เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
DEFENDER คืนล้างโลกSamanthachiew
CALEB & THE DEATH.



  • เคเลบกะพริบตา --


    ตอนนั้นเองที่เขาพบว่าชายผู้มาเยือนได้หายตัวไปเสียแล้ว

    ท่ามกลางความมืดสลัวแห่งนี้ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น


    เคเลบนิ่งไปครู่หนึ่ง จ้องมองความว่างเปล่าอย่างเงียบเชียบ -- หลับตาลงแน่น ราวกับพยายามรวบรวมสติของตนเข้าด้วยกัน

    ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้น

    ฉันรู้ว่านายอยู่ตรงนั้นเขากระซิบออกมา

    ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากมุมมืด -- เสียงนั้นดังอย่างเชื่องช้า ปราศจากเสียงกรีดร้องใดๆ -- มีเพียงเสียงลากฝีเท้า และเสียงหายใจดังครืดคราดเท่านั้น --

    ร่างหนึ่งค่อยๆคืบคลานออกมาจากเงามืด ใบหน้าอันขาวซีดที่ค่อยๆปรากฏออกมาสู่แสงจันทร์ในที่สุด เผยให้เห็นร่างของชายคนหนึ่งที่ซีดเซียว และผิวลอกถลอกไปเกือบทั่วทั้งร่าง

    ดวงตาสีขาวอันขุ่นมัวเบิกโพลง ริมฝีปากบางฉีกกว้างมากยิ่งขึ้น เผยให้เห็นฟันอันแหลมคมราวกับสัตว์ป่า และชิ้นเนื้อที่เปื้อนไปทั่วริมฝีปาก

    เขาติดเชื้อแล้ว --

    เคเลบจ้องมองอีกฝ่ายอยู่นาน ก่อนจะพูดออกมาว่า “นายลอบเข้ามาในบ้านฉันนานเท่าไหร่แล้ว เจคอบ”

    เสียงคำรามดังออกมาจากลำคอของชายหนุ่มเล็กน้อย ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงพูดอันแปร่งหูว่า “นายรู้ตัวเมื่อไหร่ --”

    “ตอนที่มุมขอบพรมในห้องขยับอยู่ผิดที่” เคเลบตอบ “และฉันเป็นคนปูพรมผืนนี้เองกับมือ --”

    เขารู้ตัวนานแล้วว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง --

    แต่เขาไม่ได้รับรู้ในทันทีว่าเจคอบจะอยู่ในบ้าน และจะอยู่ใกล้เขาขนาดนี้ -- เคเลบขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด --

    ทำไมเขาถึงรู้ตัวช้า -- 

    ทำไมเขาถึงไม่ได้กลิ่นอันเหม็นเน่า หรือได้ยินเสียงของชายคนนี้กัน --

    เคเลบสำรวจมองท่าทีของอีกฝ่าย ไล่สายตามองไปตามดวงตาที่ดูล่องลอยคู่นั้นอย่างพิจารณา ไปจนถึงจมูกที่กำลังสูดดมกลิ่นจนเกิดเป็นเสียงดังขึ้นภายในห้อง 

    “นายแอบตามฉันมา” เขาพูดออกมาในที่สุด “นายต้องการอะไร”

    อีกฝ่ายเคลื่อนใบหน้ามาทางเขามากขึ้น ร่างหนาที่คลานมาตามพื้น ราวกับกำลังขยับหันมาตามต้นเสียง  “นายทำอะไรกับเขา” เขาถาม พยักเพยิดไปทางมุมห้อง

    คำถามนั้นทำให้เคเลบชำเลืองไปยังชิ้นส่วนท่อนแขนอันเหม็นเน่าที่มุมห้อง หากแต่เขาไม่ตอบคำถามนั้น

    “นายเริ่มมองไม่เห็นมานานแค่ไหนแล้ว” เคเลบถามกลับไป ท่าทีระมัดระวังตัวมากขึ้น “ประสาทสัมผัสกลิ่น และเสียงของนายเปลี่ยนไปนานแค่ไหนแล้ว --”

    คิ้วหนาของเจคอบขมวดเข้าหากัน

    “อะไรทำให้นายถามออกมาแบบนั้น” เขาย้อนถาม

    อีกครั้งที่เคเลบไม่ตอบ

    สายตาของเจคอบไม่ได้ปกติเหมือนเดิม -- เคเลบประเมิน -- เจคอบทำได้เพียงขยับหันไปตามต้นเสียง และมองเห็นรอบตัวได้เพียงเลือนรางเท่านั้น

    “นายไม่ได้อยู่ที่นี่เมื่อหกเดือนก่อน -- นายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านนี่ หลังจากที่นายหนีรอดไปได้” เจคอบกระซิบ ก่อนจะโพล่งออกมาว่า “เลือด และเสียง” พร้อมกับหายใจดังครืดคราด ราวกับใกล้คลั่ง “มีแต่กลิ่นเลือด และเสียงรอบตัวเท่านั้น -- ไม่มีอะไรอื่นอีก -- เราทุกคนต่างหนีไปจากที่นี่ไม่ได้ เราต่างบ้าคลั่ง ไล่ล่า ล้มตาย แล้วกลายเป็น --” เสียงแหบพร่าของเขาดังขาดห้วงไปเล็กน้อย “เป็นสัตว์เดรัจฉาน --”

    เคเลบถอยห่างออกมา พินิจมองไปตามผิวหนังที่ลอกถลอก และเส้นเลือดสีดำที่ปูดโปนขึ้นมาทั่วทั้งร่างอย่างน่ากลัว “นายถูกกัดนานแค่ไหนแล้ว เจคอบ --”

    จังหวะนั้นเองที่เจคอบปราดตรงไปยังร่างของเคเลบ พร้อมกับเปล่งเสียงร้องคำรามลั่น ราวกับสัตว์ร้ายที่พุ่งหาเหยื่อ หากแต่เคเลบหวดสันปืนปะทะเข้ากับใบหน้าที่โฉบเข้ามาใกล้อย่างเต็มแรง จนอีกฝ่ายเสียหลักล้มลงบนพื้นดังโครม!

    คราวนี้เจคอบสั่นกระตุกรุนแรง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราดูบิดเบี้ยวมากขึ้น ราวกับหิวกระหายในบางอย่าง และโกรธแค้นในบางสิ่งอย่างชัดเจน ดวงตาสีขาวนั่นเบิกโพลงยิ่งขึ้น จนแทบจะเรืองแสงได้ท่ามกลางความมืด

    “อะไรทำให้นายตามฉันกลับมาที่นี่” เคเลบถาม โดยไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย

    ในชั่ววินาทีที่สติอันน้อยนิดของเจคอบยังหลงเหลืออยู่ในร่าง เขาเค้นเสียงตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเหมือนมนุษย์ว่า “ฉันเป็นผู้รอดชีวิตคนเดียวในครอบครัว --” เขาสูดลมหายใจเข้าลึก จนเกิดเป็นเสียงดังครืดคราดยิ่งกว่าเดิม “หลายเดือนมานี้เราเสียคนในครอบครัวไปต่อหน้าต่อตา -- ถูกไล่ล่า และหนีไม่รอดจากเงื้อมมือของพวกมันทีละคน -- ทีละคน -- และมันก็เป็นฉันที่มองดูพวกเขาค่อยๆเปลี่ยนไป --”

    มือของเจคอบเอื้อมมาเบื้องหน้า ไขว่คว้าความว่างเปล่าในอากาศ ราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงคำนึงของตนเอง

    “พวกเขาถูกกัดจนเนื้อฉีกขาด บางคนสาหัส และบางคนตายคาที่ -- แล้วพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป -- มันฟังดูโง่เง่าเกินกว่าจะเป็นจริง แต่แล้วฉันก็ได้เห็นทุกอย่างเองกับตา --”

    แสงจันทร์ที่ส่องกระทบฝ่ามือหนาของเจคอบ  เผยให้เห็นเส้นเลือดสีดำที่ปูดเป็นแนวยาวอย่างน่ากลัว

    “ฉันมองดูผิวของพวกเขาที่ค่อยๆแปรเปลี่ยนไป -- ผิวพวกเขาลอกถลอกเป็นรอยแดงราวกับผิวกำลังถูกถลกออกอย่างช้าๆ ด้วยมือที่มองไม่เห็น -- เส้นเลือดสีดำที่ปูดไปทั่วทั้งร่างราวกับโซ่ตรวน -- ดวงตาสีขาวที่ขุ่นมัว คมเคี้ยวที่โผล่พ้นที่มุมปาก -- ใบหน้าแปรเปลี่ยนไปราวกับเป็นใบหน้าของอมนุษย์ --” ถึงตรงนี้น้ำเสียงของชายหนุ่มก็ดังขาดห้วงไป “พวกเขาต่างกลายเป็นในสิ่งที่เราไม่มีทางต่อกรได้ -- กลายเป็นปิศาจร้ายในคราบมนุษย์ --”

    เคเลบฟังอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ ดวงตาอันคมกริบยังคงจ้องมองใบหน้านั้นอย่างไม่ละสายตา

    “จนกระทั่งไม่มีใครเหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไป พวกเขา --” น้ำเสียงของเจคอบแหบพร่ายิ่งขึ้น “พวกเขากัดกินมนุษย์ทั้งเป็น -- ไม่มีประโยชน์ที่จะต่อสู้ หรือปกป้องหมู่บ้านอีกต่อไป -- มีแค่คนโง่เขลาเท่านั้นที่จะยังยืนหยัดแบบนั้น”

    ถึงตรงนี้เคเลบขมวดคิ้ว “หลังจากที่นายเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับทอมมี่ในป่าคืนนั้น นายกลับไม่เตือนใครในหมู่บ้านเลยงั้นหรือ” เคเลบถาม “นายทิ้งคนบาดเจ็บของนายไว้ในป่า เพื่อวิ่งกลับไปที่หมู่บ้าน -- แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว นายกลับช่วยชีวิตใครไม่ได้เลยสักคนหรือ -- ไม่แม้แต่คนในครอบครัวนาย --”

    เจคอบดูขำขันกับคำพูดของเคเลบ

    เตือนหรือ” เขาทวน “เราไม่คิดช่วยใครทั้งนั้น นอกจากรักษาชีวิตของตัวเราเอง -- เราไม่มีทางรักษาหรือช่วยใครได้ทั้งนั้น! ท่ามกลางความโกลาหลเอาชีวิตรอด ผู้คนในหมู่บ้านต่างบุกเข้ามาในบ้านฉัน เพื่อหายารักษา และพยายามหลบหนีจากเหล่าปิศาจร้าย --” เขาชี้นิ้วออกมาเบื้องหน้าช้าๆ “นายคิดว่านายเป็นคนดีกว่าฉันมากนักหรือ เคเลบ -- นายเองก็ใช้ชีวิตอยู่กับความรู้สึกผิดไม่ต่างไปจากฉัน -- เราต่างตัดสินใจเพื่อความอยู่รอดของตัวเองเหมือนๆกัน!”

    เคเลบจ้องมองเจคอบนิ่ง

    หากแต่เจคอบยังคงพูดต่อไป “ฉันเห็นนาย” เขาบอก “คืนนี้ -- ผู้รอดชีวิตต่างพากันรวมตัวสู้กันอีกครั้ง -- และในบรรดาผู้คนที่ต่อสู้กับปิศาจร้ายเหล่านั้น กลับมีคนแปลกหน้าคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น -- ไม่ได้ตื่นตระหนก เสียสติ หรือหวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นสักนิด ในทางตรงกันข้าม เขากลับหลบหนี และต่อสู้เอาชีวิตรอดได้ราวกับรับรู้ความเป็นไปทุกอย่างอยู่แล้ว -- เขารอดชีวิตมาจากพวกปิศาจนั้นได้ -- ฉันรู้ในทันทีว่าเขารู้” 

    เขากระซิบ ปลายนิ้วยังคงชี้มาทางเคเลบ “นายรู้ -- นายรู้!” เจคอบไอออกมาอย่างรุนแรง จนคราบเลือดกระเซ็นไปทั่วทั้งพื้น

    ถึงตรงนี้เคเลบก็เหยียดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าคมสันนิ่งสนิท ดวงตาสีดำขลับจ้องมองอีกฝ่ายโดยไม่ละสายตา

    “นายโดนกัด” เคเลบเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ขณะมองไปตามบาดแผลลึกทั่วร่างของชายหนุ่ม “นายเอาตัวรอดจากหมู่บ้านมาจนถึงชายป่านี้ได้ก็จริง -- แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านายรอดชีวิต -- นายถูกกัดแล้ว”

    คำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายบ้าคลั่งขึ้นมาในทันที

    เจคอบแผดเสียงสูง ร่างกายสั่นสะท้านราวกับสูญเสียการควบคุมตนเอง ริมฝีปากที่เต็มไปด้วยฟันอันแหลมคมโฉบมาทางขาของเคเลบอย่างรวดเร็ว

    โครม!

    เคเลบออกแรงเตะใบหน้าตรงหน้าจนสุดแรง ไม่แยแสว่ามันจะทำให้ผิวหนังของอีกฝ่ายลอกถลอกมากขึ้นเพียงใด

    “อย่าลองดีกับฉัน” เขาเอ่ยออกมา พร้อมกับจ่อกระบอกปืนเข้าไปใกล้ชายปิศาจมากขึ้น

    “ทำไมนายถึงกลับมาที่นี่ ทำไมถึงมาซ่อนตัวในบ้านหลังนี้” เจคอบย้อนถาม ไม่เกรงกลัวสัมผัสของกระบอกปืนอันเย็นเฉียบ “ทั้งๆที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่รีบหนีไปจากที่นี่ --”

    เคเลบไม่ตอบ ออกแรงกดปากกระบอกปืนลงไปกลางหน้าผากอีกฝ่ายมากขึ้น

    เจคอบสูดลมหายใจเข้าลึก จนเกิดเป็นเสียงดังครืดคราดยิ่งกว่าเดิม ท่าทีดูทรมานสุดแสน ราวกับพยายามรั้งสติของตนเองเอาไว้อีกครั้งอย่างสุดความสามารถ

    พวกมันเป็นนักล่าชั้นยอด พวกมันได้ยินเสียงของเรา และได้กลิ่นเลือดเนื้อของเราตามอากาศ -- พวกมันสัมผัสได้ถึงเหยื่อของพวกมัน -- และพวกติดเชื้อที่ถูกกัดมักได้กลิ่นเนื้อมนุษย์เสมอ -- นั่นถึงเป็นเหตุผล ว่าทำไมผู้รอดชีวิตอย่างเราถึงเหลือน้อยลงขนาดนี้ --”

    เจคอบเงยหน้ายิ่งกว่าเดิม ดวงตาที่เบิกโพลงคล้ายจะจ้องมองเคเลบอยู่

    “แต่ฉันเกือบจะไม่ได้กลิ่นนาย -- ชายที่ลอบเข้ามาในบ้านฉันคนนั้น” เขากระซิบ พร้อมกับไอสำลักออกมา

    แวบหนึ่งเคเลบเหลือบมองไปยังชั้นบนของตัวบ้าน ในขณะที่สองหูยังคงได้ยินเสียงแหบพร่าราวกับสัตว์ร้องครวญมาจากร่างหนาตรงหน้า

    “นายมีความลับที่ซ่อนเอาไว้ใช่ไหม” นิ้วอันสั่นระริกนั่นค่อยๆชี้มาทางเคเลบ “ความลับที่ทำให้นายเกือบจะไม่มีกลิ่นมนุษย์ติดอยู่บนตัว --”

    ถึงตรงนี้เคเลบก็ดูนิ่งเงียบไป คล้ายกับกำลังดำดิ่งสู่ห้วงคำนึงของตนเองไปชั่วขณะ

    “นายมีกลิ่นปิศาจร้ายติดอยู่บนตัว -- จนเกือบจะกลบกลิ่นเนื้อมนุษย์บนตัวนายได้” เจคอบยืดตัวขึ้นมาจากพื้น ขยับตัวมาใกล้ร่างสูงตรงหน้ามากขึ้น

    ถึงตรงนี้ดวงตาของเคเลบเลื่อนกลับมามองเจคอบอีกครั้ง

    “และความลับของนายก็อยู่ที่นี่ จริงไหม --” เจคอบกระซิบช้าๆ ดวงตาฝ้าฟางดูเบิกโพลงมากยิ่งขึ้น

    เคเลบไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

    ทว่าความเงียบจากเขากลับทำให้ชายหนุ่มแสยะยิ้มออกมาในความมืดสลัว จนทำให้เขามองดูเหมือนสัตว์ประหลาดในร่างกึ่งมนุษย์มากยิ่งขึ้น

    “นายเป็นคนไม่โกหก” ชายหนุ่มพูดประโยคเดิมที่ครั้งหนึ่งเคยพูดกับเคเลบมาแล้ว ออกมาอีกครั้งก่อนที่จะเค้นเสียงหัวเราะ พร้อมกับไอออกมาดังลั่น “แต่โกหกได้ไม่เก่งเช่นเดียวกัน --”

    ถึงตรงนี้เคเลบก็เก็บกระบอกปืนกลับลงไปในเสื้อคลุมตนเองดั่งเดิม ในขณะที่ชายหนุ่มยังคงพูดต่อไปว่า

    “นายยังอยู่ที่นี่ ไม่หนีไปไหน เพราะนายยังหนีไปไม่ได้” ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ริมฝีปากฉีกกว้างมากขึ้น จนทำให้ใบหน้าเขาดูแปลกพิกล และชวนขนลุกมากยิ่งกว่าเดิม “นายยังคงพยายามที่จะไม่ให้ปิศาจตนนี้ออกไปข้างนอก มากกว่าจะป้องกันไม่ให้ปิศาจอื่นบุกรุกเข้ามาในบ้าน --”

    มือหนาสัมผัสไปตามผืนพรมเบื้องหน้าตนเอง

    “นายลั่นกลอนประตูไม่ให้ใครอื่นเข้ามา ปูพรมไปทั่วพื้นไม้ และอุดขอบหน้าต่างไว้แน่นไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไปได้ แต่ฉันรู้ดีกว่านั้น --” ใบหน้าขาวซีดยื่นเข้ามาใกล้มากขึ้น จนกลิ่นลมหายใจอันเน่าเหม็นโฉยมาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดริมฝีปากบางเปล่งเสียงอันแหบพร่าต่อไปว่า


    “นายซ่อนปิศาจร้ายไว้ที่นี่ -- นายซ่อนมันไว้ชั้นบนของบ้านนี้ -- ใช่ไหม --”


    เคเลบนิ่งเงียบไปนาน ใบหน้าอันคมสันก้มลงมองอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไรออกมา ราวกับใช้ความคิดบางอย่าง

    “นายต้องการอะไรจากฉัน” เขาถามออกมาในที่สุด

    ชายหนุ่มหลับตาลงแน่น เส้นเลือดดำปูดขึ้นมาตามลำคออย่างน่ากลัว “ช่วย --” เขาเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก “ช่วยด้วย --”

    เคเลบเข้าใจในถ้อยคำอันแสนสั้น ที่แฝงไปด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัสนั้นในทันที

    หากแต่ใบหน้าที่ก้มลงมองอีกฝ่ายมานั้นยังคงนิ่งเฉย และแววตาที่จ้องมองเข้าไปในดวงตาอันฝ้าฟางคู่นั้นก็ดูว่างเปล่าอย่างน่ากลัว

    ในที่สุดเขาก็พูดออกมาว่า “สายไปแล้ว --” เขากระซิบ ขณะเช็ดคราบเลือดบนมือตนเองเข้ากับชายเสื้อ

    ชายหนุ่มคนนี้มองอะไรไม่เห็น และไม่ได้กลิ่นอะไรอื่นอีก ทั้งหมดที่เขารับรู้มีเพียงกลิ่นเลือด และเสียงเคลื่อนไหวรอบตัวที่ไม่ใช่ซากศพเท่านั้น --

    “มันสายไปแล้ว”

    คำพูดนั้นราวกับจะทำให้เจคอบวัญผวาขึ้นมา ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มจนแทบจะกลายเป็นชักกระตุก เส้นเลือดสีดำปูดโปนมาตามร่างมากยิ่งขึ้น และผิวหนังก็ลอกถลอกมากขึ้น จนเป็นรอยแดงอย่างน่ากลัวราวกับกำลังถูกถลกด้วยมือที่มองไม่เห็น

    ไม่จริง! เขาร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ไม่จริง! แกโกหก! แกคนเดียวเท่านั้นที่รู้วิธีรักษา! แกถึงยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ทั้งๆที่มีกลิ่นปิศาจร้ายติดอยู่บนตัวขนาดนั้น! แกคนเดียวที่ยังมีชีวิตรอดเป็นมนุษย์อยู่ได้นานขนาดนี้! นั่นเพราะแกต้องรู้อะไรบางอย่าง! ใช่ไหม! ใช่ไหม! แกรู้วิธี! --” เสียงละล่ำละลั่กนั้นถูกกลืนหายไปในลำคอ ก่อนที่จะกลายเป็นเสียงคำรามดังครืดคราดแทน ราวกับเสียงร้องของสัตว์ป่าที่พร้อมออกล่าเหยื่อ

    สภาพความจริงที่เกิดขึ้นราวกับจะกระตุ้นให้ชายหนุ่มรับรู้ชะตากรรมตนเอง -- เคเลบไม่ได้โกหกเขา

    แล้วมันก็เป็นเขาที่พูดคำนี้ออกมาด้วยตัวเอง -- ชายคนนี้ไม่ใช่คนโกหก

    สำนึกนั้นทำให้เขากรีดร้องออกมา น้ำตาที่ไหลออกมาจากเบ้าตากลายเป็นสีแดงฉาน “ได้โปรด! --” เขาร่ำร้องเป็นครั้งสุดท้าย ได้โปรด!!”

    เคเลบยังคงจ้องมองร่างหนาตรงหน้า

    ทุกอย่างช้าเกินไปแล้ว --

    “นายกำลังจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปแล้ว ในไม่กี่อึดใจนี้ -- และฉันไม่มีทางเลือกช่วยอะไรนายได้อีกแล้ว --” เคเลบพูดช้าๆ หากแต่ชัดเจนในทุกคำพูด

    “ฉันเสียใจ -- และลาก่อน”


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in