเทอร์เน็ต แต่ยิ่งหาเท่าไรก็เหมือนเธอยิ่งห่างไกลจากสิ่งที่ตนตามหา เพราะส่วนมากต้นกำเนิดของข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาและเรื่องเหนือธรรมชาติคือ ความคิดความเชื่อของผู้คน ซึ่งไม่มั่นคงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา


    ความคิดของคนเหมือนกระแสน้ำ ไม่มีรูปร่างตายตัว ไหลไปมาไม่มีทิศทางที่แน่นอน วันนี้เธอหาข้อมูลได้อย่างหนึ่ง วันพรุ่งนี้ข้อมูลนั้นอาจไม่เหมือนเดิม เพราะแหล่งข้อมูลค้นพบแนวคิดใหม่จึงตัดสินใจแก้ไขข้อมูลของตน


    เจ้าของแนวคิดเหล่านั้นเหมือนคนคลำทางไปหาแก่นแท้ของธรรมชาติ...ของจักรวาล...พวกเขาเองก็กำลังตามหาบางอย่างเช่นเดียวกับเดอา


    พวกเขาจึงไม่ใช่สิ่งที่เดอาตามหา ข้อมูลของที่ไม่แน่นอนของพวกเขาก็เช่นกัน




    ค่ำนี้เดอานั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อ่านข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์อย่างใจจดใจจ่อจนเปลือกตาหนักอึ้ง เมื่อตระหนักได้ว่าอ่านข้อความบนหน้าจอสี่เหลี่ยมต่อไปก็ไม่เข้าใจเนื้อความแล้ว เธอก็ตัดสินใจปิดหน้าจอ เดอารู้ดีว่าหากร่างกายไม่พร้อม พยายามต่อไปก็เท่านั้น นอกจากจะไม่ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพแล้ว ยังรังแต่จะทำให้เสียสุขภาพ เพราะฝืนใช้ร่างกาย และเสียสุขภาพใจเพราะเจ็บใจ เมื่อไปรู้ตอนที่มีสติดี ว่าข้อมูลที่หามานั้นปราศจากคุณภาพ จนน่าสงสัยว่าคือตนหรือที่หาข้อมูลพวกนั้นมา


    หญิงสาวลุกจากเก้าอี้พลาสติกสีส้มหน้าโต๊ะกินอาหาร ที่เธอใช้ต่างโต๊ะทำงาน เดินสำรวจรอบห้องเป็นครั้งสุดท้ายว่าตนปิดวาล์วแก๊ส ปิดสวิตช์ไฟ ก่อนเดินเข้าประตูห้องน้ำสุดห้อง ผ่านเครื่องซักผ้า ผ่านเข้าอีกประตูหนึ่ง สู่ห้องนอนเล็กของเธอ


    ห้องเช่าของเดอาเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่ ไม่เล็ก เหมาะสำหรับอยู่คนเดียว มีหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ และห้องครัวกับห้องกินข้าวที่รวมเป็นห้องเดียวกัน ทั้งห้องมีประตูทั้งหมดสี่บาน คือประตูทางเข้าหน้าห้อง ประตูห้องน้ำ ประตูห้องน้ำที่เปิดได้อีกทางจากในห้องนอน และประตูระเบียงติดกับห้องนอน สำหรับออกไปตากผ้า ถ้าเดอาจะเข้าห้องนอน เธอต้องเดินผ่านห้องน้ำทุกครั้ง


    เดินไปถึงเตียงสีเทาหม่น เดอายกมือเสยผมไม่ให้เส้นผมหน้าม้าตัดสั้นปรกหน้า แล้วล้มตัวลงนอนซุกผ้าห่มผืนหนา


    เดอานอนหงาย เธอมองแสงไฟนีออน จากนอกระเบียงที่สาดเข้ามาในห้อง


    เธอไม่อยากหลับ


    จริงอยู่ เวลาสามเดือนควรทำให้เธอชินกับการเดินทางไปตามที่ต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัวได้แล้ว แต่เดอาไม่เคยปรับตัวให้ชินกับมันได้เลย ไม่ใช่ว่าเพราะเธอไปแปลกถิ่น หรือเพราะไม่เคยเดินทางไปไหน แต่เป็นเพราะเธอไม่รู้เลยว่าหากหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาเธอจะเจออะไรกันแน่...


    เธอเคยพยายามเตรียมตัวให้พร้อมกับทุกสภาพอากาศ ทั้งสวมรองเท้าลุยหิมะ เสื้อกันหนาว และกระเป๋าเสื้อผ้าสำหรับทะเลทราย แต่ถึงนอนกอดกระเป๋าไว้ตื่นมาเธอก็ไม่มีมันอยู่ข้างกาย มีเพียงของที่สวมใส่ติดตัว เวลาผ่านไปทั้งใส่ชุดตะลุยหิมะในทะเลทราย จนต้องถอดชุดที่สวมออกจากตัว ชุดเดินป่าดงดิบบนชายหาด และชุดเดินทะเลทรายในสถานีรถไฟใกล้ห้องพัก หรือบางวันก็ชุดเดินป่าในวันที่เธอไม่ได้ไปที่ไหนเลย ท้ายสุดเดอาก็ล้มเลิกการเตรียมตัวนี้ไป เมื่อสำหรับเธอ...มันไม่คุ้มเสีย


    ร่างกายของเดอาเหนื่อยล้า เธอทำงานที่พิพิธภัณฑ์เกือบทุกวัน และหาข้อมูลแทบทุกคืน สุดท้ายสติของเธอก็หลุดลอยไป




    เดอารู้สึก...หนาว


    หนาวจนฟันหน้าสั่นกระทบกัน ร่างกายก็สั่นระริก เหมือนกำลังดิ้นรนพยายามสร้างความอบอุ่นให้ตนจากภายใน เพื่อเอาชีวิตรอด


    เธอหนาวจัดราวกับกำลังนอนอยู่กลางพายุหิมะ จึงตัดสินใจลืมตา เธอกำลังนอนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะจริง ๆ!


    รอบตัวเดอามีแต่สีขาวโพลนของหิมะที่สะท้อนแสงจันทร์ สองหูได้ยินแต่เสียงหวีดหวิวของสายลม แม้เธอพยายามใช้ผ้าคลุมไหล่ลายมันดาลาผืนโปรดของตนห่มร่างแน่น แต่ความอบอุ่นก็ไม่มีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นเลย


    ที่นี่ที่ไหนเดอาคิด เธอรีบลุกขึ้นยืนเพราะหนาวสั่นจนนอนต่อไปไม่ไหว หญิงสาวยกมือที่เริ่มชาจนไร้ความรู้สึกป้องตาเพื่อกันหิมะ และมองไปรอบตัว พยายามหาที่พักพิง หรือสิ่งใดก็ได้นอกเหนือจากหิมะขาวโพลนพวกนี้


    แต่ผ่านไปหลายนาที เธอก็ยังไม่อาจหาทิศทางได้


    เดอากระชับผ้าคลุมไหล่แน่น ชายผ้าปลิวสะบัดไปมาตามลม


    เธอมองชายผ้าอย่างจนใจ เมื่อการไหวตัวของผ้า คือทิศทางเดียวที่เธอเห็น เดอาจึงเลือกเดินไปตามทางนั้น เท้าเปล่าของเธอจมไปในผืนหิมะจนถึงตาตุ่ม ทั้งแสบทั้งชา เธออยากหดเท้าเข้าใต้ชุดกระโปรงนอนของตนเหลือเกิน...แต่หากทำเช่นนั้น เธอจะใช้อะไรเดินออกไปจากพายุ


    เดอาเดินเปะปะไปมาอย่างคนหลงทาง เธอไม่รู้ว่าเดินอยู่เช่นนี้นานเท่าไร บางทีอาจแค่สิบห้านาที หรือครึ่งชั่วโมง หรือมากกว่านั้นก็ได้ ความเย็นของหิมะกำลังทำให้ขาเธอปวดหนึบจนแทบก้าวต่อไม่ไหว เพียงไม่นาน...ร่างที่สวมเพียงชุดนอนแบบกระโปรงยาว กับห่มผ้าคลุมไหล่ของเดอาก็ทรุดลง คุกเข่าบนพื้นหิมะ


    หิมะกัดผิวทุกส่วนที่โผล่พ้นเนื้อผ้าของเดอา


    หญิงสาวคิดว่าตอนนี้เท้ากับใบหน้าของเธอคงมีแต่รอยแดงไปหมด โดยเฉพาะจมูกของเธอ เพราะตอนนี้เธอรู้สึกราวกับไม่มีจมูก


    “ไม่เอาน่า ลุกขึ้น” เดอาดุตัวเองเบา ๆ กัดฟันใช้มือที่ชาไร้ความรู้สึกทั้งสองข้างดันตัวขึ้นจากพื้น หญิงสาวเดินต่อไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ตั้งท่าจะทรุดอีก แต่ลมหอบหนึ่งช่วยพยุงไม่ให้ร่างเธอเสียสมดุล


    มันพัดปะทะร่างเธออย่างแรงจนตัวตรง


    “ขอบใจนะ” เธอกระซิบบอกลมหอบแผ่ว ๆ พยายามเริ่มเดินอีกครั้ง


    คราวนี้การเดินของเดอาไม่ใช่การพยายามยกเท้าเดินบนหิมะแล้ว กลายเป็นการลากขาชาด้านไปตามทางลม


    เธอเดิน


    ลากขา


    เดิน


    ลากขา และเดินจนไม่เหลือเรี่ยวแรงก้าวต่อ


    เดอาทรุดฮวบ นั่งกอดตัวเองบนพื้นหิมะอย่างเหนื่อยอ่อน เธอเดินมาตั้งนานแต่ไม่พบสิ่งใดเลย ไม่เห็นแม้แต่ต้นสนสักต้น บางทีเธออาจรอดจากเปลวเพลิงในวันนั้น เพื่อมาหนาวสั่นสิ้นใจในวันนี้ก็เป็นได้


    แม่เดอาคิด เธอคิดถึงแม่ ราวกับการคิดถึงแม่ทำให้เธอได้รับไออุ่นทางกายจากสตรีสูงอายุ ทั้งที่ในความเป็นจริง การคิดถึงไออุ่นนั้นกลับมีแต่จะทำให้เธอยิ่งหนาวสั่นกว่าเดิม เพราะเมื่อไม่ได้รับความอบอุ่นทางกายตามต้องการ เธอก็พลอยน้อยใจโชคชะตาของตน จนหัวใจรู้สึกหนาวไปด้วย


    ทำไมถึงมีแค่เธอที่หนาวสั่นอยู่เช่นนี้


    ทำไมเรื่องเช่นนี้ ทั้งไฟไหม้ ทั้งอาการประหลาด และ...เขา...ถึงต้องมาเกิดกับเธอด้วย


    เดอาตัดพ้อโชคชะตาอันประหลาดของตนในใจ ลมหายใจของเธอถี่กระชั้น น้ำตาเริ่มคลอเบ้า แต่ไม่อาจไหลออกมา เพราะอุณหภูมิเย็นจัดจนน้ำตาแทบจะแข็งตัว


    เธอหยุดอยู่กับที่ได้ไม่นานนัก เมื่อลมอีกหอบพัดมามันก็ราวกับช่วยพยุงตัวเธอ แล้วผลักดันเธอให้ก้าวขาต่อไป


    คล้ายสายลมธรรมชาติกลัวเธอจะไม่ยอมลุกขึ้นมา เมื่อช่วยให้เธอลุกขึ้นได้แต่เธอไม่ยอมเดิน ลมอีกหอบก็จะพัดมาดันหลังให้เธอก้าวไปข้างหน้า


    เดอาล้มลุกคลุกคลานสลับกับมีลมพัดมาช่วยพยุงและผลักดันเธอเช่นนี้ตลอดทางในที่สุดเธอก็เห็นแสงสีนวลอบอุ่น โดดเด่นเป็นสง่า ส่ายไหวไปมาอยู่ท่ามกลางสีขาวของหิมะและลมหวีดหวิว เพียงแค่นั้นความหวังก็ทอประกายในดวงตาสีเทาอ่อนของเธอ


    นั่นอาจเป็นรถยนต์ขับผ่านมา หรือแสงไฟจากบ้านใครสักคน! เดอาคิด แล้ววิ่ง ไม่รู้ว่าตนเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน บางทีอาจเป็นแรงขับจากสารอะดรีนาลีนในเลือดของเธอ หรือแรงผลักดันของสายลมที่คอยพัดหนุนหลังเธอมาตลอดทาง


    เดอาวิ่งไปยังแสงไฟนั้น


    ยิ่งเข้าไปใกล้ เดอาก็ยิ่งเห็นที่มาของแสงไฟชัดขึ้น


    บ้านไม้!


    ตรงหน้าเธอคือบ้านน้อยหลังหนึ่ง เดอารีบวิ่งไปหาประตูไม้ของบ้าน แต่ยังไม่ทันยื่นมือไปสัมผัสเนื้อไม้ผุ ๆ ของบานประตู ลมอีกหอบหนึ่งก็พัดบานประตูนั้นเปิดกว้าง และหอบเธอลอยหวือเข้าไป ล้มหน้าคว่ำกับพื้นไม้เย็นชื้นในบ้าน


    “อะกาธาร์! ในที่สุดก็มาแล้ว ออกมาแล้ว!” เดอาเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงสตรีผู้หนึ่ง ภาพที่เธอเห็นคือด้านข้างของหญิงสาวคนหนึ่ง กำลังนอนชันเข่าบนเตียงนอนขนาดเล็ก ท่าทางเหนื่อยระโหยราวกับกำลังจะขาดใจ หน้าท้องนูนของเธอขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจรวยริน ทั้งบ้านคละคลุ้งกลิ่นคาวเลือด และน้ำคร่ำ


    เดอารู้ทันทีว่ากำลังเกิดอะไร ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของทารก ผู้เพิ่งสูดลมหายใจแรกเข้าปอด


    เดอาลุกขึ้นยืนโซเซ เธอเดินไปหาเตียง ราวกับมีแรงดึงดูดเรียกเธอเข้าไป


    เธอเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงเล็กคละคลุ้งกลิ่นคาวนั่น


    หญิงสาวบนเตียงหันใบหน้าชื้นเหงื่อมาสบตาเดอา ดวงตาเธอหมองคล้ำช้ำคล้ายไม่เคยหลับนอน แต่นัยน์ตาของหญิงสาวฉ่ำน้ำ คล้ายคนโศกเศร้าและเจ็บปวดทรมานมานานปี จนน้ำตาไม่เคยแห้งไปจากตา แต่กระนั้นแววตาของเธอกลับเปี่ยมล้นด้วยความปรีดายิ่ง




    อะกาธาร์ แวนเลอร์รู้สึกเจ็บท้องครั้งแรก ตอนเธอกำลังเดินไปเติมฟืนที่เตาผิง หญิงสาวทำกิ่งไม้เก่าเก็บหล่นร่วงเต็มพื้นไปหมด แล้วเธอก็รู้สึกเปียกชื้นที่หว่างขา อะกาธาร์ใจวูบไปที่ตาตุ่ม เพราะกำหนดคลอดของเธอคืออีกสองเดือนข้างหน้า ต้นฤดูใบไม้ผลิ ไม่ใช่ตอนนี้!


    ความกลัวเข้าเกาะกุมใจของอะกาธาร์ไว้มั่น หญิงสาวลนลาน ตั้งใจจะเดินออกไปนอกบ้านเพื่อขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านในหมู่บ้านข้างเคียงที่มักเดินทางผ่านหน้าบ้านของเธอในช่วงสาย เพื่อเข้าไปค้าขายในเมือง แต่การขยับกายช่างยากลำบากเหลือเกิน สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจนั่งลงกับที่บนพื้นหน้าเตาผิง


    เธอรอจนหายเจ็บไปครู่หนึ่ง จึงกัดฟันคลานไปขึ้นเตียงได้สำเร็จ ถือเป็นโชคดีของอะกาธาร์ ที่วันนี้มาจอรี่ เคลย์ตัน ป้าของเธอตัดสินใจมาเยี่ยมหลานสาวที่บ้านช่วงเที่ยง


    มาจอรี่เป็นหญิงสูงวัย ใบหน้าเหี่ยวย่น ผมขาวทั้งศีรษะ แต่งชุดกระโปรงแขนยาวสีน้ำตาล ห่มผ้าคลุมไหล่อุ่นหนาสีดำ ที่คลุมไปถึงศีรษะ ใบหน้าของเธอยังเหลือเค้าความงามเมื่อครั้งยังสาวอยู่ไม่สร่าง สตรีสูงวัยท่านนี้ผ่านการมีบุตรมาแล้วห้าคน แวบแรกที่เห็นสภาพย่ำแย่ของอะกาธาร์ มาจอรี่ตกใจ แต่ไม่ถึงห้านาที เธอก็ได้สติรีบเข้าไปช่วยหลานสาวคนท้องใกล้คลอดทันที


    บ้านของอะกาธาร์อยู่ไกลจากหมู่บ้าน ในหนึ่งเดือนหญิงสาวเดินทางเข้าหมู่บ้านเพียงไม่กี่ครั้ง เพื่อซื้อเนยแข็งเข้าบ้านเท่านั้น กว่ามาจอรี่จะเดินเท้ามาถึงบ้านน้อยหลังนี้กินเวลาร่วมสองชั่วโมง การเดินออกไปหาหมอตำแยที่อยู่อีกฟากหนึ่งของหมู่บ้าน ห่างจากบ้านหลังนี้สี่ชั่วโมง เป็นเรื่องเกินกำลังสำหรับเธอ และอะกาธาร์


    มาจอรี่มองใบหน้าซีดเซียวของอะกาธาร์ แล้วคอยซับเหงื่อตามไรผมสีทองของหญิงสาวอย่างเบามือ เธอคอยเดินไปเติมฟืนใส่เตาผิงเป็นระยะ ล่วงเข้าหัวค่ำนั่นเอง หิมะที่ตกเบา ๆ มาทั้งวัน ก็ตกหนักจนกลายเป็นพายุ


    “ลูกหนูจะเป็นอะไรรึเปล่าคะ ป้า” อะกาธาร์ถามเธอในช่วงหัวค่ำ


    “ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันลูก ตอนนี้หนูรู้สึกอย่างไรบ้าง” มาจอรี่ตอบหญิงสาวบนเตียงไปตามความจริง เธอเองไม่เคยคลอดลูกก่อนกำหนด จึงไม่อาจบอกอะไรอะกาธาร์ได้เลย


    “ไม่เจ็บเท่าก่อนหน้านี้แล้วค่ะ แต่เจ็บเป็นพัก ๆ” หญิงสาวตอบเสียงแผ่ว


    “ดีแล้วลูก ตอนนี้หนูพยายามหายใจเข้าไว้นะ” มาจอรี่เช็ดหน้าผากเธออีกครั้ง แล้วผละไปเขี่ยฟืนในเตาผิงกลางบ้าน


    “ป้ามาจขา หนูกลัว ลูกยังไม่ถึงกำหนดคลอดเลย หนู--” เสียงของอะกาธาร์ขาดห้วงเพราะความเจ็บปวดอีกระลอกถาโถมเข้ามา!


    หญิงสาวผมทองเจ็บปวดอยู่เช่นนั้นจนเวลาผ่านไปค่อนคืน เธอรู้สึกราวกับว่าร่างกายจะฉีกออกจากกัน


    อะกาธาร์เจ็บมากจนไม่ได้ยินสิ่งใดเลย ไม่ว่าจะเป็นเสียงมาจอรี่บอกให้เธอหายใจยาว ๆ หรือเสียงกรีดร้องของเธอเอง และเธอไม่รู้ว่าบางอย่างหลุดออกจากตัวเธอพร้อมกับที่ประตูบ้านเปิดออก


    “อะกาธาร์! ในที่สุดก็มาแล้ว ออกมาแล้ว!” เธอเห็นมาจอรี่อ้าปากร้องด้วยรอยยิ้มอย่างยินดีเพียงรางเลือน เธออยากเห็นหน้าลูกเหลือเกิน แต่คออ่อนจนไม่มีแรงแม้แต่จะยกใบหน้า หูก็ยังอื้อเพราะความเจ็บปวด จนแทบไม่ได้ยินเสียงร้องของทารกน้อย ผู้ที่มาจอรี่กำลังพาไปเช็ดตัวทำความสะอาด


    สติของอะกาธาร์เลือนรางยิ่ง แต่พอรู้สึกถึงลมหนาวที่พัดกรูเข้ามาในบ้าน ทำให้เธอพลิกหน้าไปทางที่มาของลมเย็นอย่างหงุดหงิด แล้วเธอก็เห็นหญิงแปลกหน้าคนหนึ่งยืนอยู่ข้างเตียงเธอ แวบแรกอะกาธาร์ตกใจกลัวคนผู้นี้ แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาความคุ้นเคยบางอย่างก็เข้ามาแทนที่ความกลัวของเธอทั้งหมด


    อะกาธาร์รู้จักบรรยากาศของหญิงแปลกหน้าคนนี้




    เดอาทำตัวไม่ถูก ตลอดมาไม่ว่าเธอจะตื่นขึ้นที่ใด เธอไม่เจอใครเลย และเธอมั่นใจว่า ไม่เคยเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้มาก่อน หมายความว่าเธอ และหญิงผู้นี้เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน


    เดอาคิดว่าเธอเข้าใกล้หญิงสาวผู้อ่อนแรงคนนี้เกินสมควร จึงคิดจะถอยออกไปสักก้าวสองก้าว แล้วแนะนำตัวเอง แต่หญิงสาวผู้นั้นไวกว่า เธอคว้าชายผ้าคลุมไหล่ของเดอาไว้มั่น ราวกับกลัวว่าเดอาจะหายไป


    “ได้โปรดอย่าไป อยู่รับขวัญลูกของดิฉัน เหมือนที่ท่านเคยทำกับน้อง ๆ ของดิฉันด้วยเถิดค่ะ” อะกาธาร์อ้อนวอนเสียงระโหยโรยแรงกับเดอา


    เดอาไม่เข้าใจสิ่งที่หญิงสาวผู้นี้พูดเลยแม้แต่น้อย คล้ายคำว่า รับขวัญและน้อง ๆ คือภาษาต่างดาวที่เธอไม่เข้าใจ แต่กระนั้นเดอาก็มองออกว่าคนบนเตียงต้องการให้เธออยู่ต่อมากเพียงไร เมื่อเธอนั่งบนที่ว่างบนเตียง อะกาธาร์คลายมือที่กำชายผ้าคลุมไหล่ของเธอแต่ยังยึดไว้ไม่ยอมปล่อย


    เดอายกมืออุณหภูมิเย็นเฉียบของเธอขึ้น คิดจะปลดมือของหญิงผู้นี้ออกจากผ้าคลุมของตน เพราะเธอขยับกายไม่สะดวก แต่เมื่อมือเธอสัมผัสกับหลังมือของหญิงสาว ความรู้สึกบางอย่างก็ไหลถั่งโถมเข้ามาในอก พร้อมกับชื่อของหญิงผู้นี้


    ที่แท้เธอชื่ออะกาธาร์เดอาคิดพลางมองใบหน้าซีดเซียวของอะกาธาร์ด้วยแววตาเอ็นดูโดยไม่รู้ตัวความรู้สึกที่เอ่อล้นในอกของเธอนี้ เป็นความยินดีอย่างยิ่ง ยินดีเสียจนเดอาไม่คิดว่าตนเคยสุขใจเช่นนี้มาก่อน


    เดอารู้สึก...เธอรู้จักอะกาธาร์มาทั้งชีวิต

    เดอารู้สึก...เธอเห็นหญิงสาวผู้นี้มาตั้งแต่เกิด

    เดอารู้สึก...เธอเคยไปร่วมงานแต่งงานเล็ก ๆ ของหญิงสาว

    เดอารู้สึก...เธอเคยร่วมยินดีกับอะกาธาร์และสามี ตอนหญิงสาวรู้ว่าตนกำลังตั้งครรภ์

    เดอารู้สึก...เธอเคยปลอบโยนอะกาธาร์ ในวันที่หญิงสาวสูญเสียชายคนรัก และตอนนี้เธอก็ภูมิใจในตัวอะกาธาร์


    เดอาภูมิใจมากจนร่างกายที่หนาวสั่น พลันอุ่นสบายจากทรวงในไปทั่วร่าง เกล็ดหิมะเกล็ดน้ำแข็งตามตัวเธอละลายหายไปโดยไม่รู้ตัว


    คล้ายอะกาธาร์รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเดอา หญิงสาวผมทองปล่อยมือของตนออกจากชายผ้าคลุมไหล่ เธอผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ หลับตา


    เดอายิ้มให้อะกาธาร์อย่างปลอบโยนพลางเอื้อมมือลูบผมอีกฝ่าย ราวกับจะผ่อนคลายความเหนื่อยล้าให้ ไม่นานนักหญิงอีกคนในบ้านก็หันมาทางพวกเธอ


    หญิงผู้นี้สูงวัย แต่ยังกระฉับกระเฉงมีเรี่ยวแรงดี เธออุ้มทารกไว้อย่างทะนุถนอม เมื่อครู่เธอมัวหันหลังให้เตียงเพราะสาละวนกับการตัดสายสะดือและเช็ดตัวให้ทารกผู้นี้ เดอาจึงไม่ทันเห็นใบหน้าของเธอ




    “อะกาธาร์ ดูสิ พ่อหนุ่มร้องไห้หาแม่ใหญ่เลย ทำไม อยู่กับยายไม่ดีหรือเรา” มาจอรี่เอ่ยขณะเดินมาข้างเตียง เธอส่งทารกให้อะกาธาร์ แล้วชะงักเล็กน้อย เมื่อฉับพลันนั้นก็รู้สึกถึงไอเย็นแถวเตียงนอน


    “ทำไมหนาวขนาดนี้” มาจอรี่พึมพำ เมื่อลมจากภายนอกพัดเข้ามาทางประตูบ้านที่เปิดกว้าง เธอเดินไปปิดประตูลงกลอน แล้วหันมาบ่นยาวเหยียดกับอะกาธาร์ว่า “ป้าบอกหนูกี่ครั้งแล้วให้เปลี่ยนประตูบ้านใหม่ ดูสิ ลมพัดนิดพัดหน่อยก็เปิดอ้ากว้าง ได้หนาวตายกันทั้งแม่ทั้งลูกชาย”


    “เขาเป็นผู้ชายหรือ” อะกาธาร์ถามเสียงแผ่ว มาจอรี่ห่อลูกชายของเธอในผ้านุ่มอย่างดีจนเห็นแต่ศีรษะของทารกน้อย


    “เหมือนพ่อเขา เอาละ ทีนี้ป้าขอตัวไปจัดการเก็บกวาดข้าวของข้างนอกก่อน เธอก็ดูแลพ่อหนุ่มคนนี้ไปนะ” หญิงสูงวัยพูดกับอะกาธาร์


    “ขอบคุณ ป้ามาจมากค่ะ” อะกาธาร์บอกมาจอรี่ เธอหัวเราะเบา ๆ กับใบหน้าขมวดคิ้วมุ่นของเดอา






    TBC

    ...........................................

    จริงแล้วเรื่องนี้เรื่อย ๆ Slice of life แบบ Feel Good อ่านสบาย ๆ ค่ะ

    มาตามติดชีวิตเดอากันนะคะ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in