เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
DEFENDER คืนล้างโลกSamanthachiew
ALBA.

  • ฆ่ามัน!

    กำจัดมันทิ้งเสีย!

    นางแม่มด!


    อัลบาลืมตาตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากทางนอกบ้าน -- มีใครบางคนอยู่ข้างนอกนั่น

    อัลบาไม่ได้ลุกขึ้นมาจากใต้ผ้าห่มในทันที เธอยังคงนอนนิ่งอยู่เช่นนั้น เงี่ยหูฟังเสียงกระซิบกระซาบ และเสียงฝีเท้าอันหนาหนักที่เหยียบย่ำไปตามพื้นดินโคลน

    ฉับพลันนั้นเองอัลบาสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนใต้ร่างของตนเองอีกครั้ง -- และมันไม่ได้เป็นเพราะเสียงฝีเท้าของผู้มาเยือน

    เธอรอจนกระทั่งแรงสั่นสะเทือนนั้นเงียบหายไป จึงขยับตัวอีกครั้ง -- เธอชำเลืองมองไปยังร่างของเด็กหนุ่มข้างตัวที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา จากนั้นจึงค่อยๆลุกขึ้นมาจากพื้นไม้อันเย็นเชียบ เดินตรงไปทางประตูบ้าน ค่อยๆเปิดกลอนประตูออก แล้วก้าวออกไปสู่ความมืดในยามเช้ามืด

    ข้างนอกนั้นลมหนาวได้พัดแรงขึ้น และหนาวเย็นยิ่งขึ้นกว่าเดิม --

    อัลบามองตรงเข้าไปในความมืดสลัว -- มีชายฉกรรจ์ห้าคนยืนอยู่ตรงนั้น

    อัลบาไล่สายตาไปตามใบหน้าอันคุ้นเคยทั้งหลาย เธอปิดประตูตามหลัง ออกเดินเข้าไปใกล้พวกเขามากขึ้น พร้อมกับกระชับเสื้อคลุมเข้ากับตัว ท่าทีดูนิ่งสงบ ปราศจากความประหลาดใจ หรือความหวาดกลัวใดๆ

    และนั่นทำให้ชายสูงวัยที่สุดในกลุ่มพูดขึ้นมาว่า “เธอรู้ว่าพวกเราจะมาที่นี่อีกหรือ”

    อัลบากวาดสายตามองไปตามหมู่แมกไม้ และความมืดรอบตัว “ไม่มีใครมาที่ชายป่านี้ หรือริมแม่น้ำนี้มานาน นับตั้งแต่วันล้างโลกวันนั้น -- แต่เมื่อวานพวกเธอกลับมาที่นี่ -- ” เธอตอบอย่างแผ่วเบา “ใช่ -- ฉันคิดว่าฉันรู้ตัว ว่าพวกเธอจะกลับมาที่นี่อีกในวันนี้”

    ชายคนนั้นดูขุ่นเคืองกับท่าทีของเธอ ใบหน้าที่คล้ำแดดนั่นจ้องมองเธออย่างเคียดแค้น “เห็นนั่นไหม” เขาพยักเพยิดไปทางเด็กหนุ่มคนหนึ่งทางด้านหลัง ที่ใบหน้าพันด้วยผ้าพันแผลไปเกือบครึ่ง

    อัลบาไม่แม้แต่มองตามสายตานั่น ในตอนที่ตอบว่า “ฉันเห็นชัดดีทีเดียว”

    “มันกัดหน้าลูกน้องฉันจนแหว่งไปเกือบทั้งหน้า!” ชายร่างใหญ่คำรามออกมาดังลั่น “สัตว์นรกที่เธอเลี้ยงไว้นั่นกินเนื้อมนุษย์! มันไม่เห็นเราเป็นอะไรนอกจากเหยื่อโง่ๆ และชิ้นเนื้ออันแสนหวานเท่านั้น!”

    อัลบาคิดตามเล็กน้อย ก่อนจะบอกว่า “นายเข้าใจผิดแล้ว -- ฉันเป็นคนเฉือนเนื้อพ่อหนุ่มคนนั้นเอง” เธอทอดถอนลมหายใจออกมา “และเท่าที่เห็นตอนมื้อค่ำเมื่อวาน เขาก็ดูไม่โปรดปรานเนื้อมนุษย์เสียเท่าไหร่ -- ดูเหมือนว่ารสชาติมนุษย์จะไม่ได้หวานอร่อยแบบที่หลายคนคิด --”

    “นังปิศาจ!” ชายคนนั้นสบถออกมา “เธอเฉือนหน้าเด็กของฉันหรือ! เธอกล้าดียังไง!”

    “ฉันกล้าดีแน่ --” อัลบาตอบ “เพราะเขาพยายามถ่วงน้ำคนของฉันก่อน”

    เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนที่ชายร่างสูงจะถามขึ้นมาว่า “เราล้มเหลวสินะ”

    อัลบาส่ายหน้า “พวกนายล้มเหลว” เธอตอบ “นายควรจะรู้ตั้งแต่แรกแล้ว -- ว่าน้ำฆ่าเขาไม่ได้ -- เขาไม่ได้เป็นเหมือนปิศาจเมื่อสิบแปดปีก่อน -- เขาเกิดมาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของมนุษย์ --”

    ชายคนนั้นยกมือขึ้นปรามเธอ

    เขาหลับตาลงแน่น ราวกับพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง

    “เมื่อวานคนของฉันบอกเธอชัดเจนแล้ว” เขาเค้นเสียงลอดไรฟัน “ว่าให้ไปจากที่นี่เสีย!”

    “ใช่ เด็กๆของเธอบอกฉันแบบนั้น --” อัลบาพยักหน้า พร้อมกับถลกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนที่บวมช้ำยิ่งกว่าเดิม “และพวกเขาก็เตือนฉันชัดเจนดีทีเดียว ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากฉันไม่ยอมทำตาม”

    ถึงตรงนี้อัลบาก็มองข้ามไหล่ชายร่างสูงไปยังเด็กหนุ่มที่พันใบหน้าด้วยผ้าพันแผลคนนั้น -- “ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ถูกฉันเฉือนใบหน้าทิ้งแบบนั้น --”

    “แล้วทำไมเธอถึงยังอยู่ที่นี่” ชายคนนั้นถามต่อไป สองเท้ารุดเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น “ทำไมถึงไม่ไปจากที่นี่เสีย -- เธอท้าทายฉันหรือ เธอต้องการจะเอาชนะฉันหรือ --”

    “เอ็ดการ์” อัลบาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับเธอไม่คาดคิดถึงคำนี้มาก่อน “จนถึงตอนนี้ -- หลังจากที่เราผ่านวันล้างโลกวันนั้นมาได้ ฉันก็ไม่คิดท้าทายใครหรือพยายามจะชนะใครทั้งนั้น เอ็ดการ์”

    “วันล้างโลกนั่นไม่ได้สอนอะไรเธอเลยหรืออย่างไรกัน!” เอ็ดการ์ย้อนทันที “เราจะเก็บพวกลูกปิศาจไว้ไม่ได้! เธอข่มตานอนหลับทุกคืนได้อย่างไรกัน --”

    “วันล้างโลกนั้น ไม่ได้สอนอะไรเธอเลยหรือ ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นโดยมีเหตุผลของมันเสมอ” อัลบาพูดกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บางทีอาจจะเป็นมนุษย์อย่างเราที่ควรจะหมดไปจากโลกนี้ -- เวลาของเราอาจจะหมดไปนานแล้วด้วยซ้ำ -- โลกใบนี้ถึงไม่มีพื้นที่ให้เราใช้ชีวิตอยู่กันได้แบบเมื่อก่อน -- ผืนดินปลูกอะไรไม่ได้ และสัตว์ก็สูญพันธุ์ไปจนเกือบหมด -- มันอาจจะมีเหตุผลที่ทำให้เราต่างอดอยากกันมาหลายปี --”

    เอ็ดการ์หัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน “เพราะเธอเชื่อในเรื่องจอมปลอม ไว้หลอกตัวเองไปวันๆอย่างงั้นหรือ -- มนุษย์น่ะหรือ จะถูกเลือกให้ถูกกำจัดออกไปจากโลกใบนี้ ขอทีเถอะ!” เขาย้อน “ตื่นเสีย อัลบา! การปกป้องเด็กปิศาจนั่น ไม่ได้เรียกว่าการเสียสละ”

    “ฉันปกป้องคนที่ฉันเชื่อว่าสมควรได้รับการปกป้อง” อัลบาตอบกลับไป

    “เด็กปิศาจนั่นไม่สมควรได้รับการปกป้องใดๆ” เอ็ดการ์เค้นเสียง ใบหน้าอันดำคล้ำบิดเบี้ยวไปด้วยความเกลียดชัง “เธอกำลังปกป้องสัตว์เดรัจฉาน ที่จะตลบหลัง และฆ่าเธอทิ้งในตอนที่เธอเผลอ!”

    คราวนี้อัลบาดูประหลาดใจกับคำพูดนั้นมากกว่าเดิม “เขาน่ะหรือจะฆ่าฉัน” เธอทวน “เขาน่ะหรือ!”

    ชายทั้งห้านิ่งเงียบไป บางคนเบือนหน้าหนี แสร้งมองปลายเท้าตนเอง ในตอนที่สบตาเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลคมเข้มคู่นั้น

    พวกนายทำร้ายฉัน ข่มขู่ฉันด้วยท่อนไม้ -- พยายามฆ่าเขาด้วยก้อนหิน และถ่วงน้ำ” อัลบากระซิบ “แต่พวกนายกลับมาบอกฉันว่าคนที่จะฆ่าฉันคือเขาน่ะหรือ”

    อัลบามองใบหน้าดำคล้ำของอีกฝ่าย พินิจมองไปตามริ้วรอยของความกังวล ความหวาดกลัว และเกลียดชังที่ฉายชัดออกมาอย่างชัดเจน -- นี่คือใบหน้าของคนที่ผ่านความทุกข์มหันต์ และเผชิญความยากลำบากมาตลอดทั้งชีวิต

    และนั่นไม่ได้หมายความเพียงชายคนนี้ทำงานตากแดดตากฝน หรือใช้แรงงานอันหนักหนาเท่านั้น -- หากแต่อัลบาสัมผัสได้ถึงความทรงจำอันเลวร้ายที่ยังคงฉุดรั้งชายคนนี้ ไม่ให้ก้าวพ้นจากเงามืดออกมาได้

    “ทำไมนายถึงทำแบบนี้ ทำไมต้องพยายามขับไล่เราเสียขนาดนี้” เธอถามออกมาช้าๆ “ทำไมถึงต้องทำร้ายฉัน และริเวอร์ ทั้งๆที่นายก็อยู่ที่นั่นด้วยเมื่อสิบแปดปีก่อน -- นายรู้ และเห็นเองกับตา ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ริมแม่น้ำสีเลือดแห่งนี้ --” อัลบามองไปตามเด็กหนุ่มอีกสี่คนที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ ไม่มีใครรับมือมันได้ทั้งนั้น -- มนุษย์ล้มตายไปมากมาย -- แต่เรายังยืนอยู่ที่นี่ มีชีวิตในวันนี้ได้ เพราะการเสียสละของสามีภรรยาคู่นั้น --”

    “เรื่องนั้นเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นมาจากทางด้านหลังเอ็ดการ์ ด้วยน้ำเสียงอันดัง “ถ้าการเสียสละของพวกเขาศักดิ์สิทธิ์จริง เด็กนรกที่เกิดจากพวกเขาสองคนนั้นก็ต้องไม่เป็นตัวสร้างปัญหาให้เราแบบนี้-- ต้องไม่ทำให้เรารู้สึกหวาดกลัวในทุกค่ำคืนแบบนี้! หวาดกลัวว่ามันจะบุกเข้ามากัดกินเราทั้งเป็น -- เป็นเพราะมัน เราถึงโดนสาป ให้ลำบาก และอดอยากกันแบบนี้ --”

    “เธอไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยซ้ำ เมื่อสิบแปดปีก่อน -- เธอไม่รู้อะไรเลย --” อัลบาย้อน “เธอไปฟังใครพูดมา -- ใครบอกให้เธอเชื่ออะไรแบบนั้น --”

    เด็กหนุ่มอีกคนหัวเราะขึ้นท่ามกลางความเงียบ “คุณยังไม่เห็นอีกหรือ อัลบา” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ราวกับเห็นว่าเธอโง่เขลาเสียเต็มประดา “คนที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดในการที่เราทุกคนอดอยากและล้มตายไป ก็คือมัน  เด็กนรกอัปลักษณ์ที่ไม่กินอย่างอื่นอีกนอกจากเนื้อดิบนั่น มันจะเป็นคนแรกที่ไม่อดอยาก เพราะมีซากศพของเรากินเป็นมื้ออาหาร!”

    อัลบาไม่แม้แต่แสดงอาการฉุนเฉียวใดๆออกมา

    เธอเลิกคิ้วขึ้นสูง แล้วเอ่ยถามออกมาว่า “บอกฉันหน่อยสิ” เธอเอนศีรษะมองใบหน้าทั้งหลายตรงหน้าที่ดูงงงวยกับคำพูดของเธอ “บอกเหตุผลของพวกเธอให้ฉันฟังหน่อย ว่าอะไรทำให้เธอเกลียดเด็กหนุ่มที่พวกเธอแทบไม่รู้จักคนนี้ได้มากมายถึงเพียงนี้”

    เด็กหนุ่มทั้งสี่คนสบตามองกันไปมา ก่อนจะหันไปมองเอ็ดการ์ที่ยังคงยืนเงียบอยู่เช่นเดิม -- หลังจากเกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ และใช้ความคิดไปชั่วครู่ เด็กหนุ่มจึงให้คำตอบออกมาว่า

    “มันมีรูปลักษณ์ไม่ต่างไปจากพวกของมันเอง ดูผิวของมันที่แทบจะลอกถลอกไปทั้งตัวนั่น และดูเส้นเลือดสีดำที่อยู่ใต้ผิวของมัน อัลบา มันกินเนื้อดิบไม่ต่างไปจากพ่อแม่ปิศาจของมันเอง!!” เด็กหนุ่มอีกคนคำรามดังลั่นด้วยน้ำเสียงรังเกียจเดียดฉันท์ “เรื่องหายนะลางร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดตอนนี้ต้องเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับมันแน่! ต้องเป็นมันที่ทำอะไรสักอย่างกับพวกเรา! ต้องเป็นแผนการของมัน ที่อยากให้เรากลายเป็นซากศพ เป็นอาหารของมัน!”

    อย่างงั้นน่ะหรือ” อัลบาทวนคำพูดอีกฝ่าย “การที่พืชผลติดเชื้อแล้วล้มตาย สัตว์ป่าเริ่มสูญพันธุ์ และอากาศแปรปรวนแบบนี้ มันไม่ใช่ฝีมือของเขา -- ทั้งหมดนี่ไม่ได้เกิดมาจากพ่อหนุ่มนั่น --”

    เป็นเพราะมัน เอ็ดการ์แทรกขึ้น ใบหน้าแสดงความฉุนเฉียวออกมามากกว่าเดิม “สิบแปดปีก่อน พวกมันเป็นปิศาจที่กัดคนของเราล้มตาย พวกมันเป็นปิศาจที่แพร่เชื้อร้ายให้มนุษย์กลายร่างเป็นอมนุษย์ -- แล้วก็เป็นพวกมันที่ทำให้เราตกอยู่ในสภาพแร้นแค้นแบบทุกวันนี้ --”

    “ทุกอย่างเกิดขึ้น เพราะมีเหตุผลของมัน” อัลบาแทรกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “ทั้งหมดที่เธอพูดไร้สาระสิ้นดี” เอ็ดการ์หัวเราะถากถาง “เรื่องในอดีตนั่น มันไม่ใช่การเสียสละเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างที่เธอพยายามบอกทุกคน -- นั่นคือคำสาป -- และเด็กนรกนั่นเกิดมาจากพวกมัน! มันไม่มีวันเป็นอื่นไปได้นอกจากตัวอัปมงคล และลางร้ายที่เกิดขึ้นไปทั่วขณะนี้ ก็ไม่ใช่ฝีมือใครนอกจากเด็กนรกที่เธอพยายามปกป้องนั่น!”

    ถึงตรงนี้อัลบาก็ก้าวเดินมาประชิดอีกฝ่าย จนอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่คืบ ใบหน้าอันขาวซีดแหงนเงยขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลดูดุร้ายขึ้นมาในพริบตา จนแทบจะกลายเป็นคนละคนกับก่อนหน้า

    เด็กคนนั้นมีชื่อ -- อัลบาพูดเสียงเย็นและชื่อของเขาคือริเวอร์

    เกิดความเงียบขึ้นท่ามกลางความมืด และความหนาวเย็น -- ทั้งหญิงร่างเล็ก เอ็ดการ์ และเด็กหนุ่มร่างใหญ่อีกห้าคนต่างไม่มีใครขยับตัว ต่างฝ่ายต่างประเมินท่าทีของกันและกันอยู่เนิ่นนาน

    จนในที่สุดอัลบาก็เป็นฝ่ายพูดทำลายความเงียบขึ้น

    “เก็บท่อนไม้ในมือไปเสีย การข่มขู่ และการฆ่าฉันกับริเวอร์ จะไม่ช่วยแก้ปัญหาความอดอยากที่เราต่างเผชิญกันอยู่ตอนนี้ได้” เธอบอก​ “อย่าดูถูกพวกเราให้มากนัก -- ฉันเป็นมากกว่าหญิงแก่ที่ตัวเล็ก และเขาก็เป็นมากกว่าเด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าปิศาจ”

    เอ็ดการ์ไม่ได้ลดมือที่ถือท่อนไม้เอาไว้สักนิด ท่าทีที่แสดงออกมาของเขา ฉายชัดถึงเจตนารมณ์ในการมาเยือนครั้งนี้อย่างไม่มีปิดบัง

    เขาจะไม่กลับไป ถ้าปิศาจตนนี้ยังมีชีวิตอยู่

    “มันจะจบลงวันนี้” เอ็ดการ์บอก “ฉันจะไม่ปล่อยให้ปิศาจเหลือชีวิตรอดอีกสักตัวเดียว -- ฉันจะไล่ล่าฆ่าพวกมันให้หมดทุกตัว”

    อัลบาเองก็ไม่ได้ก้าวถอยหนีอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน

    เธอเปล่งคำพูดออกมาอย่างชัดเจนว่า “ฉันรู้ว่านายกำลังหวาดกลัว” เธอบอก “เราสองคนต่างเผชิญหน้ากับวินาทีที่เกือบสูญสิ้นชีวิตมาแล้วเหมือนกัน -- ฉันรู้ว่าเราต่างสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นที่กลับมาอีกครั้ง -- นายสัมผัสได้ถึงความตาย นายสัมผัสได้ถึงเวลาที่กำลังจะหมดลง เหมือนเมื่อสิบแปดปีก่อน -- นายถึงได้หวาดกลัวเสียขนาดนี้ เอ็ดการ์ --”

    ใบหน้าอันดำคล้ำของเอ็ดการ์สั่นเทิ้มในทันทีที่ได้ยินคำพูดของเธอ

    ริมฝีปากหนาเม้มแน่น ร่างทั้งร่างเกร็งขึ้นมากะทันหัน ท่าทีดูตื่นตกใจที่คำพูดเหล่านั้น ราวกับว่ามันดังออกมาจากจิตใต้สำนึกของเขาเองก็ไม่ปาน

    “ไปจากที่นี่เสีย -- กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวของตัวเอง และใช้เวลากับพวกเขา” อัลบาว่าต่อไป “ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง”

    จากนั้นเธอจึงหมุนตัว เดินกลับมาทางบ้านหลังเล็กของตนเอง ปล่อยให้ชายทั้งห้าคนยืนจมดิ่งอยู่กับความคิดของตนเองท่ามกลางความมืด และกระแสลมอันเย็นเชียบ

    ทันใดนั้นเอง โดยไม่ทันตั้งตัว และคาดคิดมาก่อน แรงกระแทกอันรุนแรงก็ฟาดเข้ากับศีรษะของเธอดัง โครม!

    อัลบารู้สึกว่าร่างตนเองใกล้ชิดกับพื้นดินมากขึ้น -- เธอกำลังล้มลง -- เธอบอกตนเอง

    อัลบามองเห็นหยดเลือดที่ไหลมาตามลำคอ และร่วงหล่นลงมาที่หน้าตักตนเอง -- ฉับพลันนั้นอากาศโดยรอบก็คล้ายจะหนาวเย็นขึ้นมามากกว่าเดิม และความมืดก็แผ่ขยายอาณาบริเวณออกไปไกลยิ่งขึ้น

    เธอได้ยินเสียงชายทั้งห้าโต้เถียงกันอย่างตื่นตกใจ -- ใครบางคนสบถด่าเอ็ดการ์ที่ทำร้ายเธออย่างรุนแรง -- ใครบางคนตะโกนว่า “เราแค่ต้องการขู่และเตือนเธอเท่านั้นไม่ใช่หรือ” ในขณะที่บางคนตะโกนว่า “รีบหนีไปเสียตอนนี้!!” หากแต่เธอไม่สามารถจับใจความอะไรมากไปกว่านั้นได้

    อัลบานึกอยากให้ตนเองรู้สึกอบอุ่นมากกว่านี้ แต่ก็รู้ตัวในวินาทีถัดมาว่ามันเป็นการร้องขอที่มากเกินไป

    ความรู้สึกหนาวเย็นได้แล่นปราดไปทั่วทั้งร่างเสียแล้ว

    ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องไปยังพื้นดินอันเย็นชื้นเบื้องล่างตนเอง -- ถึงตรงนี้เธอหวนนึกถึงพื้นดินริมแม่น้ำที่อาบท่วมไปด้วยเลือดเมื่อสิบแปดปีก่อนอีกครั้ง

    มันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด

    เธอยังคงเป็นเด็กหญิงคนนั้น ที่อยู่ท่ามกลางความดุร้าย และความป่าเถื่อนเดรัจฉาน -- เธอในตอนนี้ไม่ต่างอะไรไปจากเด็กหญิงที่อยู่ท่ามกลางเหล่าปิศาจร้ายเหล่านั้นเลยสักนิด

    อัลบาเงยหน้าขึ้น ยิ้มออกมาเมื่อมองเห็นประตูบ้านเปิดออกช้าๆ แล้วร่างของเด็กหนุ่มคนนั้นปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ

    แต่อย่างน้อยก็ยังมีคนๆหนึ่งที่แตกต่างออกไป -- เธอจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวที่เบิกโพลงเบื้องหน้าตนเอง -- อย่างน้อยเขาก็พยายามต่อสู้กับความเดรัจฉานในตัวเองแทบตลอดเวลา ไม่ว่ามันจะยากเย็นเพียงใดก็ตาม 

    หวังว่าเขาจะไม่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ -- เธอนึก -- เพราะมันจะเป็นการต่อสู้ที่ยากเย็นที่สุด และยาวนานที่สุดในชีวิตของเขา

    อัลบาล้มลงไปในอ้อมกอดของใครคนนั้น แล้วนอนแน่นิ่งไป

    คราวนี้ดวงตาสีน้ำตาลเรียวเล็กคู่นั้นไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมาอีกเลย


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in