เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
DEFENDER คืนล้างโลกSamanthachiew
RIVER.

  • ฆ่ามัน!

    กำจัดมันทิ้งเสีย!

    ลูกปิศาจ!


    เด็กหนุ่มลืมตาตื่นขึ้น สะดุ้งสุดตัวในตอนที่เสียงนั้นดังก้องกังวานไปทั่วโสตประสาทตนเอง

    ร่างของเขาชักกระตุก ก่อนที่จะสำลักน้ำออกมาทางจมูก และปากอย่างรุนแรง -- เขาไอสำลักติดต่อกันอย่างยาวนาน จนในที่สุดก็สามารถกลับมาหายใจได้ดั่งเดิมอีกครั้ง

    ใบหน้าอันเลือนรางของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา จนกระทั่งกระจ่างชัดขึ้นในความมืดสลัว

    แสงเทียนไขส่องสว่างขึ้นท่ามกลางความมืด เผยให้เห็นใบหน้าเล็กของหญิงคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยริ้วรอย และบาดแผล

    ดวงตาสีน้ำตาลเรียวเล็กที่จ้องมองมานั้นฉายชัดถึงความกังวล และดูโล่งอกในทันทีที่เห็นเขาฟื้นขึ้นมา

    “เธอหมดสติไป --” เธอหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้น ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง

    “ผมยังมีชีวิตอยู่”  เด็กหนุ่มกระซิบ หลับตาลงอย่างอ่อนแรง

    “เกิดอะไรขึ้น” เธอถามต่อไป จ้องมองเด็กหนุ่มนิ่ง ไล่สายตาไปตามเรือนผมสีแดงเพลิงที่เปียกชื้น ไปจนถึงเสื้อผ้าที่เปียกปอนไปทั้งตัว “พวกเขาทำอะไรเธอ --”

    เด็กหนุ่มเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาสีเขียวจับจ้องไปยังหญิงตรงหน้า “ไม่มีอะไร” เขาส่ายหน้า “พวกเขาแค่จับผมถ่วงน้ำด้วยก้อนหิน”

    คำตอบนั้นทำให้ร่างบางนิ่งชะงักไป เธอมองไปยังข้อมือของเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยแผลถลอก และบวมช้ำเป็นสีดำคล้ำอย่างน่ากลัว

    “เธอแก้มัดได้หรือ”

    อีกครั้งที่เด็กหนุ่มส่ายหน้า “เปล่า” เขาค่อยๆชันตัวลุกขึ้นมาจากพื้นดินที่เปียกชื้น เช็ดคราบดินสกปรกออกจากฝ่ามือตนเองเข้ากับเสื้อตัวเก่าอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก “ผมรอจนเชือกขาดไปเอง”

    เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น อธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปว่า “พวกเขาใช้เชือกที่เก่าเกินไป และชำรุดเกินไป -- มันรับน้ำหนักหินไม่ได้นานขนาดนั้น”

    หญิงร่างบางพยักหน้าช้าๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาอยู่นาน จนในที่สุดเธอก็ขยับตัวเข้าหาอีกฝ่าย

    มือบางเอื้อมมาสัมผัสใบหน้าอันขาวซีดของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกระซิบว่า “มาเถอะ”

    เธอลุกขึ้น เดินนำเข้าไปในความมืดของชายแดนป่าที่ดูรกร้าง บรรยากาศอันเงียบสงัดโดยรอบยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้ดูน่ากลัว ราวกับเป็นสถานที่ถูกสาป จนไม่มีใครกล้าย่างกรายผ่านมาที่นี่มากนัก

    “ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว”

    เด็กหนุ่มไม่ได้ลุกเดินตามเธอไปในทันที เขานั่งนิ่งดั่งเดิมราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หากแต่หญิงคนนั้นก็ไม่ได้เร่งรัด หรือบีบบังคับให้เขาตามติดมา เธอทำเพียงเดินไปตามทางของตนเองเท่านั้น

    จนกระทั่งเสียงฝีเท้าอันแผ่นเบานั่นเริ่มเงียบหายไป เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นเดินตามเธอไป เขาเฝ้ามองไปยังแผ่นหลังอันบอบบางที่กำลังเดินนำทางเข้าไปในป่าทึบอันมืดสลัว ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรออกมา  -- ทั้งเขาและเธอต่างเดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยก้อนหินอันแหลมคม และหมู่แมกไม้อันรกชัฏอย่างเงียบๆ ต่างคนต่างจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง

    ในที่สุดพวกเขาเดินทางมาถึงบ้านเล็กหลังหนึ่งที่สร้างด้วยท่อนไม้ และตะปูเหล็ก

    บ้านหลังนั้นดูแข็งแรง หากแต่เล็กจนน่าใจหาย แม้จะสำหรับอยู่อาศัยเพียงสองคนก็ตาม -- บ้านหลังนั้นไม่มีอะไรนอกจากห้องหนึ่งห้อง ที่เกือบจะว่างเปล่า มีเพียงผ้าม่านสีดำที่ปิดหน้าต่างจนมิดชิด หม้อเก่าๆไม่กี่ใบ เตาผิง และโต๊ะเล็กๆตัวหนึ่งเท่านั้น หากแต่พวกเขาทั้งสองกลับดูพอเพียงกับสิ่งที่มีอยู่

    หญิงร่างเล็กยื่นเสื้อตัวใหม่ที่แห้ง และสะอาดให้เด็กหนุ่มที่เดินตามหลังมา  ยืนรอจนเขาเปลี่ยนเสื้อเสร็จเรียบร้อย จึงยื่นเสื้อคลุมตัวเก่าตัวหนึ่งให้เขาสวม จากนั้นจึงพยักเพยิดให้เขาเดินตามมาที่โต๊ะอาหาร

    บนโต๊ะนั้นมีถ้วยซุปวางอยู่สองถ้วย ถ้วยหนึ่งเป็นซุปผัก และอีกถ้วยหนึ่งมีเนื้อดิบชิ้นเล็กลอยอยู่

    เด็กหนุ่มมองเธอทันที ที่ถ้วยชิ้นเนื้อดิบนั่นถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้าเขา

    “วันนี้เธอสมควรได้ทานอะไรที่อยากทานมานาน” หญิงร่างเล็กบอก “เนื้อดิบ”

    เด็กหนุ่มสูดลมหายใจดังลั่นไปทั่วทั้งห้องเล็กๆแห่งนั้น ท่าทีดูทรมาน ราวกับพยายามอดกลั้นต่อความอยากกระหาย ริมฝีปากหยักเม้มแน่น และฝ่ามือก็เกร็งแน่นจนโต๊ะสั่นไหวเล็กน้อย

    ราวกับความอดทนได้หมดลง เด็กหนุ่มโฉบพุ่งลงไปเหนือถ้วยไม้ แล้วกัดกินชื้นเนื้อดิบนั่นอย่างตะกรุมตะกราม หลับตาลงแน่น ท่าทีราวกับกำลังหลงละเมอไปกับอารมณ์เคลิ้มสุขที่เกิดขึ้นมาชั่วขณะ

    พริบตาที่ชิ้นเนื้อดิบกลืนลงผ่านลำคอไปนั้น เขาก็เบิกตาโพลง สะดุ้งเล็กน้อย ราวกับเพิ่งได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง

    หญิงร่างบางเฝ้ามองอากัปกิริยาของอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา

    เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ส่งเสียงอึกอักมาจากลำคอตนเอง ท่าทีดูพะอืดพะอมทรมานขึ้นมากะทันหัน

    “มันคือเนื้อชั้นเลว” เธอบอกเขา ค่อยๆเลื่อนถ้วยซุปที่ใสและจืดจางบนโต๊ะมาเบื้องหน้าตนเอง

    แวบหนึ่งเด็กหนุ่มอยากถามอีกฝ่ายว่ามันคือเนื้ออะไร หากแต่คำตอบกลับชัดเจนขึ้นมาในใจเขาแทบจะในทันที และมันทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้มากกว่าเดิม

    “เนื้อพวกเราไม่ได้อร่อยหอมหวานอย่างที่เรานึกกัน จริงไหม” หญิงร่างเล็กเอ่ย

    เด็กหนุ่มเช็ดริมฝีปากด้วยชายเสื้อคลุม ใบหน้าอันขาวซีดดูอดกลั้นอดทนต่อท้องไส้ที่ปั่นป่วน -- ใช้เวลาอยู่อึดใจหนึ่ง เขาจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

    “เสื้อคลุมตัวนั้น--” หญิงร่างเล็กเอ่ยขึ้น “ครั้งหนึ่งเคยเป็นของพ่อเธอมาก่อน -- และฉันไม่ได้ทิ้งข้าวของของเขาในเสื้อตัวนั้นเลย มาเป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว”

    เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไป

    เธอค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้อย่างช้าๆ ใบหน้าอันขาวซีดบิดเบี้ยวเล็กน้อย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยอีกครั้ง

    เด็กหนุ่มสังเกตเห็นสีหน้าของเธอ “คุณบาดเจ็บหรือ”

    อีกฝ่ายส่ายหน้าไปมา ค่อยๆตักซุปที่เกือบจะเป็นน้ำเปล่าเข้าปากตนเอง ใบหน้ายังคงเรียบเฉย ไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา

    เด็กหนุ่มลอบมองไปยังท่อนแขนของเธอที่ถูกปกคลุมด้วยเสื้อคลุมตัวยาว “ให้ผมดู” เขากระซิบ “พวกเขาทำอะไรคุณ --”

    ฝ่ามืออันผอมแห้งนั้นหยุดชะงัก สั่นระริกจนสังเกตเห็นได้แม้ในความมืด -- ช้อนไม้ในมือหลุดร่วงลงบนโต๊ะ ราวกับเสียการควบคุมกะทันหัน

    เด็กหนุ่มค่อยๆเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปสัมผัสฝ่ามือของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา กอบกุมมันเอาไว้ราวกับปลอบประโลม ก่อนที่จะขยับมืออีกข้างมาเปิดชายเสื้อคลุมของเธออย่างช้าๆ

    แสงเทียนไขจากมุมโต๊ะอาบไล้ไปทั่วท่อนแขนเล็กๆนั้น เผยให้เห็นแผลฟกช้ำดำคล้ำที่บวมเป่งอย่างน่ากลัว

    เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น สบตามองเธอในทันที “พวกเขาทำร้ายคุณหรือ” เขาถาม “เมื่อไหร่กัน --”

    หญิงคนนั้นไม่ตอบ ดวงตาสีน้ำตาลยังคงจ้องมองเขานิ่ง

    “ทำไมคุณไม่บอกผม” เด็กหนุ่มถามเธอด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย “อัลบา --”

    อัลบาจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวเจิดจ้า ก่อนจะพินิจมองไปตามเรือนผมสีแดงเพลิง และใบหน้าอันอ่อนเยาว์ตรงหน้า

    เธอมองไปตามแผลลอกถลอกที่กลายเป็นสีแดง และเส้นเลือดสีดำที่ปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางตามผิวหนังนั่น ก่อนจะพูดออกมาว่า “เหตุผลเดียวกันกับที่นายยอมให้ตัวเองถูกถ่วงน้ำในวันนี้”

    เด็กหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย

    “นั่นไม่เหมือนกัน” เขากระซิบ “น้ำทำอะไรผมไม่ได้ -- น้ำฆ่าผมไม่ได้ --”

    อัลบาพยักหน้ารับ “ฉันรู้ว่าน้ำฆ่าเธอไม่ได้ ฉันรู้ว่าเธอหายใจอยู่ในน้ำได้นานแค่ไหน ฉันเห็นเองกับตามาแล้ว” เธอบอก “แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงพยายามจบชีวิตตัวเอง ด้วยการปล่อยให้ตัวเองถูกถ่วงน้ำ -- เธออาจจะหายใจในน้ำได้ แต่การจมหายไปในก้นแม่น้ำตลอดกาลนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จริงไหม --”

    เด็กหนุ่มเงียบไปอึดใจหนึ่ง

    “แต่ผมก็ไม่ตาย --” เขาเอ่ยออกมาหลังจากนิ่งเงียบไปนาน “ผมปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งไปนาน ในแม่น้ำลึกนั่น -- แต่ผมก็ยังไม่ตาย” 

    คราวนี้เป็นอัลบาที่นิ่งเงียบไป

    “พวกเขาพูดกันว่ามีคนที่เหมือนกับผม -- อยู่นอกเขตป่าแห่งนี้ไป” เด็กหนุ่มว่าต่อไป “คนๆนั้นรูปลักษณ์ประหลาด และอัปลักษณ์เหมือนกับผม -- พวกเขาลือกันว่าใครคนนั้นเหมือนผมไม่มีผิด -- บนโลกใบนี้ยังมีคนที่เหมือนผมอยู่ คนที่ทำให้พวกเขาเกลียดชังและอยากจะกำจัดทิ้ง” เด็กหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะปรับลมหายใจตนเองให้เข้าที่ แล้วเอ่ยต่อไปว่า “คนที่เป็นสาเหตุจุดจบของโลกใบนี้ คนที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายแบบนี้ --”

    ใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลนั้นฉายชัดถึงความเศร้า และทุกข์ใจแสนสาหัส

    มันทำให้หญิงร่างเล็กรู้สึกเศร้าใจมากกว่าเดิม ยิ่งเธอจ้องมองเด็กหนุ่มนานมากเท่าใด ดวงตาคู่เรียวของเธอก็ยิ่งฉายชัดถึงความโศกเศร้ามากขึ้นเท่านั้น

    “ใช่ ครั้งหนึ่งบนแผ่นดินนี้เคยมีพวกปิศาจร้ายนั้น -- พวกที่แพ้น้ำ และออกไล่ล่ากินเนื้อมนุษย์ จนทำให้เรานึกว่าเราต่างมาถึงจุดจบของยุคมนุษย์แล้ว --” อัลบาตอบ “แต่นั่นไม่ใช่เธอ --”

    เด็กหนุ่มมองอัลบานิ่ง

    “ทั้งเธอและฉัน --” อัลบากระซิบ ยังคงไม่ละสายตาไปจากใบหน้าอันอ่อนเยาว์ที่ดูแปลกประหลาดของเด็กหนุ่มตรงหน้า “ปีแล้วปีเล่า ที่เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป แต่เราต่างไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อตอนสิบแปดปีก่อนเลยสักนิด ทั้งเธอและฉันต่างยังเป็นเด็กหญิง และทารกที่ริมแม่น้ำสีเลือดดั่งเดิม --”

    ฝ่ามืออันอ่อนแรงของอัลบากระชับฝ่ามือเด็กหนุ่มแน่นขึ้นเล็กน้อย

    “เราต่างสงสัยในการมีอยู่ของเราในวันนี้เหมือนกัน --” เธอบอก “เราต่างสงสัยว่าทำไมเราถึงเป็นผู้รอดชีวิตจากวันล้างโลกในวันนั้น -- ในขณะที่หลายคนจากเราไป แต่ทำไมเราถึงยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป ท่ามกลางความเกลียดชัง และเสียงสาปแช่งเหล่านี้ -- ทั้งเธอ และฉัน --”


    ทั้งเธอและฉัน


    ถึงตรงนี้เด็กหนุ่มก็หลุบตาลง หลบเลี่ยงสายตาของอีกฝ่ายที่มองมา แล้วจ้องมองไปยังฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยถลอกสีแดง และเส้นเลือดสีดำของตนเองแทน

    “เธอต้องรู้ ว่าทุกอย่างมีเหตุและผลของมัน” อัลบาบอก “มีเหตุผลให้ฉันมีชีวิตรอดมาเจอเธอ และมีเหตุผลให้เธอได้ถือกำเนิดรอดมาเป็นมนุษย์ได้อย่างปาฏิหาริย์”

    “อัลบา --” เด็กหนุ่มพูดแทรกขึ้น

    หากแต่อัลบาไม่ยอมให้เขาขัด

    “เราต่างสงสัยในการมีอยู่ของเราในวันนี้เหมือนกัน -- ” อัลบาว่าต่อไป “แต่เธอต้องไม่สงสัยในคำพูดของฉัน เธอต้องเชื่อในคำพูดของฉัน ว่ามันคือความจริง -- เธอต้องเชื่อในคำพูดของฉัน ว่ามันคือความสัตย์จริง --”

    ฝ่ามือของเด็กหนุ่มสั่นระริกเป็นครั้งแรก ริมฝีปากหยักเม้มแน่น ราวกับพยายามอดกลั้นความรู้สึกภายในเอาไว้

    อัลบาสังเกตเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มได้อย่างชัดเจน -- ความเศร้า ความสงสัย และความทุกข์ทั้งหมดราวกับจะระเบิดออกมาพร้อมกันในตัวของเด็กหนุ่มคนนี้เป็นครั้งแรก

    และมันทำให้เธอเรียกชื่อเขาออกมาว่า “ริเวอร์” เธอกระซิบ “นี่คือความจริง -- และเธอต้องเชื่อในคำพูดของฉัน -- ด้วยความเชื่อทั้งหมดที่เธอมีในตัวเอง” เธอย้ำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้นมากกว่าเดิม “เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว เธอจะไม่เหลืออะไรอีกเลย แม้แต่ตัวตน และการมีอยู่ของตัวเอง --”

    อัลบากุมมือเด็กหนุ่มแน่นขึ้น

    “อย่าทำแบบนี้อีก” คำพูดนั่นคล้ายจะวอนขอมากกว่าออกคำสั่ง “อย่าพยายามจบชีวิตตัวเองแบบนี้อีก มันจะไม่ได้ช่วยให้เธอได้พบกับจุดจบที่สงบสุข หรือคำตอบชีวิตที่เธอกำลังตามหา -- เธอเข้าใจฉันไหม --”

    ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงก่ำ ฝ่ามือที่ถูกกอบกุมไว้สั่นระริก -- เขานิ่งเงียบ และจมดิ่งไปกับคำพูดนั้นอยู่นาน -- 

    จนในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเขียวจ้องมองอัลบานิ่ง ในขณะที่หยาดน้ำตาค่อยๆไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง

    “คุณเคยพบพวกเขาใช่ไหม -- พ่อกับแม่ของผม” เขากระซิบถาม “คุณเคยพบพวกเขาจริงๆใช่ไหม”

    อัลบาหวนนึกถึงร่างสูงที่อาบท่วมไปด้วยเลือด และใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว เธอหวนนึกถึงร่างกายที่เกร็งแน่น ที่กำลังพยายามต่อสู้กับความเดรัจฉานในตัวเองสุดชีวิต ในขณะที่สองมือกำลังโอบอุ้มร่างของทารกน้อยแรกเกิดไว้แน่น

    มันเป็นภาพที่ขัดแย้ง น่าหวาดกลัว และเกินที่จะเชื่อในเวลาเดียวกัน

    แต่มันเป็นความจริง -- อัลบาบอกตนเอง -- มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น --

    เธอนึกถึงดวงตาสีขาวขุ่น ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสีดำคมเข้ม และใบหน้าคมสันของชายที่ครั้งหนึ่งเคยปรากฏตัวขึ้นมาจากความมืด และช่วยชีวิตเธอเอาไว้ --

    เธอนึกถึงชายที่เคยยืนตรงหน้าเธอคนนั้น ที่ริมแม่น้ำเมื่อสิบแปดปีก่อน -- ในวันเดียวกันกับที่ผู้รอดชีวิตทุกคนเรียกว่าวันล้างโลก

    เธอนึกถึงชายที่ทุกคนเรียกเขาว่าเคเลบคนนั้น

    เธอนึกถึงภรรยาของเขา ที่ชื่อว่าแมรี่โกลด์

    เธอนึกถึงสองสามีภรรยาที่ทุกคนต่างพูดถึงกันอยู่ในทุกวันนี้ว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องร้ายทุกอย่าง

    “เธอมีใบหน้า และรูปร่างเหมือนกับพ่อ” อัลบาเอ่ยออกมา มองไปตามเรือนผมและสีตาของอีกฝ่าย “และมีดวงตากับสีผมเหมือนแม่”

    เด็กหนุ่มจ้องมองเธอนิ่ง ราวกับซึมซับคำพูดของเธออย่างช้าๆ

    “ฉันอยู่ด้วยในวันที่แม่ของเธอยอมเสียสละชีวิตตัวเอง เพื่อให้เธอได้ถือกำเนิดขึ้นมา -- และฉันอยู่ด้วยในวันที่พ่อของเธอพาเธอหนีมาที่นี่ ที่ริมแม่น้ำแห่งนี้ --” เธอบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

    ริมแม่น้ำในวันล้างโลกที่ทุกวันนี้ถูกปล่อยร้าง จนหมู่ต้นไม้ขึ้นรกชัฏ -- แม่น้ำแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ของความทรงจำอันสยดสยอง และเลวร้าย เกินกว่าที่ใครจะกล้าพูดถึง และนั่นทำให้ไม่มีใครกล้าผ่านมาใกล้มากนัก จนทำให้สถานที่แห่งนี้เหลือไว้เพียงความเงียบสงัดอันวังเวง และความน่ากลัวเท่านั้น

    “และเขาพูดชื่อออกมาชื่อหนึ่ง --” เสียงของอัลบาว่าต่อไป

    ริเวอร์

    ได้โปรด พาริเวอร์ไปด้วย

    ตอนนั้นเองที่อัลบาสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบางอย่างมาจากใต้ฝ่าเท้าของตนเอง มันสั่นไหวไปมา จนเธอเผลอเกร็งตัวแน่น ราวกับระมัดระวังตัวขึ้นมาตามสัญชาตญาณ

    ริเวอร์สัมผัสได้ถึงอาการตื่นตระหนกของเธอ เขากระชับมือเธอ แล้วเอ่ยถามว่า “มีอะไรหรือ อัลบา” เขามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของอีกฝ่าย “คุณเจ็บแผลหรือ”

    อัลบาจดจ่อกับแรงสั่นไหวนั้น -- แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่เธอก็แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าของเธอ -- ทันใดนั้น มันก็นิ่งเงียบหายไป เหลือไว้เพียงความเงียบสงบเท่านั้น --

    อัลบานิ่งไปนาน ก่อนจะค่อยๆคลายฝ่ามือตนเอง ร่างทั้งร่างกลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง ก่อนจะหันมาทางริเวอร์ จ้องมองเขาด้วยแววตาที่ดูปล่อยวางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    “มันสั่นสะเทือน” เธอพูดออกมา “ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น โดยมีเหตุผลของมันเสมอ”

    ริเวอร์ไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดได้ หากแต่เขาไม่ได้ถามอะไรออกมา

    “สัญญากับฉัน ริเวอร์” เธอเอ่ยอย่างอ่อนแรง “ว่าเธอจะเชื่อในเรื่องที่ฉันเล่าให้ฟัง เธอจะไม่ลืมเรื่องราวที่ฉันบอกให้เธอรู้ เธอจะจดจำพ่อและแม่ของเธอ จดจำเรื่องราวของพวกเขา และจดจำการมีอยู่ของตัวเอง”

    แวบหนึ่งริเวอร์นึกประหลาดใจไปกับคำพูดอันแปลกพิกลของอัลบา หากแต่แววตาที่มองมาคู่นั้นกลับทำให้เขาไม่ถามคำถามอะไรออกมา

    “สัญญากับฉันมา ว่าเธอจะไม่ลืม” อัลบาเปล่งเสียงออกมาแผ่วเบากว่าเดิม “สัญญากับฉัน ว่าเธอจะเชื่อในความจริงนี้ด้วยความเชื่อทั้งหมดที่เธอมีในตัวเอง  ริเวอร์”

    ริเวอร์กระชับมืออันบอบบางของอีกฝ่ายแน่น “ผมสัญญา” เขาตอบ “ผมจะไม่ลืม”

    ริมฝีปากของอัลบาคลี่ยิ้มออกมาหลังจากที่ไม่ได้ยิ้มมานานแสนนาน -- ในที่สุดเธอก็ดูวางใจในบางอย่าง และเป็นอิสระในบางสิ่งอย่างที่ริเวอร์ไม่อาจเข้าใจได้ในตอนนั้น

    “มาเถอะ เราต่างเหนื่อยกันมามากแล้ว” อัลบาค่อยๆลุกขึ้นจากโต๊ะไม้ และดับแสงเทียนไขจนดับวูบลง “ได้เวลาเข้านอนแล้ว”


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in